การเรียนการสอนในชั้นเรียนมัธยมปลายที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น มีชั่วโมงเรียนวิ่งมาราธอน
เด็กนักเรียนต้องวิ่งทางไกลระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร พวกที่เป็นนักกีฬา
หรือเล่นกีฬาอยู่เป็นประจำจะวิ่งได้ไม่เหนื่อยยากมากนัก ในขณะที่นักเรียนอีกกลุ่มก็พอวิ่งได้แต่ต้องใช้ระยะเวลานานมาก วิ่งไปเหนื่อยไปเพราะระยะทางก็ไม่น้อยทีเดียว
กับอีกกลุ่มหนึ่งแค่วิ่ง ๆ ไปแบบไม่คิดอะไรมาก วิ่งแค่ให้พอจบ ๆ ไป
แค่พอให้ได้ชื่อว่าวิ่ง เรียกว่าวิ่งไปเบื่อไป
เปรียบการวิ่งที่ว่าไปกับการทำงานในองค์กรใดก็ตาม เราก็จะพบว่าในทุกองค์กรจะมีคนอยู่ 3 กลุ่ม
ส่วนใหญ่เป็นคนที่ฝีมือปานกลาง ทำงานก็พอได้ตามมาตรฐานขั้นต่ำที่กำหนด ผลงานที่ได้ยังไม่จี๊ดจ๊าดถึงขนาดหัวหน้าร้องว้าว
! กับคนกลุ่มน้อยอีกสองกลุ่ม
กลุ่มหนึ่งผลงานยอดแย่ หากองค์กรเลิกจ้างได้ก็คงตัดสินใจทันที หรือหากยื่นไปลาออก
ก็มักจะมีคนแบบบ่นตามหลังว่าน่าจะทำแบบนี้ตั้งนานแล้ว กับคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกว่า “คนเก่ง (Talent)” คือคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้สำเร็จ
มีผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพในการเติบโตในสายอาชีพที่ตัวเองทำงาน
แม้แต่ในกลุ่มคนเก่งก็ยังมี 3 ระดับด้วยกันคือคนเก่งสุด
ๆ คนเก่งปานกลาง และคนเก่ง ซึ่งเพียงเป็นคนเก่งในระดับน้อยที่สุด
ก็ยังมากฝีมือและสร้างผลงานได้กว่าคนอีกสองกลุ่มที่พูดถึงก่อนหน้ามากโข
และต่างก็เป็นคนที่องค์กรต้องการธำรงรักษาไว้ไม่ปล่อยให้หนีไปทำงานกับองค์กรอื่น
โดยเฉพาะคู่แข่ง
เพราะหากปล่อยไปแล้วไม่เพียงแต่จะทำให้เสียต้นทุนการสรรหาคนใหม่ที่มักจะหาได้ยากเข้ามาแทนเท่านั้น
ยังนับว่าเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรไปโดยไม่คาดคิดอีกด้วย
เรื่องที่น่าสนใจคือ ทำไมคนเก่งกับไม่เก่งจึงต่างกันเหรอ
มีสองส่วนที่อธิบายครับ
ส่วนแรกคือ การมีความรู้และทักษะประสบการณ์ที่สูงกว่า
กับส่วนที่สองคือมีวิธีคิด มีแรงจูงใจ มีความรับผิดชอบกับงานและไปยาลใหญ่ที่ดีกว่ากลุ่มคนที่ไม่เก่ง
โดยเฉพาะอย่างบิ่งมีทัศนคติเรื่องการทำงานที่เยี่ยมกว่าคนไม่เก่ง
เวลาคนเก่งเจอโจทย์อะไรที่ยาก เค้าจะมองมันเป็นความท้าทายที่จะต้องเรียนรู้และเรียนรู้ให้เข้าใจเพื่อให้จัดการกับมันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เวลาเจออุปสรรคก็มักมองว่าเป็นโอกาสให้ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ เวลาหัวหน้ามอบหมายงานที่ยากให้ทำ
มักถือว่าเป็นจังหวะที่จะได้พิสูจน์ฝีมือและไม่บ่ายเบี่ยงอย่างไม่มีเหตุผล
ผู้รู้ท่านบอกว่า คนเก่งที่มีศักยภาพในการทำงานสูงนั้น มักจะมีความรู้สึกพื้นฐานกับงานที่ทำว่า
"น่าจะทำได้" ไม่ใช่ทำไม่ได้หรอกเพราะไม่เคยทำแล้วไม่คิดจะลอง ความรู้สึกเช่นนี้เองที่เป็นตัวผลักดันให้คนเก่งมีความมุ่งมั่นตั้งใจ
อยากลองทำและเพียรพยายามหาทางทำงานนั้นให้สำเร็จ
ผมคงกล่าวไม่ผิดหรอกว่าคนเก่งกับคนไม่เก่งนั้นในประการหนึ่งต่างกันเพราะทัศนคติที่มีต่อการทำงานแตกต่างกัน ใครมีทัศนคติ (คิด) ทางบวกมากกว่ากัน
คนนั้นประสบความสำเร็จมากกว่า
ตราบเท่าที่คนไม่เก่งไม่คิดจะเปลี่ยนความคิด
ชีวิตความก้าวหน้าในการทำงานก็ไม่เปลี่ยนแน่นอน
กลับไปที่ชั่วโมงวิ่งมาราธอนของนักเรียนญี่ปุ่น หากวันหนึ่ง เด็กที่วิ่งมาราธอนด้วยความเบื่อหน่าย
ปรับมุมมองใหม่และเห็นภาพว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไป ตัวสูงใหญ่ ขายาวขึ้น
กล้ามเนื้อแข็งแรงเป็นมัด ๆ ในวันนั้นเขาจะบอกกับตัวเองว่า "คอยดูนะ
ฉันจะวิ่งมาราธอนให้เพื่อน ๆ ตกใจว่าทำได้เลย"
แค่คิดแบบนี้ ก็เป็นแรงขับ (drive) ให้วิ่งมาราธอนให้สำเร็จเป็นจริงได้
ความคิดของเราเอง ที่เป็นตัวกำหนดให้เรา "แพ้" หรือ
"ชนะ"
เพียงคิดว่า "น่าจะทำได้" หรือ "ไม่น่าจะทำได้"
ก็เป็นตัวกำหนดการกระทำที่แตกต่างของเราแล้ว
ทัศนคติแบบ “ฉันทำได้” นี่แหละที่เป็นคำอธิบายความแตกต่างกันของ
"คนเก่ง" และ "คนไม่เก่ง"
ท่านว่ามั้ยครับ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น