หัวหน้างานนั้น
เป็นตำแหน่งและมีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบที่ตั้งขึ้นมาตามโครงสร้างขององค์กร
โดยมุ่งหวังให้เป็นผู้ที่เชื่อมต่อตรงกลางระหว่างผู้บริหารระดับสูงและพนักงานระดับปฏิบัติการ การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้างาน ไม่ว่าจะเรียกตำแหน่งว่าเป็น
‘supervisor’
หรือ ‘manager’ ก็ตาม
ย่อมบ่งชี้ได้ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญในงานเพียงพอที่จะทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้
หน้าที่ตรงกลางระหว่างคนสองระดับนี้
จะเป็นไปได้ด้วยดีย่อมต้องอาศัยทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิผลทั้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
กับบุคลากรทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทักษะการสื่อสาร
(Communication
Skills)
ในโลกยุคสมัยใหม่นี้ ได้กลายมาเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับการทำงาน
และพื้นฐานของการเติบโตในสายอาชีพมากขึ้นเป็นลำดับ ถือกันว่า
หากรู้งานแต่สื่อสารไม่เป็น ก็อาจจะการันตีผลลัพธ์ของงานได้ไม่มากเท่าที่ควร ยกตัวอย่าง
หากท่านเป็น HR ที่กำลัง implement ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance
Management System) ในระดับหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงาน
แต่กลับไม่อาจสื่อสารให้คนที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์
กระบวนการขั้นตอนที่จะดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรคที่อาจมี และข้อดี-ข้อเสียที่จะต้องมานั่งปรับจูนกันในรายละเอียด
เป็นต้น ก็คาดหวังความสำเร็จของงาน
(ที่แม้จะอยากผลักดันเพียงใด) ได้ยากเช่นกันครับ
ยิ่งในโลกการทำงานปัจจุบันที่มีสารสนเทศรายรอบตัวเรามากมาย
เครื่องมือและวิธีการสื่อสารก็มีหลากหลายมากขึ้น ค่านิยมการรับข้อมูลข่าวสารของคนทำงานเปลี่ยนแปลงไป อีเมล์
ได้เข้ามาเป็นเครื่องมือนำส่งสารแทนที่บันทึกภายใน
แฟกซ์หรือจดหมายที่ใช้ติดต่อระหว่างบุคคลของบางองค์กรเกือบจะ 100% แล้ว คนทำงานจำนวนมาก
แม้บางครั้งนั่งอยู่ตรงข้ามคอกกั้น (เรียกให้หรูหน่อยก็คือ ‘partition’) ก็ยัง Line คุยกันเฉย ๆ ซะงั้น
ว่ากันไปแล้ว
Social
Media ในโลกกลม ๆ ใบนี้
ได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มบุคคล
รวมทั้งได้สร้างชั้นของการสื่อสารที่ซับซ้อนและควบคุมได้ยากมากขึ้น การสื่อสารจึงต้องนำเอาศิลปะมาผนวกเข้ากับเทคนิคเครื่องมือให้ลงตัว
จนมั่นใจได้ว่าผู้รับสารจะได้สารตามเจตนาของผู้ส่ง
เพราะหากปล่อยให้สื่อสารกันไปตามยถากรรม อาจจะมีปัญหาหลายอย่างตามมาเช่น
