วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มืออาชีพจะไม่เคยพอใจกับสภาพงานที่เป็นอยู่


ตราบเท่าที่เรายังต้องทำงานเพื่อสนองตอบความต้องการพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต เมื่อนั้นเราคงต้องกลับมามองความเป็นจริงของโลกการทำงานอย่างหนึ่งที่บางครั้งเราก็หลงลืมหรือทำเป็นไม่สนใจ เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ไม่มีองค์กรใดจ้างงานเราได้ตลอดไป เว้นเสียแต่เราจะยังคงทำงานอย่างมีและมากด้วยคุณค่าตอบโจทย์งานทั้งหลายที่องค์กรต้องการได้ อย่างน้อยก็ในขอบข่ายงานที่องค์กรตกลงว่าจ้างเราเข้าทำงาน

และได้ความที่องค์กรมีวัฎจักรชีวิตเฉกเช่นเดียวกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีบางเวลาที่องค์กรสร้างผลกำไรหรือผลประกอบการที่งดงาม และมีอีกหลายช่วงเวลาที่องค์กรจะทรงตัวหรือกระทั่งมีผลประกอบการที่ถดถอย ตลอดช่วงเวลาที่ผมทำงานมาสิบกว่าปี ผมได้มีโอกาสเห็นปรากฎการณ์ทั้งที่องค์กรรุ่งเรืองสุดขีด และเห็นภาพที่องค์กรอ่อนแอตกต่ำลงถึงที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ผมยังพบว่าเป็นจริงอยู่ไม่ว่าจะกับองค์กรที่รุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง คือ องค์กรใดที่เบอร์หนึ่งของ HR หมดไฟ หรือเป็นไม้ใกล้ฝั่งรอวันเกษียณ ก็จะตามโลกไม่ทัน พาลทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก ผมก็เป็นคนทำงานคนหนึ่งที่มีประสบการณ์กับผู้บริหารที่ดูแลสายและฝ่ายงาน HR ที่เก่งสุดขีดและซึมสุดขีดเช่นกัน 

และที่สำคัญ องค์กรทั้งหลายนั้น ล้วนต้องการคนทำงานที่มีฝีมือมากศักยภาพ และคนที่ทำงาน HR ต้องปรับตัวให้รับกันได้กับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายรายรอบที่ต้องเผชิญอยู่ คนที่เป็นอย่างที่ผมว่านั้น ผมขอเรียกอย่างง่ายว่า มืออาชีพครับ

เหตุใดมืออาชีพถึงอยู่รอดและมักจะเป็นที่ต้องการไม่ว่าจะสำหรับองค์กรใดล่ะ ตอบแบบสั้นสั้นชัดชัดคือ เพราะคนเหล่านี้ ไม่เคยพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และพยายามมองหาอะไรใหม่ ๆ และที่ดีดีเพื่อทำงานในวันนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และทำสิ่งใหม่ไว้รองรับอนาคตเพื่อการันตีว่างานที่จะทำจะไม่ผิดพลาด หรือหากจะผิดพลาดเพราะด้วยเหตุปัจจัยรายรอบก็ต้องน้อยที่สุด พร้อมกับต้องควบคุมได้ในระดับหนึ่ง

หากอยากทำงานแล้วรุ่งเรืองในอาชีพการงาน ไม่ต้องไปรอให้บุญพาวาสนาส่ง ไม่ต้องรอใส่ซองทอดผ้าฝ่าแล้วคาดหวังให้บุญหนุนส่งให้หน้าที่การงานรุ่งเรืองเหมือนที่มักนิยมบนบานกัน หรอกครับ เพราะบุญนั้นย่อมเป็นสิ่งที่จะเสริมเมื่อเราเดินไปในทางที่ดีที่ควรแล้ว

แต่จงเริ่มต้นจากปรับจูนความคิดให้ได้อย่างที่ผมว่าก่อน สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นกับเราเองครับ

เทคนิคการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน

เป็นที่ยอมรับกันว่า การมีคนทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะในระดับเดียวกัน เช่น เพื่อนร่วมงาน หรือต่างระดับงาน อันได้แก่ หัวหน้างานกับลูกน้องนั้น หากมีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานระหว่างกันแล้ว ความสำเร็จที่พึงประสงค์ อันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพก็จะเกิดขึ้นตามมาได้ไม่ยากนัก  
ในทางวิชาการมองกันว่า การมีความสัมพันธ์ในงานอย่างมีประสิทธิผล (Effective Work Relationship) นั้น จะเป็นพื้นฐานของสิ่งดีดีจากการทำงานหลายอย่าง อันได้แก่ การได้รับปรับเลื่อนตำแหน่ง และยังส่งผลให้ได้รับการปรับเงินเดือนค่าจ้าง ทำงานได้บรรลุเป้าหมาย และความพึงพอใจในงาน (Job Satisfaction) 
การที่จะบอกว่าคนทำงานด้วยกัน มีความสัมพันธ์ในงานอย่างไรนั้นเป็นเรื่องไม่ยากครับ สังเกตได้จากการแสดงออกและพฤติกรรมการทำงานทั้งหลายที่มีระหว่างกัน เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ไม่ว่าท่านจะเรียนจบการศึกษาที่สูงแค่ไหน หรือจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาที่เลอเลิศในคุณภาพการผลิตบัณฑิตเพียงใด หากท่าน “ไม่สามารถทำงานกับชาวบ้าน (เพื่อนร่วมงาน) คนอื่นเค้าได้” ท่านก็ย่อมไม่ใช่คนเก่งที่องค์กรต้องการอยู่วันยังค่ำ

เคยมีผู้รู้ท่านเปรียบเทียบว่า หากนำไอน์สไตน์  กาลิเลโอ มัส อัลวา เอดิสัน และเบนจามัน แฟรงคลิน อัจฉริยะนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก้องโลกมาทั่งทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งต้องอาศัยการมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ในงานที่ลื่นไหลอย่างมากแล้ว ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเลิศให้แก่โลกได้มากน้อยเพียงใด  ที่เปรียบเปรยเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นเพียงว่า คนธรรมดาอย่างเราเรา หากรู้จักทำงานกับคนอื่นเป็น  พลังในการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีก็ย่อมมีมาก และเกิดคุณค่าต่อองค์กรได้มากเช่นเดียวกัน   

ความสัมพันธ์ในงานสำคัญเพียงใด อาจจะดูได้จาก Gallup องค์กรที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญเรื่องการสำรวจความพึงพอใจในการทำงานชี้ให้เห็นว่า การมีเพื่อนที่ดี (หรือมีความสัมพันธ์กันฉันท์เพื่อนที่ดี) ในที่ทำงาน เป็นหนึ่งใน 12 ปัจจัยที่ทำนายความพึงพอใจในการทำงานได้ ส่วนปัจจัยที่สำคัญอย่างมากลำดับต้น ก็หนีไม้พ้น “หัวหน้างาน”  เชื่อว่าท่านผู้อ่าน พอจะทราบกันอยู่บ้างแล้ว 

ในระดับหัวหน้างานในองค์กรจำนวนไม่น้อยในบ้านเราก็ยิ่งน่าตกใจ เนื่องจากเราชอบเล่นการเมืองกัน  ชอบที่จะแทงข้างหลังโดยการโยนความผิดให้คนอื่น แต่ไม่เคยคิดหันหน้ามาช่วยกันรับมือแก้ไขปัญหาเลย  ซ้ำหลายครั้งทำตัวให้ลูกน้องบ่นว่าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเสียด้วย  ชอบบอกว่าปัญหามีอะไรบ้าง แต่กลับไม่เคยที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหา (ถือว่าธุระไม่ใช่ เช่น หาคนทำงานไม่ได้ก็โทษ HR ทั้งที่ก็รู้ว่าในตลาดแรงงานช่วงกลางปีหาคนมีฝีมือเข้าร่วมงานยาก หรือบ่นว่า HR ไม่พัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน แต่ตัวเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าจะพัฒนาลูกน้องเป็นรายตัวในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น) หลายองค์กรที่มีหัวหน้างานแบบนี้ ก็น่ากังวลล่ะครับ

แล้วจะทำอย่างไรเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานด้วยกันล่ะ  ผมพอมีเคล็ดลับที่รวบรวมมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมานำเสนอไว้ 7 เรื่อง มาติดตามกันดูครับ

เรื่องที่  1  เสนอแนวทางการทำงานที่ดีเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหา  แก่ทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ไม่ว่าจะทางตรงหรือในบางโอกาสที่มีการประชุมเพื่อระดมความคิดแก้ไขปัญหากัน  การนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้ ควรจะต้องเกิดมาจากการทุ่มเทความคิด และคิดอย่างรอบคอบเพื่อให้รับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งอาจจะแชร์แนวทางการตั้งคำถามกับปัญหานั้นตามแนวคิดของ Deming เช่น ระบบงานมีข้อบกพร่องที่ส่งผลให้พนักงานทำงานผิดพลาดหรือไม่ เป็นต้น  นี่ก็คือ คุณค่าที่ท่านทำได้ในทุกโอกาสเพื่อเพื่อนร่วมงาน  แต่โชคร้ายที่ในหลายองค์กร  มักจะพบเห็นคนทำงานจำนวนหนึ่งที่มีความคิดดีดีเช่นกัน แต่ไม่อยากจะพูดออกมาเพราะมองเพียงสั้น ๆ ว่า หัวหน้าอาจจะไม่รับฟัง หรือไม่ได้รับประโยชน์อะไรตอบแทน  จึงไม่มีข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้าง สัมพันธภาพที่ดีจากความรู้สึกร่วมหัวจมท้ายและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็ไม่เกิด  และลงท้ายแล้ว จะพบว่า คนพวกนี้เอง จะไม่เติบโตในหน้าที่การงานอะไรมากมายนัก 
เรื่องที่  2  อย่าโทษคนอื่น  สมมติว่ามีงานผิดพลาดใดขึ้นมา ท่านควรจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์นั้น  ซึ่งแน่นอนครับที่จะมองว่าเป็นความผิดพลาด (error) ของคนหรือระบบงาน หรือทั้งสองอย่างประกอบกัน แต่เมื่อรู้รากฐานของปัญหาแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ควรต้องทำเลยคือไปเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ แม้ความบกพร่องนั่น แท้จริงจะเกิดจากคนอื่นก็ตาม เพราะรังแต่จะทำให้ท่านมีศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นก็หมายถึงการขาดสัมพันธภาพที่ดีในการทำงานระหว่างกันด้วย 
ในการทำงานก็จะมีทั้งคนที่ไม่สนใจใคร คนไหนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่งานของฉัน ฉันไม่ยุ่ง กับคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอื่นเพื่อให้งานภาพรวมเสร็จ เพราะมองภาพผลงานของหน่วยงานในภาพรวม คนกลุ่มแรก มีแนวโน้มที่จะโทษคนอื่น โทษระบบงานหรืออะไรอย่างอื่นเพื่อโยนความผิด หากเกิดข้อผิดพลาดใดในงานของตัวเองขึ้นมา เนื่องจากมักมองว่างานของตัวเองก็ยุ่ง และจริตพื้นฐานนั้น กลัวว่าปัญหาจะส่งผลกระทบต่องานหรือตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ในขณะที่คนกลุ่มหลัง มักจะกล้าท้าทายการเปลี่ยนแปลง และยอมรับความบกพร่องผิดพลาดได้มากกว่า
เรื่องที่  3   ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร  อยากให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านเรื่อง “จะสื่อสารได้อย่างให้ได้ประสิทธิผล”  ซึ่งผมชี้ให้เห็นว่าทักษะการสื่อสารนั้น ได้กลายมาเป็นคุณสมบัติพื้นฐานและสิ่งสำคัญที่คนทำงานสมัยนี้ต้องมีเสียแล้ว เพราะหากรู้งานแต่สื่อสารไม่เป็น  ผลลัพธ์ของงานที่คาดหวังก็อาจจะไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ 

