เป็นที่ยอมรับกันว่า
การมีคนทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะในระดับเดียวกัน เช่น เพื่อนร่วมงาน
หรือต่างระดับงาน อันได้แก่ หัวหน้างานกับลูกน้องนั้น
หากมีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานระหว่างกันแล้ว ความสำเร็จที่พึงประสงค์
อันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพก็จะเกิดขึ้นตามมาได้ไม่ยากนัก
ในทางวิชาการมองกันว่า
การมีความสัมพันธ์ในงานอย่างมีประสิทธิผล (Effective Work Relationship)
นั้น จะเป็นพื้นฐานของสิ่งดีดีจากการทำงานหลายอย่าง อันได้แก่
การได้รับปรับเลื่อนตำแหน่ง และยังส่งผลให้ได้รับการปรับเงินเดือนค่าจ้าง
ทำงานได้บรรลุเป้าหมาย และความพึงพอใจในงาน (Job Satisfaction)
การที่จะบอกว่าคนทำงานด้วยกัน
มีความสัมพันธ์ในงานอย่างไรนั้นเป็นเรื่องไม่ยากครับ
สังเกตได้จากการแสดงออกและพฤติกรรมการทำงานทั้งหลายที่มีระหว่างกัน
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ไม่ว่าท่านจะเรียนจบการศึกษาที่สูงแค่ไหน
หรือจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาที่เลอเลิศในคุณภาพการผลิตบัณฑิตเพียงใด หากท่าน
“ไม่สามารถทำงานกับชาวบ้าน (เพื่อนร่วมงาน) คนอื่นเค้าได้”
ท่านก็ย่อมไม่ใช่คนเก่งที่องค์กรต้องการอยู่วันยังค่ำ
เคยมีผู้รู้ท่านเปรียบเทียบว่า
หากนำไอน์สไตน์ กาลิเลโอ มัส อัลวา
เอดิสัน และเบนจามัน แฟรงคลิน
อัจฉริยะนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก้องโลกมาทั่งทำงานร่วมกันเป็นทีม
ซึ่งต้องอาศัยการมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ในงานที่ลื่นไหลอย่างมากแล้ว
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเลิศให้แก่โลกได้มากน้อยเพียงใด ที่เปรียบเปรยเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นเพียงว่า
คนธรรมดาอย่างเราเรา หากรู้จักทำงานกับคนอื่นเป็น
พลังในการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีก็ย่อมมีมาก
และเกิดคุณค่าต่อองค์กรได้มากเช่นเดียวกัน
ความสัมพันธ์ในงานสำคัญเพียงใด
อาจจะดูได้จาก Gallup
องค์กรที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญเรื่องการสำรวจความพึงพอใจในการทำงานชี้ให้เห็นว่า
การมีเพื่อนที่ดี (หรือมีความสัมพันธ์กันฉันท์เพื่อนที่ดี) ในที่ทำงาน เป็นหนึ่งใน
12 ปัจจัยที่ทำนายความพึงพอใจในการทำงานได้ ส่วนปัจจัยที่สำคัญอย่างมากลำดับต้น
ก็หนีไม้พ้น “หัวหน้างาน”
เชื่อว่าท่านผู้อ่าน พอจะทราบกันอยู่บ้างแล้ว
ในระดับหัวหน้างานในองค์กรจำนวนไม่น้อยในบ้านเราก็ยิ่งน่าตกใจ
เนื่องจากเราชอบเล่นการเมืองกัน
ชอบที่จะแทงข้างหลังโดยการโยนความผิดให้คนอื่น
แต่ไม่เคยคิดหันหน้ามาช่วยกันรับมือแก้ไขปัญหาเลย
ซ้ำหลายครั้งทำตัวให้ลูกน้องบ่นว่าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเสียด้วย ชอบบอกว่าปัญหามีอะไรบ้าง
แต่กลับไม่เคยที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหา (ถือว่าธุระไม่ใช่ เช่น
หาคนทำงานไม่ได้ก็โทษ HR
ทั้งที่ก็รู้ว่าในตลาดแรงงานช่วงกลางปีหาคนมีฝีมือเข้าร่วมงานยาก
หรือบ่นว่า HR ไม่พัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน
แต่ตัวเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าจะพัฒนาลูกน้องเป็นรายตัวในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น)
หลายองค์กรที่มีหัวหน้างานแบบนี้ ก็น่ากังวลล่ะครับ
แล้วจะทำอย่างไรเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานด้วยกันล่ะ
ผมพอมีเคล็ดลับที่รวบรวมมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมานำเสนอไว้ 7 เรื่อง