โครงการ/งานที่ทำไม่เสร็จตามเวลา ลูกน้องสับสนในความคาดหวังทั้งหลายที่หัวหน้ามีกับเขา
หรือเป้าหมายงานที่ท่านตั้งไว้อาจจะพังครืนได้เลย เพราะผู้บริหารระดับสูง
เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง เข้าใจเรื่องไปคนละทิศคนละทางกัน เป็นต้น
ผมคิดว่า
การสื่อสารที่มีประสิทธิผลนั้น ไม่ใช่ “พรสวรรค์” ที่มีขึ้นได้โดยไม่ต้อง “แสวงหา”
แหม ทักษะพวกนี้ ไม่ไปติดตัวมาแต่เกิดเหมือนกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่เกิดในในรั้วในวังซะหน่อย
แม้คุณชายจะพูดจาแล้วประชาชนคนสามัญฟังไม่ได้ความมากนัก
แต่ศักดิ์ของคุณชายในราชตระกูลก็ยังคงอยู่วันยังค่ำ จะสื่อสารให้ได้ผลดี ต้องอาศัยการฝึกฝนให้เกิดประสบการณ์จริง
และยิ่งสถานการณ์ทำงานมีบริบทที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเองให้หนัก
เรามักพบว่า
คนทำงาน HR
(เป็นต้นนะครับ) มักไม่ค่อยเข้าใจนักบัญชี หรือคนทำงาน IT มากนัก เพราะเค้ามีศัพท์แสง (terminology & jargon) มากมาย
โอกาสเกิดความบกพร่องในการสื่อสารก็มีมากขึ้น เรื่องที่ยกมานี้ เป็นตัวอย่างที่เตือนให้ระวัง
และมุ่งมั่นกับการพัฒนาทักษะด้านนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปครับ
เอาล่ะครับ
ไม่ว่าจะทำงานในอาชีพใด ปัญหาของการสื่อสารที่ไม่ลื่นไหล และไร้ผลก็มีขึ้นได้เสมอ Patrick Alian ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Leader’s Phrase
Book” เมื่อหลายปีก่อน และผลงานเรื่องใหม่ชื่อ “The Manager’s Phrase Book” ตีพิมพ์เมื่อปี 2013
นี้ ได้ให้คำแนะนำเทคนิคการฝึกปรือการสื่อสารไว้หลายเรื่องที่น่าสนใจ
มาติดตามกันครับ
พูดให้ชัดและกระชับ
- อย่าพูดอะไรด้วยถ้อยคำที่เป็นเทคนิคเฉพาะงานมากเกินไป
เพราะคนอื่นที่ทำงานเกี่ยวข้องด้วยอาจจะไม่เข้าใจตามที่ท่านต้องการจะสื่อสาร
แม้คนอื่นจะไม่โต้แย้งเพราะไม่อยากมีประเด็นด้วย
เค้าก็อาจจะเก็บความไม่เข้าใจและไปพูดถึงท่านในทางลบได้ง่าย
ขอให้ท่านสื่อความที่เข้าใจได้ง่ายเข้าไว้
ใช้สื่อหรือภาพประกอบเพื่อให้มองเห็นภาพอย่างชัดเจน เช่น
หากท่านต้องการสื่อสารถึงกระบวนการปรับปรุงงานบางเรื่อง
ท่านอาจจะต้องเปรียบเทียบกระบวนการทำงานเก่า/ใหม่ให้เห็น จุดที่ต้องเปลี่ยนแปลง
รวมทั้งอย่าลืมวิเคราะห์ผลกระทบทางบวกและทางลบที่อาจจะมีขึ้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโชว์พาวว่าตนเองแก่กล้าสามารถ
แต่นำไปใช้ในโลกของการทำงานจริงไม่ได้
มีความรู้และแนวคิดรอบรับสิ่งที่สื่อสาร
- การทำงานที่ดีและได้ผล
ผมเห็นว่าต้องเกิดจากหลักคิดและข้อเท็จจริงของสถานการณ์
เพราะนั่นจะทำให้สิ่งที่ท่านคิดและนำเสนอออกมามีความน่าเชื่อถือ
แต่ก็พึงระวังไม่ให้สิ่งที่ท่านคิดออกมาเป็นหลักการที่ไม่อาจนำมาปฏิบัติได้จริง