เรื่องที่  4  อย่ามองข้ามเพื่อนร่วมงาน และเพิกเฉยที่จะรายงานหัวหน้า  สมมติว่าเพื่อนร่วมงานเพิ่งจะเคยได้ยินปัญหานั้นเป็นครั้งแรกจากที่ได้ประชุมกัน หรือจากอีเมล์ที่ท่านส่งไปยังหัวหน้างาน และ cc: ไปยังท่าน เขาอาจจะมีปฏิกิริยาสองอย่างคือ จะ “ช่วย” หรือ “ไม่ช่วย” ให้ความเห็นและลงมือแก้ไขปัญหากับท่าน  ก็ได้ แต่สิ่งที่เค้าจะต้องรู้ก็คือ ปัญหาที่อาจจะกระทบกับเขา หรือที่เขาจะต้องมีส่วนแก้ไขปัญหาด้วย ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมองว่าท่านไปทำอะไรลับหลัง ซึ่งไม่เชื่อเรื่องที่ดี และมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ในการทำงานย่ำแย่ลง โดยเฉพาะกับหัวหน้างาน ท่านยิ่งต้องหมั่นรายงานความคืบหน้าให้ทราบอยู่เสมอ เจอปัญหาติดขัดก็ต้องบอก
บอกก่อนเกิดปัญหาถือว่ารายงาน  บอกทีหลังเข้าข่ายแก้ตัวครับ
เรื่องที่  5  รักษาคำมั่นสัญญา  การทำงานในองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับงานของคนอื่นเสมอ  ไม่มีใครที่ทำงานฉายเดี่ยวได้คนเดียวจนครบกระบวนการ การจะทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ จำเป็นต้องอาศัยการรักษาสัญญาและส่งมอบงานที่ตรงกับเวลา หากท่านรักษาเงื่อนไขนี้ไม่ได้ นอกจากงานในภาพรวมจะเสียหายแล้ว ยังส่งผลให้เพื่อนร่วมงานไม่อยากทำงานด้วย เพราะเค้าก็อาจจะไม่ไว้ใจว่าท่านจะทำให้งานของเค้าเสียหาย หรืออาจจะสร้างปัญหาตามมาให้เค้าก็ได้  เอาไปเอามา หากท่านไม่รักษาคำมั่นในการส่งมอบงานหรือความช่วยเหลือในงานที่ได้รับมอบหมายจากทีมแล้ว ท่านก็อาจจะกลายเป็นคนไร้เครดิตไปก็ได้นะ ไม่ดี ไม่ดี.....
เรื่องที่  6  ให้เครดิตในผลงานกับเพื่อนร่วมงาน  ในการทำงานเป็นทีม หรือหลายงานที่ต้องแบ่งงานกันทำ  แม้จะไม่รวมตัวกันเป็นทีมงานเฉพาะก็ตาม  ย่อมมีแต่ผลงานของเรา ไม่มีผลงานของผม หรือผลงานของดิฉัน  หากท่านต้องการสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น  การให้เครดิตกับคนทำงานทุกคนอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยนะครับ  และยังควรต้องแลกเปลี่ยนไอเดียในสิ่งที่ทำ เพื่อให้เพื่อนร่วมงานได้รับประสบการณ์และแชร์มุมมองกันเสมอ อันจะนำไปสู่สถานการณ์การทำงานที่ราบรื่น และไว้วางใจระหว่างกัน 
เรื่องที่  7  ช่วยสนับสนุนให้คนอื่นสร้างผลงานที่ดี  ผมเชื่อว่าคนทำงานทั้งหลายนั้นต่างก็มีทักษะประสบการณ์ หรือมีฝีมือเฉพาะตัว ซึ่งจะสามารถช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่นทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ เพียงแต่ท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่เรื่องแบบนี้ ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องรอให้ใครมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ก่อน ในการทำงานร่วมกัน การแสดงจิตเจตนาที่จะช่วยเหลืองานคนอื่นในเวลาที่ทรัพยากรที่ท่านมี เป็นน้ำใจอันงดงามที่ทุกองค์กรก็อยากให้เกิดกันทั้งนั้น หลายองค์กร รณรงค์เรื่องความมีน้ำใจ เป็นคุณค่าหรือวัฒนธรรมที่ทุกคนในองค์กรต้องฝึกปรือให้เป็นนิสัย และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งจะได้รับการประเมินผลพร้อมกับเกณฑ์การประเมินด้านปริมาณและคุณภาพของงาน   

ผมเชื่อว่า หากท่านผู้อ่าน พินิจพิเคราะห์นำเอาเทคนิค 7 อย่างนี้ไปทดลองทำแล้ว ท่านก็จะพบว่าตัวเองสามารถทำงานเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากขึ้น เพราะท่านจะเริ่มลดกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับการทำงานระหว่างกันลงได้มาก และกลเม็ดเคล็ดลับอีกบางเรื่องเช่น การรักษาคำมั่นสัญญา  ก็ยังมีบางมุมที่นำมาสู่การประเมินค่าของคนอื่นว่าท่านเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้เกิดความไว้วางใจในการทำงานระหว่างกัน ทั้งงานที่ต้องทำเดี่ยว ๆ และงานที่ต้องช่วยกันเป็นทีม  และย่อมนำมาซึ่งการชื่นชมสรรเสริญในความสำเร็จของงานในภาพรวมอีกด้วย  ในส่วนของคนทำงานเองก็จะได้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง เรียกว่า ได้ผลดีมากมายหลายเรื่องตามมา แบบนี้ ไม่ลองทำไม่ได้แล้วนะครับ   

เทคนิคการระงับอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างได้ผล

ในชีวิตการทำงานของเรานั้น  มักจะมีปัญหาน้อยใหญ่มาให้ขบคิดกันเสมอ ปัญหาเล็ก ๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าปัญหาใหญ่ก็ชวนให้หนักทั้งใจและทั้งความคิดที่จะต้องหาวิธีจัดการรับมือให้ได้  และบ่อยครั้งเช่นกันที่ปัญหาที่อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่งผลให้มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านจนมีไม่น้อยเช่นกันที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายที่บังคับบัญชา   


มองจากมุมสรีระวิทยาและจิตวิทยา เวลาที่คนเราโกรธนั้น ปฏิกิริยาของร่างกายพที่เราจะพบเห็นได้ก็คือหัวใจจะสูบฉีดเลือดเพื่อนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนที่เรียกว่า “Amygdala  ซึ่งนับได้ว่าเป็นศูนย์อำนวยการอารมณ์แบบเถื่อน ๆ ดิบ ๆ ของมนุษย์ (แน่นอนครับ สมองของเรามีส่วนที่ควบคุมอารมณ์สุนทรีย์ อารมณ์รักใคร่และพึงพอใจเชิงบวกด้วยเช่นกัน) อารมณ์แบบดิบ ๆ ที่ว่านี้คือความกลัว  ความโกรธ หรือแม้แต่การแสดงออกทางเพศ ก็จัดว่าเป็นอารมณ์แบบดิบที่สมองส่วนนี้ดูแลบัญชาการด้วยครับ 


พอเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนนี้มาก ก็เท่ากับเลือดจะไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมการคิดอย่างมีเหตุผล การไตร่ตรองสถานการณ์  วิจารณญาณกับปรากฎการณ์น้อยลง ก็เท่ากับสมองสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์นี้ให้กับ “Amygdala  เวลาที่คนเราโกรธนั้น นักวิชาการเค้าจึงเรียกกันติดปากว่า “Amygdala Hijack” ซึ่งก็คือการปล้นความคิดไตร่ตรอง การใช้เหตุผลของสมองไปนั่นเอง   ก็บังเอิญที่เวลาปล้น (hijack) การควบคุมไปจากสมองส่วนหน้านี้ ใช้เวลาสั้นมากแทบจะไม่ถึงครึ่งวินาที ทั้งยังใช้เวลาอีกเพียงไม่เกินสองวินาทีในการสั่งการให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาร่างกายออกมา เวลาคนเราโกรธนั้น เราจึงเห็นการตอบโต้แบบทำลายข้าวของ  ด่าทอกันเมามัน หรือกระทั่งทำร้ายร่างกายและรุนแรงหน่อยคือประทุษร้ายต่อชีวิตของคนอื่นโดยอารมณ์ชั่ววูบ ไอ้ที่ว่าชั่ววูบนี่ล่ะครับคือคำสั่งของมองส่วน Amygdala


เทคนิคง่าย ๆ ที่ผู้รู้หลายท่านแนะนำเอาไว้ และผมเองก็เคยทดสอบแล้วว่าได้ผลไม่ใช่เรื่องยากวุ่นวายอะไรเลยครับ แต่คือการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สักสองสามครั้ง  หลับตาลงแล้วนับหนึ่งถึงแปดให้ได้  ย้ำครับนับหึ่งถึงแปด  ที่ต้องแปดไม่เป็นสิบหรือร้อยนั้นก็เพราะผู้รู้ท่านที่เขียนหนังสือเรื่อง “How to Get the Buddahood” บอกว่าคนเรานั้นจะใช้เวลาเฉลี่ยเพียงราว ๆ แปดวินาที ในการดึงอารมณ์บูดกลับสู่สภาพเดิม

แล้วทำไมต้องสูดลมหายใจล่ะ หลับตาอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?


