วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน

เป็นที่ยอมรับกันว่า การมีคนทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะในระดับเดียวกัน เช่น เพื่อนร่วมงาน หรือต่างระดับงาน อันได้แก่ หัวหน้างานกับลูกน้องนั้น หากมีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานระหว่างกันแล้ว ความสำเร็จที่พึงประสงค์ อันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพก็จะเกิดขึ้นตามมาได้ไม่ยากนัก  
ในทางวิชาการมองกันว่า การมีความสัมพันธ์ในงานอย่างมีประสิทธิผล (Effective Work Relationship) นั้น จะเป็นพื้นฐานของสิ่งดีดีจากการทำงานหลายอย่าง อันได้แก่ การได้รับปรับเลื่อนตำแหน่ง และยังส่งผลให้ได้รับการปรับเงินเดือนค่าจ้าง ทำงานได้บรรลุเป้าหมาย และความพึงพอใจในงาน (Job Satisfaction) 
การที่จะบอกว่าคนทำงานด้วยกัน มีความสัมพันธ์ในงานอย่างไรนั้นเป็นเรื่องไม่ยากครับ สังเกตได้จากการแสดงออกและพฤติกรรมการทำงานทั้งหลายที่มีระหว่างกัน เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า ไม่ว่าท่านจะเรียนจบการศึกษาที่สูงแค่ไหน หรือจากมหาวิทยาลัย/สถาบันการศึกษาที่เลอเลิศในคุณภาพการผลิตบัณฑิตเพียงใด หากท่าน “ไม่สามารถทำงานกับชาวบ้าน (เพื่อนร่วมงาน) คนอื่นเค้าได้” ท่านก็ย่อมไม่ใช่คนเก่งที่องค์กรต้องการอยู่วันยังค่ำ

เคยมีผู้รู้ท่านเปรียบเทียบว่า หากนำไอน์สไตน์  กาลิเลโอ มัส อัลวา เอดิสัน และเบนจามัน แฟรงคลิน อัจฉริยะนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ก้องโลกมาทั่งทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งต้องอาศัยการมีพื้นฐานของความสัมพันธ์ในงานที่ลื่นไหลอย่างมากแล้ว ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า จะสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเลิศให้แก่โลกได้มากน้อยเพียงใด  ที่เปรียบเปรยเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นเพียงว่า คนธรรมดาอย่างเราเรา หากรู้จักทำงานกับคนอื่นเป็น  พลังในการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีก็ย่อมมีมาก และเกิดคุณค่าต่อองค์กรได้มากเช่นเดียวกัน   

ความสัมพันธ์ในงานสำคัญเพียงใด อาจจะดูได้จาก Gallup องค์กรที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญเรื่องการสำรวจความพึงพอใจในการทำงานชี้ให้เห็นว่า การมีเพื่อนที่ดี (หรือมีความสัมพันธ์กันฉันท์เพื่อนที่ดี) ในที่ทำงาน เป็นหนึ่งใน 12 ปัจจัยที่ทำนายความพึงพอใจในการทำงานได้ ส่วนปัจจัยที่สำคัญอย่างมากลำดับต้น ก็หนีไม้พ้น “หัวหน้างาน”  เชื่อว่าท่านผู้อ่าน พอจะทราบกันอยู่บ้างแล้ว 

ในระดับหัวหน้างานในองค์กรจำนวนไม่น้อยในบ้านเราก็ยิ่งน่าตกใจ เนื่องจากเราชอบเล่นการเมืองกัน  ชอบที่จะแทงข้างหลังโดยการโยนความผิดให้คนอื่น แต่ไม่เคยคิดหันหน้ามาช่วยกันรับมือแก้ไขปัญหาเลย  ซ้ำหลายครั้งทำตัวให้ลูกน้องบ่นว่าไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเสียด้วย  ชอบบอกว่าปัญหามีอะไรบ้าง แต่กลับไม่เคยที่จะร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขปัญหา (ถือว่าธุระไม่ใช่ เช่น หาคนทำงานไม่ได้ก็โทษ HR ทั้งที่ก็รู้ว่าในตลาดแรงงานช่วงกลางปีหาคนมีฝีมือเข้าร่วมงานยาก หรือบ่นว่า HR ไม่พัฒนาบุคลากรในหน่วยงาน แต่ตัวเองก็ไม่เคยรู้เลยว่าจะพัฒนาลูกน้องเป็นรายตัวในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น) หลายองค์กรที่มีหัวหน้างานแบบนี้ ก็น่ากังวลล่ะครับ

แล้วจะทำอย่างไรเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ในการทำงานด้วยกันล่ะ  ผมพอมีเคล็ดลับที่รวบรวมมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านมานำเสนอไว้ 7 เรื่อง มาติดตามกันดูครับ