โลกของทฤษฎี กับโลกของการทำงานจริง บางครั้งก็เดินไปด้วยกันไม่ได้
ทั้งที่ทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารและจัดการส่วนมากก็เกิดมาจากปัญหาและข้อเท็จจริงของสถานการณ์การทำงานที่ปรากฎ ผมยังมองว่า
ปัญหาของการทำงานจริงไม่ได้อยู่ที่ทฤษฎี หรือหลักคิดนั้นไม่ถูกต้องหรอกครับ
แต่น่าจะเกิดจากการปรับใช้ที่ไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของปัจจัยต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องมากกว่า
พูดออกไปในทางบวก
- ท่านทั้งหลายจงหลีกเลี่ยงการสื่อสารออกไปในทางลบ
ไม่ว่าจะด้วยการโจมตีความคิดความเห็นของคนอื่น
หรือการใช้ถ้อยคำอันแสดงถึงทัศนคติที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
เมื่อท่านจะต้องสื่อสารเรื่องใด โดยเฉพาะหากท่านเห็นว่า
จะต้องอาศัยการจูงใจประกอบกัน ท่านยิ่งจะต้องมองสถานการณ์ทั้งหลายในทางบวก
และสื่อให้เห็นถึงโอกาสในการสร้างผลงานที่ดีให้แจ่มชัด
คิดให้รอบคอบก่อนสื่อสารออกไป
- โบราณท่านว่า เมื่อพูดสิ่งใดออกไปแล้ว
คำพูดจะเป็นนายของเรา
นั่นก็คือคำเตือนที่บอกให้รู้ว่า เมื่อท่านจะสื่อสารสิ่งใด
นอกจากหลักคิดที่จะต้องรองรับอย่างมั่นคงหนักแน่นแล้ว สิ่งที่ท่านพูดหรือสื่อสาร
จะต้องกลั่นกรองให้ดี ดูว่าผู้ฟังกลุ่มใด จะรับสารอย่างไรจึงจะเกิดความเข้าใจตรงกับเจตนาของผู้ส่งสาร
ในทำนองหนึ่ง การพูดถึงหลายเรื่องที่ต้องเชื่อมโยงกัน
จุดเชื่อมต่อของเรื่องจะต้องทำให้ความเข้าใจไม่ไขว้เขวไปจากภาพรวมของเรื่องที่ต้องการสื่อสาร
เคลียร์ความคิดให้ดีและใจเย็น
- ยกตัวอย่างเหมือนกับท่านเป็นกัปตันเรือ ที่ต้องบัญชาการลูกน้องทุกคนให้ไปในทิศทางที่ท่านอยากจะไป
และเชื่อมั่นว่าจะช่วยฝ่ามรสุมในท้องทะเลลึกได้ นั่นก็หมายถึง ท่านจะต้องมั่นใจว่า
เลือกทำสิ่งหนึ่ง แทนที่จะทำอีกสิ่งหนึ่งเพราะอะไร
เมื่อเลือกแล้วก็ต้องมั่นใจจะก้าวไปในทางนั้น
และนั่นก็หมายถึงก่อนที่ท่านจะคิดและทำอะไรลงไป ต้องคิดให้ดีคิดให้รอบ
และเปรียบเทียบสิ่งที่คิดด้วยใจที่สงบนิ่ง (calm attitude)
ไม่ใช่ผลีผลามรีบร้อน
แต่ก็ต้องไม่เชื่องช้าเพราะรอข้อมูลแล้วไม่กล้าตัดสินใจนะครับ
อย่าไปขัดคนอื่น
โดยเฉพาะหากท่านกำลังประชุม
หรืออภิปรายเรื่องอะไรบางอย่าง มารยาทที่ดีของการสื่อสารคือต้องไม่ไปพูดขัดคอใคร
แม้แต่ในตอนที่ผู้นำประชุมหรืออภิปรายเปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม
ในเวทีของการทำงานร่วมกันนั้น
ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าการจูนทุกฝ่ายให้หันหน้าเข้าหากัน จะตัดกันออกไป
ไม่ง่ายและสร้างปัญหาตามมาไม่หยุดหย่อน ท่านว่าจริงมั๊ยครับ ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น