เอาเป็นว่า การสูดลมหายใจนั้นก๋เท่ากับการดึงเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและไหลเวียนไปยังสมองส่วนหน้าให้มากขึ้น เหมือนกับการเติมพลังเข้าไปให้กับสมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผล การไตร่ตรองและสติปัญญา  ส่วนการแนะนำให้หลับตานั้นก็เพื่อจะได้ไม่เห็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธนั่นเองครับ  ง่าย ๆ เลยนะเนี่ย


เวลาที่คนเราโกรธนั้น สติมักจะหลุดลอย ปัญญาก็จะพร่องลงไปตามส่วน การระงับอารมณ์ด้วยการหลับตานั่งนับเลขในใจ ก็ยังดูกว่าไปนั่งนับเข็มที่หมอเบ็บแผลที่ศรีษะหรือร่างกายเพราะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา และยังดีกว่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเดินจูงมือเราเข้าคุกเข้าตะรางแล้วมานั่งเสียใจภายหลัง เป็นไหน ๆ  นอกเหนือจากนี้  หากเรารู้จักฝึกครองสติให้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ถึงขั้นที่เรียกว่ามีสมาธิแล้ว ก็จะเกิดปัญญหาแก้ไขสถานการณ์หนักเบาที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิตอย่างได้ผล  เรื่องดีดีแบบนี้ต้องทดลองครับ   

อยากรุ่งก็ต้องกล้าเสี่ยงทำงานยาก ๆ



นอกเหนือจากการปรับปรุงงานกันอย่างสม่ำเสมอจะเป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักของคนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้ว ผมคิดว่าหากต้องการจะทำงานให้รุ่ง หรือทำงานให้ก้าวหน้าแล้ว  คนทำงานต้องหัดท้าทายตัวเองให้ทำงานยาก ๆ กว่างานเดิมที่เคยทำ  ต้องกล้าพอที่จะเปลี่ยนแปลงไปทำงานใหม่ที่ไม่คุ้นชิน 


แต่แม้คนเราพอจะเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นในการที่จะต้อง “เปลี่ยนแปลง” กันอยู่แล้ว  แต่เอาเข้าจริง เวลาที่จะเปลี่ยนอะไรสักอย่าง เราก็จะกังวลใจสารพัดเรื่องตามมา  เช่น กังวลว่าสิ่งใหม่จะทำให้ยากลำบาก  เกรงว่าจะถูกปฏิเสธจากเพื่อนร่วมงานที่จะต้องทำงานเกี่ยวข้องกัน  กลัวว่าจะพบอุปสรรคที่ทำให้ล้มเหลวแล้วละอายกับความล้มเหลวนั้น ทั้งที่ควรจะเข้าใจว่า การไม่ทำอะไร หรือยืนอยู่เฉย ๆ นั่นสิเป็นเรื่องที่น่าละอายยิ่งกว่าลงมือทำแล้วล้มเหลว (เหมือนกับคำคมวัยรุ่นที่บอกว่า “อกหักดีกว่ารักไม่เป็น” นั่นล่ะ....เกี่ยวกันหรือเปล่านะ....) 

พอเกิดความคิดและอารมณ์ประมาณนี้ขึ้น  ก็เลยยืนหยัดปักหลั่นอยู่ในพื้นที่แห่งความคุ้นเคย (Comfort Zone) ไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร แม้จะรู้ว่าเปลี่ยนแปลงแล้วจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ตามที

ความคิดแบบนี้เองที่จะเป็นอุปสรรคกับการก้าวไปสู่เส้นทางความรุ่งเรืองในอาชีพ

เราคงต้องคอยเตือนตนเองอยู่เสมอว่า ธรรมชาติของสรรพสิ่งนั้นคือ “ไม่หยุดนิ่ง” และมีการเปลี่ยนแปลงตามมาเป็นปรกติ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจึงต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง ทั้งเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนอารมณ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ 

นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ขอให้ท่านคิดเชิงบวกอีกว่า หากชีวิตไม่เจอความท้าทายใหม่ ๆ ไม่พบเจองานยาก ๆ ที่อาจจะไม่เคยทำหรือเคยได้ยินมาก่อน ก็จะไม่พบประสบการณ์ชีวิตอันแสนเร้าใจ และขาดโอกาสที่จะบ่มเพาะทักษะความสามารถอันใหม่ที่มักจะไม่วิ่งเข้ามาหาเราทุกวัน ซ้ำจะยังขาดโอกาสพัฒนาความเชี่ยวชาญซึ่งมักจะเป็นพื้นฐานรองรับการเติบโตก้าวหน้าในอาชีพอีกด้วย

ในชีวิตคนเรานั้น  มักพบศึกหนักจากการเปลี่ยนแปลงทั้งในเรื่องงานและเรื่องชีวิตซึ่งถาโถมจากรอบตัวอยู่เสมอ  หากจะทำงานให้มีความสนุกและก้าวไปข้างหน้าแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องบริหารความเปลี่ยนแปลงให้ลงตัว  อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อสองอย่างคือ (1) รักษาชีวิตให้เป็นไปอย่างปกติ กับ (2) นำชีวิต (การทำงาน+ส่วนตัว) ไปหาสิ่งใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม นั่นคือความสำเร็จที่มากขึ้นทุกวันที่เราต่างก็ต้องการกันทั้งนั้น 

ทำอย่างไรเมื่องานไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง

ในชีวิตการทำงานของคนเรานั้น  เปรียบไปก็ไม่ต่างกับชีวิตส่วนตัวที่มักจะมีอะไรที่ไม่คาดหวังเกิดขึ้นเสมอ บางครั้งก็ทำงานไม่บรรลุเป้าหมายดังที่ใจคิด  แม้จะทำตามขั้นตอนแล้วทุกอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ยังคงมีการส่งมอบบริการที่ไม่ตรงเวลา ของเสียยังมากกว่าตัวชี้วัดกำหนด เป็นต้น แต่ในภาพรวมลูกค้าจะไม่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบมากมายนัก หรือบางครั้งก็พบว่า ได้รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถี่ถ้วนแล้วอย่างที่หัวหน้าบอกมา แต่ก็ยังโดนตำหนิเรื่องเทคนิคการนำเสนอที่ไม่น่าสนใจ ตัวอย่างที่ยกมากล่าวนี้ คงเป็นเพียงส่วนน้อยจากหลายอย่างในงานที่ท่านเคยพบมา
เมื่องานไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความรู้สึกไม่ค่อยดี รู้สึกผิดหวังทั้งที่ตั้งใจอย่างเต็มที่ ผมมองว่า เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอในการทำงาน และเกิดขึ้นบ่อยครั้งตราบเท่าที่คนเรามองงานในแง่มุมที่ต่างกันไป  แต่สิ่งที่ท่านควรจะต้องคิดและทำก็คือ อย่าปล่อยให้ความผิดหวังนั้นบ่อนทอนหัวใจให้เศร้าหมอง ลองคิดทบทวนสิครับว่า คนที่ประสบความสำเร็จมากมายในวันนี้  ไม่มีบ้างหรือที่เค้าจะผิดหวังหรือล้มลุกคลุกคลานมาก่อน หรือไม่ใครบ้างที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาบ้าง อย่างน้อยก็ในบางเรื่องบางจุด ผมคิดว่าไม่น่าจะมีนะครับ
ที่สำคัญนั้น เมื่ออะไรไม่เป็นไปอย่างที่ใจคิดแล้ว ท่านหาวิธีจัดการกับมันอย่างไรมากกว่า !  
และสิ่งที่ท่านควรทำก็คือการมุ่งค้นหาสาเหตุว่าอะไรหรือที่ทำให้งานไม่เป็นไปอย่างที่ตั้งเป้าไว้ และโฟกัสดูปัจจัยหลัก ๆ ที่ท่านคิดว่าทำให้งานมีปัญหา แล้วก็จะคลี่คลายสถานการณ์ได้ไม่ยากนัก
ประเด็นว่า “ทำไมงานจึงไม่เป็นอย่างใจและได้ผลตามแผน” นี้ล่ะครับ เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะว่ากันในบทความนี้ ส่วนเหตุที่การตั้งคำถามว่า “ทำไม” นั้นก็ด้วยเพราะคำถามเช่นนี้จะช่วยให้หยุดการคาดคิดด้านลบต่างต่างนานา มามุ่งมองหาวิธีการจัดการในแบบที่สร้างสรรค์  และยังช่วยให้เกิดประสบการณ์เรียนรู้และพัฒนาคนทำงาน
พร้อมกันนี้ คนทำงานทั้งหลายก็ควรจะตั้งคำถามเพิ่มเติมได้แก่
  • อะไรหรือที่ควรทำในสถานการณ์เช่นนั้น      แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เป็นไปอย่างใจคิด แต่ยังมักจะมีบางอย่างที่ท่านทำได้ดีอยู่ด้วย ซึ่งท่านจะต้องหาให้เจอและทำให้เกิดขึ้นในครั้งใหม่
  • อะไรที่แล้วไม่ค่อยได้ผลดีเลย –  เป็นการตั้งคำถามว่า อะไรที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีออกมา หรืออะไรที่เบี่ยงเบนไปจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้บ้าง
  • ควรทำอะไรให้ดีขึ้นกว่าเดิมในภายหน้า –  เมื่อได้คำอธิบายจากสองเรื่องข้างต้นแล้ว ท่านก็จะทราบสิ่งที่ต้องทำประการนี้เอง เรื่องที่ว่าไปนี้สำคัญมากนะครับ ภาษิตคนทำงานที่ถ่ายทอดให้คนทำงานอย่างผมฟังมานานก็คือ “ทำผิดพลาดครั้งแรกเป็นประสบการณ์ ผิดพลาดซ้ำสองหมายถึงข้อบกพร่องของเราเสียแล้ว”   แม้ผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับภาษิตนี้มากนัก แต่ความจริงแล้ว ในทุกครั้งที่เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ท่านจะต้องพยายามตีโจทย์ให้แตกว่าจะทำอย่างไรเพื่อมิให้เกิดสถานการณ์เช่นนั้นซ้ำสองในภายหน้า   
สุดท้ายนั้น การที่ผลลัพธ์ของงานไม่เป็นอย่างที่ใจหวังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร สิ่งสำคัญอยู่ที่ท่านทั้งหลายได้ตั้งคำถามอย่างจริงจังเพื่อค้นหาสาเหตุเบื้องหลัง และได้เรียนรู้มันไว้เป็นประสบการณ์ที่จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในอนาคตหรือไม่ และอย่างไรบ้าง ?  และเมื่อความผิดหวังเป็นเรื่องธรรมดา ก็เท่ากับท่านมีโอกาสมากมายที่จะเรียนรู้และทำความเข้าใจว่าควรจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้  ท่านควรต้องทำใจยอมรับว่ามันคือส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตและก็ไม่ควรที่จะทุกข์ใจให้เศร้าหมอง  ตรงกันข้าม ควรกลับมุมคิดมองให้มันเป็นความท้าทายที่จะแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เติมเต็มชีวิตการทำงานดีกว่าเป็นไหน ๆ แบบนี้สิเรียกว่า คิดบวกอย่างแท้จริง  