เรื่องที่  1  เสนอแนวทางการทำงานที่ดีเพื่อรับมือและแก้ไขปัญหา  แก่ทั้งเพื่อนร่วมงานและหัวหน้างาน ไม่ว่าจะทางตรงหรือในบางโอกาสที่มีการประชุมเพื่อระดมความคิดแก้ไขปัญหากัน  การนำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้ ควรจะต้องเกิดมาจากการทุ่มเทความคิด และคิดอย่างรอบคอบเพื่อให้รับมือกับปัญหาได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งอาจจะแชร์แนวทางการตั้งคำถามกับปัญหานั้นตามแนวคิดของ Deming เช่น ระบบงานมีข้อบกพร่องที่ส่งผลให้พนักงานทำงานผิดพลาดหรือไม่ เป็นต้น  นี่ก็คือ คุณค่าที่ท่านทำได้ในทุกโอกาสเพื่อเพื่อนร่วมงาน  แต่โชคร้ายที่ในหลายองค์กร  มักจะพบเห็นคนทำงานจำนวนหนึ่งที่มีความคิดดีดีเช่นกัน แต่ไม่อยากจะพูดออกมาเพราะมองเพียงสั้น ๆ ว่า หัวหน้าอาจจะไม่รับฟัง หรือไม่ได้รับประโยชน์อะไรตอบแทน  จึงไม่มีข้อเสนออะไรที่เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้าง สัมพันธภาพที่ดีจากความรู้สึกร่วมหัวจมท้ายและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็ไม่เกิด  และลงท้ายแล้ว จะพบว่า คนพวกนี้เอง จะไม่เติบโตในหน้าที่การงานอะไรมากมายนัก 
เรื่องที่  2  อย่าโทษคนอื่น  สมมติว่ามีงานผิดพลาดใดขึ้นมา ท่านควรจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์นั้น  ซึ่งแน่นอนครับที่จะมองว่าเป็นความผิดพลาด (error) ของคนหรือระบบงาน หรือทั้งสองอย่างประกอบกัน แต่เมื่อรู้รากฐานของปัญหาแล้ว สิ่งที่ท่านไม่ควรต้องทำเลยคือไปเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ แม้ความบกพร่องนั่น แท้จริงจะเกิดจากคนอื่นก็ตาม เพราะรังแต่จะทำให้ท่านมีศัตรูเพิ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นก็หมายถึงการขาดสัมพันธภาพที่ดีในการทำงานระหว่างกันด้วย 
ในการทำงานก็จะมีทั้งคนที่ไม่สนใจใคร คนไหนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่งานของฉัน ฉันไม่ยุ่ง กับคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอื่นเพื่อให้งานภาพรวมเสร็จ เพราะมองภาพผลงานของหน่วยงานในภาพรวม คนกลุ่มแรก มีแนวโน้มที่จะโทษคนอื่น โทษระบบงานหรืออะไรอย่างอื่นเพื่อโยนความผิด หากเกิดข้อผิดพลาดใดในงานของตัวเองขึ้นมา เนื่องจากมักมองว่างานของตัวเองก็ยุ่ง และจริตพื้นฐานนั้น กลัวว่าปัญหาจะส่งผลกระทบต่องานหรือตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ในขณะที่คนกลุ่มหลัง มักจะกล้าท้าทายการเปลี่ยนแปลง และยอมรับความบกพร่องผิดพลาดได้มากกว่า
เรื่องที่  3   ให้ความสำคัญกับการสื่อสาร  อยากให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปอ่านเรื่อง “จะสื่อสารได้อย่างให้ได้ประสิทธิผล”  ซึ่งผมชี้ให้เห็นว่าทักษะการสื่อสารนั้น ได้กลายมาเป็นคุณสมบัติพื้นฐานและสิ่งสำคัญที่คนทำงานสมัยนี้ต้องมีเสียแล้ว เพราะหากรู้งานแต่สื่อสารไม่เป็น  ผลลัพธ์ของงานที่คาดหวังก็อาจจะไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ 