มาติดตามกันดูครับ
เรื่องที่ 1 เสนอแนวทางการทำงานที่ดีเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหา
แก่ทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ไม่ว่าจะทางตรงหรือในบางโอกาสที่มีการประชุมเพื่อระดมความคิดแก้ไขปัญหากัน การนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้
ควรจะต้องเกิดมาจากการทุ่มเทความคิด และคิดอย่างรอบคอบเพื่อให้รับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล
ซึ่งอาจจะแชร์แนวทางการตั้งคำถามกับปัญหานั้นตามแนวคิดของ Deming เช่น ระบบงานมีข้อบกพร่องที่ส่งผลให้พนักงานทำงานผิดพลาดหรือไม่
เป็นต้น นี่ก็คือ
คุณค่าที่ท่านทำได้ในทุกโอกาสเพื่อเพื่อนร่วมงาน แต่โชคร้ายที่ในหลายองค์กร
มักจะพบเห็นคนทำงานจำนวนหนึ่งที่มีความคิดดีดีเช่นกัน
แต่ไม่อยากจะพูดออกมาเพราะมองเพียงสั้น ๆ ว่า หัวหน้าอาจจะไม่รับฟัง
หรือไม่ได้รับประโยชน์อะไรตอบแทน
จึงไม่มีข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้าง
สัมพันธภาพที่ดีจากความรู้สึกร่วมหัวจมท้ายและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็ไม่เกิด และลงท้ายแล้ว จะพบว่า คนพวกนี้เอง
จะไม่เติบโตในหน้าที่การงานอะไรมากมายนัก
เรื่องที่ 2 อย่าโทษคนอื่น สมมติว่ามีงานผิดพลาดใดขึ้นมา
ท่านควรจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์นั้น ซึ่งแน่นอนครับที่จะมองว่าเป็นความผิดพลาด (error)
ของคนหรือระบบงาน หรือทั้งสองอย่างประกอบกัน แต่เมื่อรู้รากฐานของปัญหาแล้ว
สิ่งที่ท่านไม่ควรต้องทำเลยคือไปเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ แม้ความบกพร่องนั่น
แท้จริงจะเกิดจากคนอื่นก็ตาม เพราะรังแต่จะทำให้ท่านมีศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
และนั่นก็หมายถึงการขาดสัมพันธภาพที่ดีในการทำงานระหว่างกันด้วย
ในการทำงานก็จะมีทั้งคนที่ไม่สนใจใคร
คนไหนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่งานของฉัน ฉันไม่ยุ่ง
กับคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอื่นเพื่อให้งานภาพรวมเสร็จ
เพราะมองภาพผลงานของหน่วยงานในภาพรวม คนกลุ่มแรก มีแนวโน้มที่จะโทษคนอื่น
โทษระบบงานหรืออะไรอย่างอื่นเพื่อโยนความผิด
หากเกิดข้อผิดพลาดใดในงานของตัวเองขึ้นมา เนื่องจากมักมองว่างานของตัวเองก็ยุ่ง
และจริตพื้นฐานนั้น กลัวว่าปัญหาจะส่งผลกระทบต่องานหรือตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง
ในขณะที่คนกลุ่มหลัง มักจะกล้าท้าทายการเปลี่ยนแปลง
และยอมรับความบกพร่องผิดพลาดได้มากกว่า
เรื่องที่ 3 ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร อยากให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านเรื่อง “จะสื่อสารได้อย่างให้ได้ประสิทธิผล”
ซึ่งผมชี้ให้เห็นว่าทักษะการสื่อสารนั้น
ได้กลายมาเป็นคุณสมบัติพื้นฐานและสิ่งสำคัญที่คนทำงานสมัยนี้ต้องมีเสียแล้ว
เพราะหากรู้งานแต่สื่อสารไม่เป็น
ผลลัพธ์ของงานที่คาดหวังก็อาจจะไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้
เรื่องที่ 4 อย่ามองข้ามเพื่อนร่วมงาน
และเพิกเฉยที่จะรายงานหัวหน้า สมมติว่าเพื่อนร่วมงานเพิ่งจะเคยได้ยินปัญหานั้นเป็นครั้งแรกจากที่ได้ประชุมกัน
หรือจากอีเมล์ที่ท่านส่งไปยังหัวหน้างาน และ cc: ไปยังท่าน
เขาอาจจะมีปฏิกิริยาสองอย่างคือ จะ “ช่วย” หรือ “ไม่ช่วย” ให้ความเห็นและลงมือแก้ไขปัญหากับท่าน
ก็ได้ แต่สิ่งที่เค้าจะต้องรู้ก็คือ
ปัญหาที่อาจจะกระทบกับเขา หรือที่เขาจะต้องมีส่วนแก้ไขปัญหาด้วย
ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมองว่าท่านไปทำอะไรลับหลัง ซึ่งไม่เชื่อเรื่องที่ดี
และมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ในการทำงานย่ำแย่ลง โดยเฉพาะกับหัวหน้างาน
ท่านยิ่งต้องหมั่นรายงานความคืบหน้าให้ทราบอยู่เสมอ เจอปัญหาติดขัดก็ต้องบอก
บอกก่อนเกิดปัญหาถือว่ารายงาน บอกทีหลังเข้าข่ายแก้ตัวครับ
เรื่องที่ 5 รักษาคำมั่นสัญญา การทำงานในองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับงานของคนอื่นเสมอ
ไม่มีใครที่ทำงานฉายเดี่ยวได้คนเดียวจนครบกระบวนการ
การจะทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้
จำเป็นต้องอาศัยการรักษาสัญญาและส่งมอบงานที่ตรงกับเวลา
หากท่านรักษาเงื่อนไขนี้ไม่ได้ นอกจากงานในภาพรวมจะเสียหายแล้ว ยังส่งผลให้เพื่อนร่วมงานไม่อยากทำงานด้วย
เพราะเค้าก็อาจจะไม่ไว้ใจว่าท่านจะทำให้งานของเค้าเสียหาย
หรืออาจจะสร้างปัญหาตามมาให้เค้าก็ได้
เอาไปเอามา
หากท่านไม่รักษาคำมั่นในการส่งมอบงานหรือความช่วยเหลือในงานที่ได้รับมอบหมายจากทีมแล้ว
ท่านก็อาจจะกลายเป็นคนไร้เครดิตไปก็ได้นะ ไม่ดี ไม่ดี.....
เรื่องที่ 6 ให้เครดิตในผลงานกับเพื่อนร่วมงาน ในการทำงานเป็นทีม
หรือหลายงานที่ต้องแบ่งงานกันทำ
แม้จะไม่รวมตัวกันเป็นทีมงานเฉพาะก็ตาม
ย่อมมีแต่ผลงานของเรา ไม่มีผลงานของผม หรือผลงานของดิฉัน หากท่านต้องการสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น การให้เครดิตกับคนทำงานทุกคนอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยนะครับ และยังควรต้องแลกเปลี่ยนไอเดียในสิ่งที่ทำ เพื่อให้เพื่อนร่วมงานได้รับประสบการณ์และแชร์มุมมองกันเสมอ
อันจะนำไปสู่สถานการณ์การทำงานที่ราบรื่น และไว้วางใจระหว่างกัน
เรื่องที่ 7 ช่วยสนับสนุนให้คนอื่นสร้างผลงานที่ดี
ผมเชื่อว่าคนทำงานทั้งหลายนั้นต่างก็มีทักษะประสบการณ์
หรือมีฝีมือเฉพาะตัว
ซึ่งจะสามารถช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่นทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้
เพียงแต่ท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่เรื่องแบบนี้
ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องรอให้ใครมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ก่อน ในการทำงานร่วมกัน
การแสดงจิตเจตนาที่จะช่วยเหลืองานคนอื่นในเวลาที่ทรัพยากรที่ท่านมี
เป็นน้ำใจอันงดงามที่ทุกองค์กรก็อยากให้เกิดกันทั้งนั้น หลายองค์กร
รณรงค์เรื่องความมีน้ำใจ
เป็นคุณค่าหรือวัฒนธรรมที่ทุกคนในองค์กรต้องฝึกปรือให้เป็นนิสัย
และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งจะได้รับการประเมินผลพร้อมกับเกณฑ์การประเมินด้านปริมาณและคุณภาพของงาน
ผมเชื่อว่า
หากท่านผู้อ่าน พินิจพิเคราะห์นำเอาเทคนิค 7 อย่างนี้ไปทดลองทำแล้ว
ท่านก็จะพบว่าตัวเองสามารถทำงานเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากขึ้น
เพราะท่านจะเริ่มลดกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับการทำงานระหว่างกันลงได้มาก
และกลเม็ดเคล็ดลับอีกบางเรื่องเช่น การรักษาคำมั่นสัญญา ก็ยังมีบางมุมที่นำมาสู่การประเมินค่าของคนอื่นว่าท่านเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่าเชื่อถือ
ช่วยให้เกิดความไว้วางใจในการทำงานระหว่างกัน ทั้งงานที่ต้องทำเดี่ยว ๆ
และงานที่ต้องช่วยกันเป็นทีม
และย่อมนำมาซึ่งการชื่นชมสรรเสริญในความสำเร็จของงานในภาพรวมอีกด้วย
ในส่วนของคนทำงานเองก็จะได้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง
เรียกว่า ได้ผลดีมากมายหลายเรื่องตามมา แบบนี้ ไม่ลองทำไม่ได้แล้วนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น