ทำไมองค์กรไหนๆ ก็อยากได้คนมีทัศนคติที่ดีกับงานที่ทำ

ใน Advanced Learner’s Dictionary of Current English  ทัศนคติเป็นวิธีที่คนคนหนึ่งมองชีวิต รู้สึกหรือมีพฤติกรรมแสดงออก ทัศนคติจึงไม่ใช่เรื่องของวิธีคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังเป็นเรื่องของความรู้สึกที่จับต้องไม่ได้ จนถึงอะไรที่จับต้องมองเห็นได้ซึ่งก็คือพฤติกรรมการแสดงออกของคนคนหนึ่ง


ที่ว่าทัศนคติทางบวกสำคัญกับคนทำงานทั้งหลายนั้น ก็ด้วยเพราะว่า แม้คนทำงานจะวางแผนการเติบโตในอาชีพ ของตนเองไว้เป็นอย่างดี แต่หากขาดรากฐานของความคิดและการมองเรื่องงานที่ถูกต้อง ก็ยากเช่นกันที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพได้  


คำถามต่อมาคือ ทัศนคติอย่างไรบ้างที่ช่วยให้คนทำงานสำเร็จก้าวหน้าในอาชีพ


ผมพยายามรวบรวมจากหนังสือหลากหลายเรื่อง เพื่อดูว่าทัศนคติแบบใดบ้างที่องค์กรส่วนมาก อยากได้จากคนทำงาน ผมเห็นว่ามีสัก 3 รายการที่คล้ายคลึงกันเป็นอย่างน้อยได้แก่.....


  • ความภาคภูมิใจ (Pride) ผู้รู้หลายท่านมองว่า ความภาคภูมิใจที่สะท้อนทัศนคติการทำงานทางบวกนั้น เปรียบได้กับการมีความทะเยอทะยานที่จะทำงานให้สำเร็จผลตามเป้าหมาย และความทะเยอทะยานนี้เองที่ทำให้คนทำงานคิดว่าต้องไม่ทำแค่เพียงให้ผ่าน ๆ ไปวัน ๆ เพราะทำงานแบบนั้น ไม่เกิดอะไรเลย ความภาคภูมิใจนี้ ส่งผลให้คนอยากทำงานเพื่อให้ได้ผลงานชั้นเยี่ยม  
  • ความปรารถนาอันแรงกล้า (Passion) หรือความสนใจในงานหรืออาชีพอย่างยิ่งยวด รวมไปถึงการมีความกระตือรือร้นอย่างเข้มข้นสำหรับการทำสิ่งใดก็ตาม โดยคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นมีคุณค่า แม้แต่ในเวลาที่ยากลำบากกับการทำงานก็ตาม
  • ความเชื่อ (Belief) ในการสร้างความปรารถนาอันแรงกล้านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเชื่อ ความเชื่อเป็นเสมือนเชื้อไปที่เป็นพลังที่ผลักดันให้การทำงานเกิดผลขึ้นมาได้



คราวนี้ก็มาสู่ประเด็นหลักของความนี้คือ เหตุใดองค์กรทั้งหลายจึงอยากให้คนทำงานมีทัศนคติที่ดี ?


ตอบกันง่าย ๆ ก็คือ องค์กรไหนก็ต้องการความสำเร็จ ต้องการการเติบโตในธุรกิจทั้งนั้น และก็ยอมรับกันว่าคนทำงานเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อการผลักดันให้องค์กรเดินไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นได้ 


ทั้งนี้ คนทำงานที่คิดดีและคิดแบบบวก ๆ นั้น ก็เป็นคนที่ครอบครองคุณสมบัติหลายอย่างที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ซึ่งผมอยากสรุปไว้ว่าคนที่มีทัศนคติเชิงบวก จะเป็นคนที่....   




1.  ทำงานแบบยืดหยุ่นผ่อนปรน


การทำงานแบบยืดหยุ่นผ่อนปรนสำหรับผมนั้นหมายถึง มองชีวิตการทำงานในแง่ดี มีจิตใจเข้มแข็ง และคิดในทางบวก แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ปัญหา หรือเมื่อเกิดผลกระทบทางลบจากการทำงานก็ยังมองว่ามันคือสิ่งที่ท้าทายและพิสูจน์ความสามารถในการทำงาน  และยังรวมไปถึงการมุ่งมั่นที่จะค้นหาวิธีการช่วยให้แก้ไขปัญหาในงาน หรือลดผลกระทบทางลบที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหน้า  และมักจะคิดถึงแนวทางแก้ไขปัญหาใหม่ ๆ มากกว่าที่จะไปนั่งโทษใคร หรือโทษเรื่องนั้นเรื่องนี้  รวมทั้งมีความพยายามเพื่อให้สามารถทำงานได้ประสบผลสำเร็จ และตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ 


2. มองอะไรในทางที่ดี 
ความสำเร็จ การมีความสุข และอายุยืน ล้วนมีรากมาจากคิดและมองอะไรในแง่ดีนะครับ ทัศนคติที่มองอะไรในแง่ดี ไม่ทำให้เราเซร้าหมองเมื่อต้องตกอยู่ในอารมณ์ของความทุกข์ และเป็นเหมือนกับเชื้อไฟที่ช่วยเติมพลังให้กล้าเสี่ยงด้วยเพราะเขาจะมองเห็นโอกาสที่จะจัดการกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้สำเร็จผลได้  


3. มั่นใจและควบคุมตัวเองได้ดี
คนที่มั่นใจในตัวเอง มักจะความเชื่อว่าจะเขาสามารถทำงานที่รับผิดชอบและเลือกแนวทางปฏิบัติในการทำงานหรือจัดการปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งรวมทั้งการมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ความท้าทายที่เกิดขึ้น และมั่นใจในการตัดสินใจที่ได้ทำลงไปภายใต้กรอบหน้าที่รับผิดชอบที่ได้รับ  ทำงานภายใต้การกำกับดูแลหรือการควบคุมงานเพียงเล็กน้อยของหัวหน้างาน และพร้อมที่จะทำงานที่รับผิดชอบให้เกิดผลงานที่ดีได้และยังมีพฤติกรรมและจุดยืนที่หนักแน่นกับสถานการณ์หนึ่งใดอย่างมีเหตุผล ชอบทำงานที่ท้าทายความสามารถ และตื่นเต้นกับงานท้าทายใหม่ๆ  ส่วนการควบคุมตัวเองนั้น ก็คือ ความสามารถในการระงับอารมณ์และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเมื่อประสบปัญหาในการทำงาน หรือความไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้นจากบุคคลอื่น  โดยไม่แสดงพฤติกรรมในทางลบเพื่อตอบโต้บุคคลอื่น หรือสนองตอบปัญหานั้น   


4. ชอบคิดสร้างสรรค์
กูรูท่านบอกว่า ทัศนคติเชิงบวก เป็น “หัวใจสำคัญของการสร้างนวัตกรรม” เลยทีเดียวนะครับ เพราะจะทำให้เรากล้าเสี่ยงและคิดออกนอกกรอบ  สามารถพัฒนาสิ่งใหม่ หรือแนวคิดใหม่ ๆ กับการทำงาน หรือปรับปรุงงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งให้ความสนใจต่อการศึกษาและเรียนรู้แนวคิด และวิธีการทำงานแบบใหม่ เพื่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ไม่มองปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความคิดแบบเดิมๆ แต่คาดหวังผลลัพธ์ของงานที่เปลี่ยนไปเรามักพบว่า คนที่มีทัศนคติทางบวก จะชอบเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงาน ส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาสิ่งใหม่ ที่อาจจะเป็นโครงการหรือกระบวนการทำงานก็ได้   


5. ชอบแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
องค์กรเค้าเชื่อกันว่า การมีทัศนคติทางบวก จะช่วยให้คนทำงานรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดีระหว่างตนเองกับคนอื่น และชอบกับการทำงานเป็นทีม การประสานงาน  รับฟังและเข้าใจในความแตกต่างของมุมมอง จุดเน้น และแนวทางการทำงานที่แต่ละฝ่ายมีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เผชิญกับปัญหาข้อขัดแย้ง และตอบสนองต่อการลดระดับความขัดแย้งด้วยการกำหนดเป้าหมาย บทบาทและกระบวนการที่ชัดเจน ตลอดจนถึงส่งเสริมให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่กดดันหรือการไม่เห็นด้วย แต่สร้างสรรค์ และร่วมกันคิดและแก้ไขปัญหา  รวมทั้งป้องกันการเผชิญหน้า เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคต  


6. มีแรงผลักดันสู่ความสำเร็จ
คนที่มีทัศนคติที่ดีนั้น จะเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงานให้ได้ตามมาตรฐาน ผลงานดีมีคุณภาพ และสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้  ขยันหมั่นเพียร และอดทน โดยใช้ทรัพยากรขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก โดยมีแนวโน้มที่จะกำหนดตัวชี้วัดการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย  และตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย    ปรับปรุงผลงานโดยการเปลี่ยนแปลงระบบหรือวีการทำงาน โดยมีแรงจูงใจในการทำงานที่ดี จัดลำดับความสำคัญของการทำงานบนพื้นฐานของทรัพยากรที่มี  ใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม ในการพัฒนาผลการปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายและช่วยเหลือสนับสนุนให้คนอื่นประสบความสำเร็จ 


7. มีแรงจูงใจชั้นเลิศในการทำงาน 
การวิจัยและสำรวจนับไม่ถ้วน ยืนยันว่าคนจะทำงานอย่างมีแรงจูงใจได้ก็ต่อเมื่อเขามีแรงกระตุ้นหรือรู้สึกท้าทายในการทำงาน มีโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และจะเป็นกลุ่มคนสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้เกิดวัฒนธรรมที่ดีในการทำงานอีกด้วยนะครับ   


8. ใจจดใจจ่อกับงาน   
คนที่มุ่งเน้นเรื่องใด ก็มีแนวโน้มที่เขาจะผูกพันกับงานที่เค้าทำ  คนทำงานที่คิดอะไรก็ดี มองอะไรก็บวกไปหมด ก็มักจะมุ่งใช้ความพยายามและพลังเพื่อทำงานให้บรรลุผมตามมาตรฐานงานและเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ พร้อมกับสามารถกำหนดกระบวนการของงาน เพื่อให้การันตีว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่วางไว้อีกด้วย 


มีคุณลักษณะของคนที่คิดเชิงบวกแบบไหนใน 8 แบบนี้ที่องค์กรท่านไม่อยากได้ครับ ผมว่าไม่น่าจะมีนะ !