เรื่องที่  4  อย่ามองข้ามเพื่อนร่วมงาน และเพิกเฉยที่จะรายงานหัวหน้า  สมมติว่าเพื่อนร่วมงานเพิ่งจะเคยได้ยินปัญหานั้นเป็นครั้งแรกจากที่ได้ประชุมกัน หรือจากอีเมล์ที่ท่านส่งไปยังหัวหน้างาน และ cc: ไปยังท่าน เขาอาจจะมีปฏิกิริยาสองอย่างคือ จะ “ช่วย” หรือ “ไม่ช่วย” ให้ความเห็นและลงมือแก้ไขปัญหากับท่าน  ก็ได้ แต่สิ่งที่เค้าจะต้องรู้ก็คือ ปัญหาที่อาจจะกระทบกับเขา หรือที่เขาจะต้องมีส่วนแก้ไขปัญหาด้วย ไม่เช่นนั้นก็อาจจะมองว่าท่านไปทำอะไรลับหลัง ซึ่งไม่เชื่อเรื่องที่ดี และมีแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ในการทำงานย่ำแย่ลง โดยเฉพาะกับหัวหน้างาน ท่านยิ่งต้องหมั่นรายงานความคืบหน้าให้ทราบอยู่เสมอ เจอปัญหาติดขัดก็ต้องบอก
บอกก่อนเกิดปัญหาถือว่ารายงาน  บอกทีหลังเข้าข่ายแก้ตัวครับ
เรื่องที่  5  รักษาคำมั่นสัญญา  การทำงานในองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับงานของคนอื่นเสมอ  ไม่มีใครที่ทำงานฉายเดี่ยวได้คนเดียวจนครบกระบวนการ การจะทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้ จำเป็นต้องอาศัยการรักษาสัญญาและส่งมอบงานที่ตรงกับเวลา หากท่านรักษาเงื่อนไขนี้ไม่ได้ นอกจากงานในภาพรวมจะเสียหายแล้ว ยังส่งผลให้เพื่อนร่วมงานไม่อยากทำงานด้วย เพราะเค้าก็อาจจะไม่ไว้ใจว่าท่านจะทำให้งานของเค้าเสียหาย หรืออาจจะสร้างปัญหาตามมาให้เค้าก็ได้  เอาไปเอามา หากท่านไม่รักษาคำมั่นในการส่งมอบงานหรือความช่วยเหลือในงานที่ได้รับมอบหมายจากทีมแล้ว ท่านก็อาจจะกลายเป็นคนไร้เครดิตไปก็ได้นะ ไม่ดี ไม่ดี.....
เรื่องที่  6  ให้เครดิตในผลงานกับเพื่อนร่วมงาน  ในการทำงานเป็นทีม หรือหลายงานที่ต้องแบ่งงานกันทำ  แม้จะไม่รวมตัวกันเป็นทีมงานเฉพาะก็ตาม  ย่อมมีแต่ผลงานของเรา ไม่มีผลงานของผม หรือผลงานของดิฉัน  หากท่านต้องการสานความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น  การให้เครดิตกับคนทำงานทุกคนอย่างเหมาะสม เป็นเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยนะครับ  และยังควรต้องแลกเปลี่ยนไอเดียในสิ่งที่ทำ เพื่อให้เพื่อนร่วมงานได้รับประสบการณ์และแชร์มุมมองกันเสมอ อันจะนำไปสู่สถานการณ์การทำงานที่ราบรื่น และไว้วางใจระหว่างกัน 
เรื่องที่  7  ช่วยสนับสนุนให้คนอื่นสร้างผลงานที่ดี  ผมเชื่อว่าคนทำงานทั้งหลายนั้นต่างก็มีทักษะประสบการณ์ หรือมีฝีมือเฉพาะตัว ซึ่งจะสามารถช่วยเพื่อนร่วมงานคนอื่นทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมายได้ เพียงแต่ท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่เรื่องแบบนี้ ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องรอให้ใครมาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ก่อน ในการทำงานร่วมกัน การแสดงจิตเจตนาที่จะช่วยเหลืองานคนอื่นในเวลาที่ทรัพยากรที่ท่านมี เป็นน้ำใจอันงดงามที่ทุกองค์กรก็อยากให้เกิดกันทั้งนั้น หลายองค์กร รณรงค์เรื่องความมีน้ำใจ เป็นคุณค่าหรือวัฒนธรรมที่ทุกคนในองค์กรต้องฝึกปรือให้เป็นนิสัย และแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งจะได้รับการประเมินผลพร้อมกับเกณฑ์การประเมินด้านปริมาณและคุณภาพของงาน   

ผมเชื่อว่า หากท่านผู้อ่าน พินิจพิเคราะห์นำเอาเทคนิค 7 อย่างนี้ไปทดลองทำแล้ว ท่านก็จะพบว่าตัวเองสามารถทำงานเข้ากับคนอื่นได้ง่ายมากขึ้น เพราะท่านจะเริ่มลดกิจกรรมหลายอย่างที่ไม่เป็นผลดีกับการทำงานระหว่างกันลงได้มาก และกลเม็ดเคล็ดลับอีกบางเรื่องเช่น การรักษาคำมั่นสัญญา  ก็ยังมีบางมุมที่นำมาสู่การประเมินค่าของคนอื่นว่าท่านเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่าเชื่อถือ ช่วยให้เกิดความไว้วางใจในการทำงานระหว่างกัน ทั้งงานที่ต้องทำเดี่ยว ๆ และงานที่ต้องช่วยกันเป็นทีม  และย่อมนำมาซึ่งการชื่นชมสรรเสริญในความสำเร็จของงานในภาพรวมอีกด้วย  ในส่วนของคนทำงานเองก็จะได้เกิดแรงจูงใจในการทำงานที่เป็นพื้นฐานในการสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของตัวเอง เรียกว่า ได้ผลดีมากมายหลายเรื่องตามมา แบบนี้ ไม่ลองทำไม่ได้แล้วนะครับ   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น