วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เทคนิคการระงับอารมณ์พลุ่งพล่านอย่างได้ผล

ในชีวิตการทำงานของเรานั้น  มักจะมีปัญหาน้อยใหญ่มาให้ขบคิดกันเสมอ ปัญหาเล็ก ๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าปัญหาใหญ่ก็ชวนให้หนักทั้งใจและทั้งความคิดที่จะต้องหาวิธีจัดการรับมือให้ได้  และบ่อยครั้งเช่นกันที่ปัญหาที่อาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย ส่งผลให้มีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านจนมีไม่น้อยเช่นกันที่ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายที่บังคับบัญชา   


มองจากมุมสรีระวิทยาและจิตวิทยา เวลาที่คนเราโกรธนั้น ปฏิกิริยาของร่างกายพที่เราจะพบเห็นได้ก็คือหัวใจจะสูบฉีดเลือดเพื่อนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงสมองส่วนที่เรียกว่า “Amygdala  ซึ่งนับได้ว่าเป็นศูนย์อำนวยการอารมณ์แบบเถื่อน ๆ ดิบ ๆ ของมนุษย์ (แน่นอนครับ สมองของเรามีส่วนที่ควบคุมอารมณ์สุนทรีย์ อารมณ์รักใคร่และพึงพอใจเชิงบวกด้วยเช่นกัน) อารมณ์แบบดิบ ๆ ที่ว่านี้คือความกลัว  ความโกรธ หรือแม้แต่การแสดงออกทางเพศ ก็จัดว่าเป็นอารมณ์แบบดิบที่สมองส่วนนี้ดูแลบัญชาการด้วยครับ 


พอเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนนี้มาก ก็เท่ากับเลือดจะไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองส่วนหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการควบคุมการคิดอย่างมีเหตุผล การไตร่ตรองสถานการณ์  วิจารณญาณกับปรากฎการณ์น้อยลง ก็เท่ากับสมองสูญเสียการควบคุมทางอารมณ์นี้ให้กับ “Amygdala  เวลาที่คนเราโกรธนั้น นักวิชาการเค้าจึงเรียกกันติดปากว่า “Amygdala Hijack” ซึ่งก็คือการปล้นความคิดไตร่ตรอง การใช้เหตุผลของสมองไปนั่นเอง   ก็บังเอิญที่เวลาปล้น (hijack) การควบคุมไปจากสมองส่วนหน้านี้ ใช้เวลาสั้นมากแทบจะไม่ถึงครึ่งวินาที ทั้งยังใช้เวลาอีกเพียงไม่เกินสองวินาทีในการสั่งการให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาร่างกายออกมา เวลาคนเราโกรธนั้น เราจึงเห็นการตอบโต้แบบทำลายข้าวของ  ด่าทอกันเมามัน หรือกระทั่งทำร้ายร่างกายและรุนแรงหน่อยคือประทุษร้ายต่อชีวิตของคนอื่นโดยอารมณ์ชั่ววูบ ไอ้ที่ว่าชั่ววูบนี่ล่ะครับคือคำสั่งของมองส่วน Amygdala


เทคนิคง่าย ๆ ที่ผู้รู้หลายท่านแนะนำเอาไว้ และผมเองก็เคยทดสอบแล้วว่าได้ผลไม่ใช่เรื่องยากวุ่นวายอะไรเลยครับ แต่คือการสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สักสองสามครั้ง  หลับตาลงแล้วนับหนึ่งถึงแปดให้ได้  ย้ำครับนับหึ่งถึงแปด  ที่ต้องแปดไม่เป็นสิบหรือร้อยนั้นก็เพราะผู้รู้ท่านที่เขียนหนังสือเรื่อง “How to Get the Buddahood” บอกว่าคนเรานั้นจะใช้เวลาเฉลี่ยเพียงราว ๆ แปดวินาที ในการดึงอารมณ์บูดกลับสู่สภาพเดิม

แล้วทำไมต้องสูดลมหายใจล่ะ หลับตาอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?


เอาเป็นว่า การสูดลมหายใจนั้นก๋เท่ากับการดึงเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและไหลเวียนไปยังสมองส่วนหน้าให้มากขึ้น เหมือนกับการเติมพลังเข้าไปให้กับสมองส่วนที่ใช้เหตุใช้ผล การไตร่ตรองและสติปัญญา  ส่วนการแนะนำให้หลับตานั้นก็เพื่อจะได้ไม่เห็นสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นให้เกิดอารมณ์โกรธนั่นเองครับ  ง่าย ๆ เลยนะเนี่ย


เวลาที่คนเราโกรธนั้น สติมักจะหลุดลอย ปัญญาก็จะพร่องลงไปตามส่วน การระงับอารมณ์ด้วยการหลับตานั่งนับเลขในใจ ก็ยังดูกว่าไปนั่งนับเข็มที่หมอเบ็บแผลที่ศรีษะหรือร่างกายเพราะไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา และยังดีกว่าปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเดินจูงมือเราเข้าคุกเข้าตะรางแล้วมานั่งเสียใจภายหลัง เป็นไหน ๆ  นอกเหนือจากนี้  หากเรารู้จักฝึกครองสติให้อยู่กับลมหายใจของตัวเอง ถึงขั้นที่เรียกว่ามีสมาธิแล้ว ก็จะเกิดปัญญหาแก้ไขสถานการณ์หนักเบาที่รุมเร้าเข้ามาในชีวิตอย่างได้ผล  เรื่องดีดีแบบนี้ต้องทดลองครับ   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น