ทำไมคนต่างรุ่นไม่เข้าใจกัน


ในที่ทำงานของหลายองค์กรจะพบว่า มีน้อง ๆ รุ่นใหม่ คน Gen-Y เป็นสัดส่วนที่มากกว่าคนกลุ่มอื่น พอมีคนหลากหลายช่วงวัยในองค์กร ก็มักมีปัญหาช่องว่างความไม่เข้าใจกันตามมา ส่งผลให้การสื่อสารและทำความเข้าใจระหว่างกันเป็นไปได้ยาก 

คุนรุ่นเก่าหลายท่านพูดกันหนาหูว่าเป็นเพราะคน Gen-Y เอง ไม่ค่อยเคารพผู้ใหญ่  ไม่ใส่ใจความมีอาวุโส รวมทั้งมีความมั่นใจในตัวเองสูงจนไม่ค่อยฟังใคร ในขณะที่รุ่นน้องก็มองว่า รุ่นใหญ่คิดแต่เรื่องเก่า ๆ  ติดยึดกับความภูมิใจและระบบงานในอดีต ทั้งที่โลกการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว กลายเป็นท้ายสุดแล้ว คนต่างรุ่นไม่เข้าใจกัน เพาะบ่มความไม่พอใจกันอยู่ในที  การทำงานที่ต้องประสานกันก็ยากลำบากตามไปด้วย 

แท้จริงนั้น ปัญหาในการสื่อสารระหว่างวัยที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากช่องว่างระหว่างวัยกันหรอก แต่เป็นเพราะเราไม่สู้จะฟังกันเสียมากกว่า ต่างฝ่ายต่างพูด และเข้าข้างความคิดของตัวเอง จนลืมที่จะฟังมุมมอง และความคิดของคนอื่น เพื่อไปวิเคราะห์สังเคราะห์เอาสิ่งที่ดีที่สุดจากความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย  ควรอย่างยิ่งที่เราจะหันมาฟังกันให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง ไม่พูดเกินเลยขอบเขตของตัวเอง 

ในขณะหนึ่งก็ควรต้องเปิดใจยอมรับความคิดเห็นที่ไม่เหมือนกัน เปิดใจรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ และต้องรู้จักที่จะวิจารณ์คนอื่นแบบสร้างสรรค์ ให้กำลังใจกัน แม้จะมีความผิดพลาดจากการทำงานบ้าง เพราะนั่นจะช่วยไม่ให้เกิดความชิงชังไม่พอใจระหว่างกันขึ้น 

ทดลองทำดูนะครับ

วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สื่อสารไม่เป็น ยากจะเห็นผลงาน ตอนที่ 1



การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากพูดกันอย่างง่าย ๆ ก็คือการสื่อสารที่ชัดเจนและถูกกาลเทศะสำหรับทั้งผู้รับและผู้ส่งสารนั้นรับเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยทำให้พนักงานสามารถสร้างผลงานที่ดีเลิศได้ โดยเฉพาะกับงานที่ต้องให้บริการตรงกับลูกค้า และบุคลากรระดับหัวหน้างานแล้ว ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการฝึกฝนพัฒนาทักษะการสื่อสารอย่างมาก


สำหรับผู้บริหารองค์กรแล้ว  ทักษะความสามารถในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นอีกลำดับหนึ่ง  ผลการวิจัยสำรวจจากองค์กรที่ทำงานด้านให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาองค์กรจำนวนไม่น้อยชี้ให้เห็นตรงกันมานานหลายทศวรรษแล้วว่าการที่ผู้บริหารองค์กรและหัวหน้างานจำนวนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว) ไม่อาจสร้างจูงใจในการทำงานให้กับทีมงานได้  ไม่สามารถทำให้ลูกทีมเกิดความรู้สึกผูกพันกับการทำงานหรือต่อองค์กร (Employee Engagement)  หรือเบาหน่อยก็ไม่อาจะสร้างผลงานให้เต็มศักยภาพตามเป้าหมายงานที่กำหนดได้  มักจะเกิดจากผู้บริหารและหัวหน้างานเองที่สื่อสาร “ไม่เป็น” 


ที่ว่าผู้บริหารหรือหัวหน้างานสื่อสารไม่เป็นนั้น ปรากฎให้เห็นได้ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือหลายลักษณะต่อไปนี้ 


  • เน้นสื่อสารทางเดียว (Top-down Communication)  - ผู้บริหารและหัวหน้างานหลายคน  ชอบพูด ชอบออกคำสั่งทั้งทั้งด้วยวาจาและการเขียน  ไม่ค่อยมีเวลาหรือใส่ใจที่จะให้ลูกน้องหาจังหวะหรือโอกาสมาแสดงความเห็นและซักถามข้อข้องใจเลย แล้วไปพลอยเข้าใจว่าตัวเองสื่อสารชัดเจนแล้ว นานเข้าลูกน้องก็มีปัญหาเพราะทำงานไม่ตรงกับที่คาดหวัง นั่นเป็นเพราะผู้บริหารและหัวหน้างานนั้นไม่ได้เปิดช่องให้ลูกน้องได้สะท้อนกลับความเข้าใจของเขาต่อสารหรือคำสั่งที่หัวหน้าสื่อออกมาเพียงใด  ลูกน้องจึงมักคิดเอาเองตามความเข้าใจ พอเกิดทำงานผิดพลาดก็หลายเป็นปัญหาของลูกน้องโดยที่หัวหน้าไม่เคยหันมาพิจารณาตัวเองเลยว่าสื่อสารได้ชัดเจนตรงประเด็นจริงหรือไม่  เรื่องนี้ก็น่าคิดนะครับ
  • ไม่ดูกาลเทศะ (Time and Place)  ในการสื่อสารนั้น แม้บางคนจะสามารถสื่อสารได้ชัดเจน แต่ไม่เข้าใจจังหวะเวลาและสถานที่ที่ก็ทำให้การสื่อสารไม่ได้ผลลัพธ์เท่าที่ควร และอาจสร้างความเสียหายแก่องค์กร และเป็นคนที่ไม่น่ารักที่ไม่ค่อยมีลูกน้องอยากเข้าใกล้  ตัวอย่างที่ผมพบได้แก่ หัวหน้าชอบพูดจาแบบแบบไม่คิดมาก โดยไม่สนใจว่าลูกน้องที่ฟังจะรู้สึกขัดเคืองใจหรือไม่ แบบนี้ก็เข้าข่ายพูดไม่น่ารักเช่นกันครับ
  • ขาดทักษะการฟังอย่างตั้งใจและไม่มีประสิทธิภาพ (Lack of Active Listening Skill) -  ผู้บริหารและหัวหน้างานหลายคนอาจจะทนงหรือเข้าใจว่าตัวเองเป็นหัวหน้า จึงมีหน้าที่พูด ออกคำสั่งมากกว่าที่จะรับฟัง ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น การที่หัวหน้าไม่ฟังย่อมทำให้เกิดปัญหาตามมาคือพลาดข้อมูลสำคัญๆ ที่น่าจะได้รับจากเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้อง หรือบางครั้งก็เสียโอกาสที่จะฟังความคิดเห็นหรือความรู้สึกของคนอื่นเพื่อมาประกอบการพิจารณาเรื่องหนึ่งเรื่องใด  ซึ่งอาจจะส่งผลการตัดสินใจผิดพลาดได้  อีกประการหนึ่งนั้นยังถือว่าเป็นการเสียโอกาสที่จะได้ความคิดในมุมมองใหม่ที่อาจจะสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์กว่าเดิม โดยเฉพาะจากผู้ปฏิบัติงานที่ต้องอยู่กับหน้างานทุกวันอีกด้วย  และซ้ำร้ายอาจจะทำให้ลูกน้องก็ไม่อยากพูดด้วยเพราะพูดไปก็ไม่ฟัง สู้หัวหน้าสั่งมาเลยง่ายกว่าเยอะเลย  ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและเสียหายในเชิงการบริหารจัดการมากเลยครับ
  • มีภาษากายไม่เหมาะสม (Inappropriate Body language)  -  ผู้บริหารและหัวหน้างานจำนวนมากนอกจากตัวเองจะแสดงภาษากายไม่เข้าทีแล้ว  ยังอ่านภาษากาย หรืออาจจะเรียกว่า “ภาษาท่าทาง” ของคนอื่นไม่เป็น ซึ่งทำให้หลายกรณีก็คาดการณ์ท่าทีคนที่เข้ามาทำงานกด้วยไม่ถูกต้อง  ในการทำงานเราอาจจะพบว่าผู้บริหารและหัวหน้างานหลายคนติดนิสัยชอบชี้นิ้วใส่หน้าคนที่พูดด้วย ทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มันเป็นกิริยาที่ดูคุกคามคนอื่น หรือดูก้าวร้าวมากทีเดียว  ผู้บริหารและหัวหน้างานบางคนพูดแล้วไม่ชอบมองหน้าคนอื่น  เหมือนกับหลบสายตาจนทำให้คนที่พูดด้วยรู้สึกว่าไม่ได้รับความสนใจ  หรือรู้สึกอึดอัดก็มี  บางรายที่เป็นผู้บริหารและหัวหน้างานชายเก็บอาการไม่เป็นเวลาที่เห็นผู้หญิงสวยเป็นต้องจ้องตาเป็นมัน จนหลายคนที่เห็นมองแบบไม่สุภาพ เป็นต้น  การรู้จักอ่านท่าทีท่าทางของคนรอบข้างออกว่ามีความรู้สึกสบายใจหรืออึดอัดคับข้องใจอย่างไร จะช่วยให้เราปรับท่าทีให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้  การอ่านภาษากายและแสดงให้เหมาะสมจึงต้องเรียนรู้ไว้เพราะมันช่วยเป็นส่วนเสริมให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแทบจะไม่น่าเชื่อเลยนะครับ  


เรื่องสี่อย่างของการสือสารสำหรับผู้บริหารและหัวหน้างานที่ว่าไปนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปหากผู้บริหาร จากประสบการณ์ของผมในฐานะที่ทำงานด้านการพัฒนาบุคลากรพบว่าองค์กรต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมากที่องค์กรจะต้องลงทุนผลักดันและตัวพนักงานเองก็ต้องมีฉันทะอันแรงกล้าในการพัฒนาตัวเองให้เป็นนักสื่อสารที่ดีได้


ผมเชื่อเสมอว่าการจะเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเสียเงินเสียทองส่วนตัวไปเข้ารับการอบรม เพียงแต่ในทางขององค์กรนั้นอาจจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาตัวเองพร้อมกับสนับสนุนงบประมาณและเวลาคู่ขนานกันไป


ตอนหน้านั้นเรามาว่ากันอีกที จะทำอย่างไรกันดีเพื่อลดปัญหาสี่อย่างของการสื่อสารเพื่อให้ผู้บริหารและหัวหน้างานมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ   

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บ่วง 5 อย่างดักทางก้าวหน้า


ในชีวิตของคนทำงานมือใหม่ หลังจากที่เพิ่งจบปริญญาตรีในรั้วมหาวิทยาลัยมาหมาด ๆ มีจำนวนไม่น้อยไมค่อยประสบความสำเร็จ ปรับตัวปรับใจกับชีวิตในโลกใหม่ของการทำงานไม่ได้ กลายเป็นผลให้ทำงานไปแล้วไม่เติบโตในอาชีพการงาน ในขณะที่อีกจำนวนหนึ่งเดินไปตามฝันของตัวเองที่อยากเป็นได้

จากประสบการณ์ผมพบว่า คนทำงานมือใหม่เมื่อมาอยู่ในสังคมใหม่ที่แปลกออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยที่ใช้ชีวิตมาหลายปี  พอมีเงินทองส่วนตัวไม่ต้องจุนเจือที่บ้าน ก็อาจจะเผลอใจไปกับสิ่งยั่วยวนของชีวิตการทำงานที่มีมากมาย  หลายคนที่ใช้ชีวิตเตร็ดเตร่สมัยเรียน พอมาอยู่ในองค์กรที่มีกฎระเบียบและแนวทางในการใช้ชีวิตการทำงานร่วมกันก็ปรับตัวรับไม่ได้  บางคนพอเข้าสังคมที่ตัวเองใฝ่ฝันมานานก็ตะเกียกตะกายไปหาความไฮโซหรูหรา เงินเดือนหมื่นเศษใช้ไอโฟน 5s ตามสมัยนิยมทั้งที่ต้องเป็นหนี้เงินกู้ก็ยอม เป็นต้น พอติดขัดเรื่องเงินความไม่สบายใจทั้งหลายก็ตกกระทบมาที่การทำงาน หาทางก้าวหน้าไม่เจอ

ที่ว่าไปนั้นส่วนน้อยครับ  ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมขอเรียกว่า “บ่วงดักทางก้าวหน้า” มาลองดูกันครับ  

  • หลงโซเชียลมีเดีย คนทำงานมือใหม่ Gen-Y มักติดโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่เข้าถึงโลกโซเชียลมีเดียมาตั้งแต่สมัยเรียน จึงคุ้นเคยและออนไลน์ตัวเองไว้ในโลกโซเชียลโดยไม่รู้จักเวลาที่เหมาะสม จะกินข้าวทีก็ต้อง post  ทำงานไปก็ห่วง status ของตัวเองในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งมักเป็นผลมาจากความคุ้นเคยสมัยเรียนที่ทำแบบนี้แล้วไม่ค่อยมีใครว่า หากไม่รู้จักความเหมาะสม เราอาจะเป็นคนที่ไร้สาระในสายตาของคนอื่นในสถานที่ทำงานก็ได้  
  • ใช้ชีวิตสุดหรู คนทำงานมือใหม่จำนวนไม่น้อย (หากไม่นับพวกลูกคนมีเงิน) พอหาเงินได้ด้วยตัวเองก็เริ่มอยากที่จะจับจ่ายใช้สอยในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีสมัยเรียน อยากใช้โทรศัพท์มือถือโก้โก้ อยาขับรถยนต์มาทำงาน อยากทำบัตรเครดิตเพราะดูทันสมัยเวลาซื้อข้าวของ ยิ่งเทรนด์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้และในสังคมเมืองแล้ว ก็ยิ่งอยากมีและอยากเป็นมากกว่าสังคมต่างจังหวัด เช่น อยากซื้อบ้าน อยากมีคอนโดมิเนียม อยากถอยรถป้ายแดง อยากถือกระเป๋าแบรนด์เนม เพื่อโชว์ชีวิตทั้งที่รายได้หรือความมั่นคงในอาชีพที่ทำอยู่นั้นไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนั้น สุดท้ายค่าใช้จ่ายเพื่อชีวิตที่โก้หรูก็บานปลาย กลับกลายเป็นทั้งบ้านและรถถูกยึดไปเสียต่อหน้าต่อตาก็มีให้เห็นไม่น้อย   ในสังคมออฟฟิศสมัยนี้มักมีการสังสรรค์ เที่ยว ช้อปปิ้งชิลๆ ร่วมกันเสมอ ๆ จนบางคนเสพติดการสังสรรค์แบบต้องไปเที่ยวทุกสุดสัปดาห์ กระทั่งชักหน้าไม่ถึงหลัง หมดเงินหมดทองไปกับปาร์ตี้ หลายคนหลงทางไปไกลกว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง พยายามหาเงินในทางที่ผิดเพียงเพื่อมาเที่ยวเพราะเสพติดความสนุกจนเข้าเส้น กลายเป็นหมดอนาคตเพราะมันส่งผลกระทบกับงานที่ทำอย่างไม่คาดคิด  

  • ดราม่าดารา สมัยที่ยังไม่ได้ทำงานก็มีเวลามากกับการตามติดละครโปรด มีเวลานั่งอ่านข่าวเม้าท์ดารา  ตามติดแบบรู้ดีว่าดาราคนไหนเลิกกับใครเป็นแฟนกับใคร  บางคนติดซีรีย์เกาหลี มานั่งทำงานก็ชวนแต่เพื่อนคุยความคืบหน้าของหนังเกาหลีจนอาจจะลืมไปว่าในที่ทำงานนั้นนี่ก็เป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ได้เอื้อให้เราเติบโตก้าวหน้าในอาชีพได้เลย
  • ผ่อนทุกอย่าง แน่นอนว่า เมื่อเริ่มทำงานประจำ ก็จะกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายของเหล่าธนาคารและสถาบันการเงินเสมอ จะมีคนมาแนะนำให้ทำบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีวงเงินมากกว่าเงินเดือนหลายเท่ามาเป็นระยะ และสมัครเข้าไปก็มักจะไม่มีปัญหาเพราะเริ่มงานใหม่ประวัติเรื่องเครดิตก็คลีน  แต่พอเราคุ้นกับการใช้เงินผ่อนเพื่อจับจ่ายซื้อของสารพัด เราก็จะเห็นและเลือกใช้หนทางง่าย ๆ แบบนี้จนเกิดการใช้จ่ายเกินตัว ในที่สุดดอกเบี้ยเริ่มบาน คุณเองก็อาจหน้ามืดกับยอดหนี้ที่รุมเร้าอย่างแน่นอน
  • ทาสพนัน พฤติกรรมนี้อาจติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน  แต่บางคนก็มาเสียคนตอนทำงานก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่โดยพื้นฐานมักชอบการแข่งขัน ชอบความท้าทาย รักสนุก ยิ่งทำงานมีรายได้จากการทำงานด้วยตัวเองก็ยิ่งคิดว่าตัวเองจะรับผลของตัวเองนานวันเข้าก็เสพติดการพนันโดยไม่รู้ตัว เล่นบอลล์ เล่นการพนันออนไลน์ทุกนัด พนันกันทุกแมทช์ แบบนี้ก็หนีไม่พ้นหมดเนื้อหมดตัว
 

รู้แล้วอย่าหลงเข้าไปใช้ชีวิตแบบนี้นะครับ เพราะมันไม่ทำให้เราก้าวหน้าเลยแม้แต่น้อย

เก่งได้ด้วยทัศนคติ

การเรียนการสอนในชั้นเรียนมัธยมปลายที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น  มีชั่วโมงเรียนวิ่งมาราธอน เด็กนักเรียนต้องวิ่งทางไกลระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร พวกที่เป็นนักกีฬา หรือเล่นกีฬาอยู่เป็นประจำจะวิ่งได้ไม่เหนื่อยยากมากนัก ในขณะที่นักเรียนอีกกลุ่มก็พอวิ่งได้แต่ต้องใช้ระยะเวลานานมาก  วิ่งไปเหนื่อยไปเพราะระยะทางก็ไม่น้อยทีเดียว กับอีกกลุ่มหนึ่งแค่วิ่ง ๆ ไปแบบไม่คิดอะไรมาก วิ่งแค่ให้พอจบ ๆ ไป แค่พอให้ได้ชื่อว่าวิ่ง เรียกว่าวิ่งไปเบื่อไป
เปรียบการวิ่งที่ว่าไปกับการทำงานในองค์กรใดก็ตาม  เราก็จะพบว่าในทุกองค์กรจะมีคนอยู่ 3 กลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นคนที่ฝีมือปานกลาง ทำงานก็พอได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำที่กำหนด ผลงานที่ได้ยังไม่จี๊ดจ๊าดถึงขนาดหัวหน้าร้องว้าว !  กับคนกลุ่มน้อยอีกสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งผลงานยอดแย่ หากองค์กรเลิกจ้างได้ก็คงตัดสินใจทันที หรือหากยื่นไปลาออก ก็มักจะมีคนแบบบ่นตามหลังว่าน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว  กับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกว่า “คนเก่ง (Talent)”  คือคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้สำเร็จ มีผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการเติบโตในสายอาชีพที่ตัวเองทำงาน 
แม้แต่ในกลุ่มคนเก่งก็ยังมี 3 ระดับด้วยกันคือคนเก่งสุด ๆ คนเก่งปานกลาง และคนเก่ง ซึ่งเพียงเป็นคนเก่งในระดับน้อยที่สุด ก็ยังมากฝีมือและสร้างผลงานได้กว่าคนอีกสองกลุ่มที่พูดถึงก่อนหน้ามากโข และต่างก็เป็นคนที่องค์กรต้องการธำรงรักษาไว้ไม่ปล่อยให้หนีไปทำงานกับองค์กรอื่น โดยเฉพาะคู่แข่ง เพราะหากปล่อยไปแล้วไม่เพียงแต่จะทำให้เสียต้นทุนการสรรหาคนใหม่ที่มักจะหาได้ยากเข้ามาแทนเท่านั้น ยังนับว่าเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไปโดยไม่คาดคิดอีกด้วย
เรื่องที่น่าสนใจคือ ทำไมคนเก่งกับไม่เก่งจึงต่างกันเหรอ
มีสองส่วนที่อธิบายครับ  ส่วนแรกคือ การมีความรู้และทักษะประสบการณ์ที่สูงกว่า กับส่วนที่สองคือมีวิธีคิด มีแรงจูงใจ มีความรับผิดชอบกับงานและไปยาลใหญ่ที่ดีกว่ากลุ่มคนที่ไม่เก่ง โดยเฉพาะอย่างบิ่งมีทัศนคติเรื่องการทำงานที่เยี่ยมกว่าคนไม่เก่ง
เวลาคนเก่งเจอโจทย์อะไรที่ยาก เค้าจะมองมันเป็นความท้าทายที่จะต้องเรียนรู้และเรียนรู้ให้เข้าใจเพื่อให้จัดการกับมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  เวลาเจออุปสรรคก็มักมองว่าเป็นโอกาสให้ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ เวลาหัวหน้ามอบหมายงานที่ยากให้ทำ มักถือว่าเป็นจังหวะที่จะได้พิสูจน์ฝีมือและไม่บ่ายเบี่ยงอย่างไม่มีเหตุผล
ผู้รู้ท่านบอกว่า คนเก่งที่มีศักยภาพในการทำงานสูงนั้น มักจะมีความรู้สึกพื้นฐานกับงานที่ทำว่า "น่าจะทำได้"  ไม่ใช่ทำไม่ได้หรอกเพราะไม่เคยทำแล้วไม่คิดจะลอง   ความรู้สึกเช่นนี้เองที่เป็นตัวผลักดันให้คนเก่งมีความมุ่งมั่นตั้งใจ อยากลองทำและเพียรพยายามหาทางทำงานนั้นให้สำเร็จ
ผมคงกล่าวไม่ผิดหรอกว่าคนเก่งกับคนไม่เก่งนั้นในประการหนึ่งต่างกันเพราะทัศนคติที่มีต่อการทำงานแตกต่างกัน  ใครมีทัศนคติ (คิด) ทางบวกมากกว่ากัน คนนั้นประสบความสำเร็จมากกว่า
ตราบเท่าที่คนไม่เก่งไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด ชีวิตความก้าวหน้าในการทำงานก็ไม่เปลี่ยนแน่นอน
กลับไปที่ชั่วโมงวิ่งมาราธอนของนักเรียนญี่ปุ่น หากวันหนึ่ง เด็กที่วิ่งมาราธอนด้วยความเบื่อหน่าย ปรับมุมมองใหม่และเห็นภาพว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไป ตัวสูงใหญ่ ขายาวขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัด ๆ ในวันนั้นเขาจะบอกกับตัวเองว่า "คอยดูนะ ฉันจะวิ่งมาราธอนให้เพื่อน ๆ ตกใจว่าทำได้เลย"
แค่คิดแบบนี้ ก็เป็นแรงขับ (drive) ให้วิ่งมาราธอนให้สำเร็จเป็นจริงได้
ความคิดของเราเอง ที่เป็นตัวกำหนดให้เรา "แพ้" หรือ "ชนะ"
เพียงคิดว่า "น่าจะทำได้" หรือ "ไม่น่าจะทำได้" ก็เป็นตัวกำหนดการกระทำที่แตกต่างของเราแล้ว
ทัศนคติแบบ “ฉันทำได้”  นี่แหละที่เป็นคำอธิบายความแตกต่างกันของ "คนเก่ง" และ "คนไม่เก่ง"
ท่านว่ามั้ยครับ !

ทำงานประจำไม่รุ่ง อยากมุ่งทำธุรกิจส่วนตัว

เชื่อว่าคนทำงานยุคใหม่สมัยนี้   ไม่ค่อยมีกะใจมากนักอยากจะทำงานกับองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ประมาณอารมณ์ว่าทำงานจนเกษียณเพื่อรับบำนาญหรือบำเหน็จเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล  ด้วยเพราะหลายคนนั้นไม่อยากอดรนทนรอความสำเร็จจากการประกอบอาชีพเป็นมนุษย์เงินเดือนที่อีกยาวนานกว่าจะเดินไปถึงปลายทางของตำแหน่งสุดยอดในองค์กร  บางคนก็บ่นปนท้อว่าแค่ไปถึงระดับผู้จัดการแผนกในองค์กรใหญ่ ๆ สักแห่งหนึ่งก็ไม่รู้จะไปถึงกันหรือเปล่า 
ในโลกความเป็นจริงนั้นก็นับว่ายากนะครับที่ใครสักคนจะก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งระดับสูงในสายงานหนึ่ง ผมเองพบเห็นวิทยากรและที่ปรึกษาจำนวนไม่น้อยที่จากประสบการณ์การทำงานอาจจะก้าวไปยังไม่ถึงตำแหน่งระดับบริหาร แต่ก็ผันตัวมาทำงานสอนคนอื่นด้วยใจรัก ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเพื่อเรียนรู้พัฒนาตัวเอง แล้วก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพใหม่  บางคนก็พยายามไต่ไปตามบันไดของอาชีพจนถึงตำแหน่งสูงสุดในสายงานอาชีพนั้นเสียก่อนแล้วจึงผันตัวมาทำธุรกิจ แบบนี้ดูดีไม่น้อยครับ เพราะไม่ต้องคอยกังวลเรื่องประสบการณ์ชื่อเสียงเมื่อต้องผันตัวไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่งานที่เคยผ่านประสบการณ์มา อย่างน้อยตำแหน่งระดับบริหารก็การันตีในระดับหนึ่งถึงฝีไม้ลายมือกับการทำงาน
หากท่านทึ่คิดผันตัวจากงานประจำมาทำธุรกิจที่รักและถนัดกัน  ซึ่งถือว่าเป็นการคิดใหม่ และคิดใหญ่นั้น ก็ควรจะพิจารณาหลายเงื่อนไขปัจจัยดังนี้ครับ
1.    เงินทุน – เรื่องเงินทุนนั้นหลายท่านมองว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่และสายป่านถักทอธุรกิจ ซึ่งผมไม่เถียงแต่ก็ไม่ทั้งหมดครับ  ในโลกนี้มีธุรกิจจำนวนน้อยนิดที่ไม่พึ่งพิงเงินลงทุนก่อร่างสร้างธุรกิจ เช่น ธุรกิจที่ปรึกษา แต่ก็มีสินทรัพย์คิดความรู้ ทักษะและความเชี่ยวชาญเป็นแหล่งของการสร้างรายได้ให้กับตัว และหากท่านมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุน ก็ควรจะเริ่มต้นจากอะไรเล็ก ๆ ไปใหญ่ ๆ  งานใหญ่ย่อมซับซ้อนมากกว่า ซึ่งต้องอาศัยทั้งเงินทุนและแรงกายแรงความคิดมากกว่าด้วยนะครับ
2.    ความรู้และ Know How   คนจะทำธุรกิจหนึ่งใดได้ หากไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอะไรและทำอย่างไรคงจะไปไม่รอด  เสมือนกับงานวิทยากรที่หลายท่านสนใจ หากไร้เสียซึ่งความรู้และประสบการณ์ในกว้างขวางมาก่อน ก็ยากจะมองอะไรทะลุปรุโปร่ง แต่หากท่านมีไม่มาก แต่เงินลงทุนหนา การหาที่ปรึกษาที่เจนจัดในงานนั้น ๆ มาช่วยก็จะบรรเทาปัญหาประเด็นนี้ไปได้มากครับ
3.    ความวิริยะอุตสาหะ – ไม่มีผู้ประกอบการคนไหนที่ประสบความสำเร็จเพราะโชคช่วยเหมือนพวกถูกหวยรวยเงินล้านจากส่งฝาชิงโชค (แต่ถึงแม้ถูกหวยก็ต้องพยายามหาเลขเด็ดจากสารพัดหลววงพ่อที่ชำนาญการใบ้หวย หรือเพียรพยายามอย่างมากกับการซื้อเครื่องมือเพื่อเอาฝามาชิงโชค) เมื่อประกอบธุรกิจ ท่านก็ต้องเตรียมใจไว้กับความยากลำบากที่พบ ต้องคิดเสียก่อนว่าลูกค้านั้นจะไม่จ่ายอะไรให้หากท่านไม่มีคุณค่าที่ส่งมอบให้ตรงใจและตรงความต้องการของเขา  จึงต้องลงทั้งแรงและลงทั้งใจใหญ่หลวง  
ในโลกนี้ ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ หรอกครับ  ความสำเร็จกับการทำงานใหญ่เช่นการประกอบธุรกิจนั้นแท้จริงต้องแลกมาด้วยความมุ่งมั่นพยายามอย่างมาก  หากท่านเป็นมนุษย์เงินเดือนและมองหาทางเลือกใหม่ให้ชีวิตในเบื้องต้นยิ่งต้องคิดให้หนักว่าพร้อมในสามเรื่องนี้แค่ไหน  หากยังไม่ถี่ถ้วน ก็ดูหนทางใหรอบคอบเสียก่อน จะได้ไม่มานั่งเสียใจภายหลังครับ

จะสื่อสารได้อย่างให้ได้ประสิทธิผล


หัวหน้างานนั้น เป็นตำแหน่งและมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบที่ตั้งขึ้นมาตามโครงสร้างขององค์กร โดยมุ่งหวังให้เป็นผู้ที่เชื่อมต่อตรงกลางระหว่างผู้บริหารระดับสูงและพนักงานระดับปฏิบัติการ  การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ไม่ว่าจะเรียกตำแหน่งว่าเป็น ‘supervisor’ หรือ ‘manager’ ก็ตาม  ย่อมบ่งชี้ได้ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญในงานเพียงพอที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้ หน้าที่ตรงกลางระหว่างคนสองระดับนี้ จะเป็นไปได้ด้วยดีย่อมต้องอาศัยทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลทั้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร กับบุคลากรทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills)  ในโลกยุคสมัยใหม่นี้ ได้กลายมาเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับการทำงาน และพื้นฐานของการเติบโตในสายอาชีพมากขึ้นเป็นลำดับ ถือกันว่า หากรู้งานแต่สื่อสารไม่เป็น ก็อาจจะการันตีผลลัพธ์ของงานได้ไม่มากเท่าที่ควร ยกตัวอย่าง หากท่านเป็น HR ที่กำลัง implement  ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management System) ในระดับหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน แต่กลับไม่อาจสื่อสารให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ กระบวนการขั้นตอนที่จะดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรคที่อาจมี และข้อดี-ข้อเสียที่จะต้องมานั่งปรับจูนกันในรายละเอียด เป็นต้น  ก็คาดหวังความสำเร็จของงาน (ที่แม้จะอยากผลักดันเพียงใด) ได้ยากเช่นกันครับ     

ยิ่งในโลกการทำงานปัจจุบันที่มีสารสนเทศรายรอบตัวเรามากมาย เครื่องมือและวิธีการสื่อสารก็มีหลากหลายมากขึ้น ค่านิยมการรับข้อมูลข่าวสารของคนทำงานเปลี่ยนแปลงไป  อีเมล์ ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือนำส่งสารแทนที่บันทึกภายใน แฟกซ์หรือจดหมายที่ใช้ติดต่อระหว่างบุคคลของบางองค์กรเกือบจะ 100% แล้ว  คนทำงานจำนวนมาก แม้บางครั้งนั่งอยู่ตรงข้ามคอกกั้น (เรียกให้หรูหน่อยก็คือ ‘partition’) ก็ยัง Line คุยกันเฉย ๆ ซะงั้น

ว่ากันไปแล้ว Social Media ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มบุคคล รวมทั้งได้สร้างชั้นของการสื่อสารที่ซับซ้อนและควบคุมได้ยากมากขึ้น  การสื่อสารจึงต้องนำเอาศิลปะมาผนวกเข้ากับเทคนิคเครื่องมือให้ลงตัว จนมั่นใจได้ว่าผู้รับสารจะได้สารตามเจตนาของผู้ส่ง เพราะหากปล่อยให้สื่อสารกันไปตามยถากรรม อาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาเช่น โครงการ/งานที่ทำไม่เสร็จตามเวลา ลูกน้องสับสนในความคาดหวังทั้งหลายที่หัวหน้ามีกับเขา หรือเป้าหมายงานที่ท่านตั้งไว้อาจจะพังครืนได้เลย เพราะผู้บริหารระดับสูง เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง เข้าใจเรื่องไปคนละทิศคนละทางกัน เป็นต้น

ผมคิดว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิผลนั้น ไม่ใช่ “พรสวรรค์” ที่มีขึ้นได้โดยไม่ต้อง “แสวงหา” แหม ทักษะพวกนี้ ไม่ไปติดตัวมาแต่เกิดเหมือนกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เกิดในในรั้วในวังซะหน่อย แม้คุณชายจะพูดจาแล้วประชาชนคนสามัญฟังไม่ได้ความมากนัก แต่ศักดิ์ของคุณชายในราชตระกูลก็ยังคงอยู่วันยังค่ำ  จะสื่อสารให้ได้ผลดี ต้องอาศัยการฝึกฝนให้เกิดประสบการณ์จริง และยิ่งสถานการณ์ทำงานมีบริบทที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเองให้หนัก

เรามักพบว่า คนทำงาน HR (เป็นต้นนะครับ) มักไม่ค่อยเข้าใจนักบัญชี หรือคนทำงาน IT มากนัก เพราะเค้ามีศัพท์แสง (terminology & jargon) มากมาย  โอกาสเกิดความบกพร่องในการสื่อสารก็มีมากขึ้น  เรื่องที่ยกมานี้ เป็นตัวอย่างที่เตือนให้ระวัง และมุ่งมั่นกับการพัฒนาทักษะด้านนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปครับ   

เอาล่ะครับ ไม่ว่าจะทำงานในอาชีพใด ปัญหาของการสื่อสารที่ไม่ลื่นไหล และไร้ผลก็มีขึ้นได้เสมอ Patrick Alian  ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Leader’s Phrase Book” เมื่อหลายปีก่อน และผลงานเรื่องใหม่ชื่อ  “The Manager’s Phrase Book ตีพิมพ์เมื่อปี 2013 นี้  ได้ให้คำแนะนำเทคนิคการฝึกปรือการสื่อสารไว้หลายเรื่องที่น่าสนใจ มาติดตามกันครับ  
 

พูดให้ชัดและกระชับ  -  อย่าพูดอะไรด้วยถ้อยคำที่เป็นเทคนิคเฉพาะงานมากเกินไป เพราะคนอื่นที่ทำงานเกี่ยวข้องด้วยอาจจะไม่เข้าใจตามที่ท่านต้องการจะสื่อสาร แม้คนอื่นจะไม่โต้แย้งเพราะไม่อยากมีประเด็นด้วย  เค้าก็อาจจะเก็บความไม่เข้าใจและไปพูดถึงท่านในทางลบได้ง่าย ขอให้ท่านสื่อความที่เข้าใจได้ง่ายเข้าไว้  ใช้สื่อหรือภาพประกอบเพื่อให้มองเห็นภาพอย่างชัดเจน เช่น หากท่านต้องการสื่อสารถึงกระบวนการปรับปรุงงานบางเรื่อง ท่านอาจจะต้องเปรียบเทียบกระบวนการทำงานเก่า/ใหม่ให้เห็น  จุดที่ต้องเปลี่ยนแปลง รวมทั้งอย่าลืมวิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและทางลบที่อาจจะมีขึ้น  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโชว์พาวว่าตนเองแก่กล้าสามารถ แต่นำไปใช้ในโลกของการทำงานจริงไม่ได้  
 

มีความรู้และแนวคิดรอบรับสิ่งที่สื่อสาร   -   การทำงานที่ดีและได้ผล  ผมเห็นว่าต้องเกิดจากหลักคิดและข้อเท็จจริงของสถานการณ์ เพราะนั่นจะทำให้สิ่งที่ท่านคิดและนำเสนอออกมามีความน่าเชื่อถือ แต่ก็พึงระวังไม่ให้สิ่งที่ท่านคิดออกมาเป็นหลักการที่ไม่อาจนำมาปฏิบัติได้จริง โลกของทฤษฎี กับโลกของการทำงานจริง บางครั้งก็เดินไปด้วยกันไม่ได้ ทั้งที่ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารและจัดการส่วนมากก็เกิดมาจากปัญหาและข้อเท็จจริงของสถานการณ์การทำงานที่ปรากฎ  ผมยังมองว่า ปัญหาของการทำงานจริงไม่ได้อยู่ที่ทฤษฎี หรือหลักคิดนั้นไม่ถูกต้องหรอกครับ แต่น่าจะเกิดจากการปรับใช้ที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมากกว่า                      

พูดออกไปในทางบวก    -    ท่านทั้งหลายจงหลีกเลี่ยงการสื่อสารออกไปในทางลบ ไม่ว่าจะด้วยการโจมตีความคิดความเห็นของคนอื่น หรือการใช้ถ้อยคำอันแสดงถึงทัศนคติที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เมื่อท่านจะต้องสื่อสารเรื่องใด โดยเฉพาะหากท่านเห็นว่า จะต้องอาศัยการจูงใจประกอบกัน  ท่านยิ่งจะต้องมองสถานการณ์ทั้งหลายในทางบวก และสื่อให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างผลงานที่ดีให้แจ่มชัด

คิดให้รอบคอบก่อนสื่อสารออกไป   -   โบราณท่านว่า เมื่อพูดสิ่งใดออกไปแล้ว คำพูดจะเป็นนายของเรา  นั่นก็คือคำเตือนที่บอกให้รู้ว่า เมื่อท่านจะสื่อสารสิ่งใด นอกจากหลักคิดที่จะต้องรองรับอย่างมั่นคงหนักแน่นแล้ว  สิ่งที่ท่านพูดหรือสื่อสาร จะต้องกลั่นกรองให้ดี ดูว่าผู้ฟังกลุ่มใด จะรับสารอย่างไรจึงจะเกิดความเข้าใจตรงกับเจตนาของผู้ส่งสาร ในทำนองหนึ่ง การพูดถึงหลายเรื่องที่ต้องเชื่อมโยงกัน  จุดเชื่อมต่อของเรื่องจะต้องทำให้ความเข้าใจไม่ไขว้เขวไปจากภาพรวมของเรื่องที่ต้องการสื่อสาร  

เคลียร์ความคิดให้ดีและใจเย็น   -    ยกตัวอย่างเหมือนกับท่านเป็นกัปตันเรือ ที่ต้องบัญชาการลูกน้องทุกคนให้ไปในทิศทางที่ท่านอยากจะไป และเชื่อมั่นว่าจะช่วยฝ่ามรสุมในท้องทะเลลึกได้ นั่นก็หมายถึง ท่านจะต้องมั่นใจว่า เลือกทำสิ่งหนึ่ง แทนที่จะทำอีกสิ่งหนึ่งเพราะอะไร เมื่อเลือกแล้วก็ต้องมั่นใจจะก้าวไปในทางนั้น  และนั่นก็หมายถึงก่อนที่ท่านจะคิดและทำอะไรลงไป  ต้องคิดให้ดีคิดให้รอบ และเปรียบเทียบสิ่งที่คิดด้วยใจที่สงบนิ่ง (calm attitude) ไม่ใช่ผลีผลามรีบร้อน แต่ก็ต้องไม่เชื่องช้าเพราะรอข้อมูลแล้วไม่กล้าตัดสินใจนะครับ   

อย่าไปขัดคนอื่น   โดยเฉพาะหากท่านกำลังประชุม หรืออภิปรายเรื่องอะไรบางอย่าง มารยาทที่ดีของการสื่อสารคือต้องไม่ไปพูดขัดคอใคร แม้แต่ในตอนที่ผู้นำประชุมหรืออภิปรายเปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม ในเวทีของการทำงานร่วมกันนั้น ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการจูนทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน จะตัดกันออกไป ไม่ง่ายและสร้างปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อน ท่านว่าจริงมั๊ยครับ ?  

นักพูดที่โด่งดังในอดีต อาจจะมีพรสวรรค์ในการพูดและสะกดใจคนฟัง แต่เขาเหล่านั้นก็ยังผ่านการฝึกฝนประสบการณ์จากงานที่ทำ เพียงแต่อาจจะไม่ได้บอกใคร ๆ ให้รู้ว่าใช้เทคนิคการสื่อสารใดอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้น  การได้เรียนรู้เทคนิคการสื่อสารเพื่อให้ได้ผลเป็นเยี่ยม จากงานเขียนของผู้รู้ที่ผมเรียบเรียงมานำเสนอนี้  เชื่อว่าจะช่วยให้ท่านผู้อ่านที่เป็นหัวหน้างาน ได้นำไปใช้ประกอบการเรียนรู้และฝึกฝนตนเองได้มากทีเดียว และต้องลงมือทำอย่างจริงจังนะครับ