ตราบเท่าที่เรายังต้องทำงานเพื่อสนองตอบความต้องการพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต
เมื่อนั้นเราคงต้องกลับมามองความเป็นจริงของโลกการทำงานอย่างหนึ่งที่บางครั้งเราก็หลงลืมหรือทำเป็นไม่สนใจ
เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ไม่มีองค์กรใดจ้างงานเราได้ตลอดไป
เว้นเสียแต่เราจะยังคงทำงานอย่างมีและมากด้วยคุณค่าตอบโจทย์งานทั้งหลายที่องค์กรต้องการได้
อย่างน้อยก็ในขอบข่ายงานที่องค์กรตกลงว่าจ้างเราเข้าทำงาน
และได้ความที่องค์กรมีวัฎจักรชีวิตเฉกเช่นเดียวกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
(Product
Life Cycle) จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีบางเวลาที่องค์กรสร้างผลกำไรหรือผลประกอบการที่งดงาม
และมีอีกหลายช่วงเวลาที่องค์กรจะทรงตัวหรือกระทั่งมีผลประกอบการที่ถดถอย
ตลอดช่วงเวลาที่ผมทำงานมาสิบกว่าปี
ผมได้มีโอกาสเห็นปรากฎการณ์ทั้งที่องค์กรรุ่งเรืองสุดขีด และเห็นภาพที่องค์กรอ่อนแอตกต่ำลงถึงที่สุด
สิ่งหนึ่งที่ผมยังพบว่าเป็นจริงอยู่ไม่ว่าจะกับองค์กรที่รุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง
คือ องค์กรใดที่เบอร์หนึ่งของ HR หมดไฟ
หรือเป็นไม้ใกล้ฝั่งรอวันเกษียณ ก็จะตามโลกไม่ทัน พาลทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
ผมก็เป็นคนทำงานคนหนึ่งที่มีประสบการณ์กับผู้บริหารที่ดูแลสายและฝ่ายงาน HR
ที่เก่งสุดขีดและซึมสุดขีดเช่นกัน
และที่สำคัญ
องค์กรทั้งหลายนั้น ล้วนต้องการคนทำงานที่มีฝีมือมากศักยภาพ และคนที่ทำงาน HR ต้องปรับตัวให้รับกันได้กับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายรายรอบที่ต้องเผชิญอยู่
คนที่เป็นอย่างที่ผมว่านั้น ผมขอเรียกอย่างง่ายว่า “มืออาชีพ”
ครับ
เหตุใดมืออาชีพถึงอยู่รอดและมักจะเป็นที่ต้องการไม่ว่าจะสำหรับองค์กรใดล่ะ
ตอบแบบสั้นสั้นชัดชัดคือ เพราะคนเหล่านี้ ไม่เคยพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และพยายามมองหาอะไรใหม่ ๆ และที่ดีดีเพื่อทำงานในวันนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
และทำสิ่งใหม่ไว้รองรับอนาคตเพื่อการันตีว่างานที่จะทำจะไม่ผิดพลาด
หรือหากจะผิดพลาดเพราะด้วยเหตุปัจจัยรายรอบก็ต้องน้อยที่สุด
พร้อมกับต้องควบคุมได้ในระดับหนึ่ง
หากอยากทำงานแล้วรุ่งเรืองในอาชีพการงาน
ไม่ต้องไปรอให้บุญพาวาสนาส่ง ไม่ต้องรอใส่ซองทอดผ้าฝ่าแล้วคาดหวังให้บุญหนุนส่งให้หน้าที่การงานรุ่งเรืองเหมือนที่มักนิยมบนบานกัน
หรอกครับ เพราะบุญนั้นย่อมเป็นสิ่งที่จะเสริมเมื่อเราเดินไปในทางที่ดีที่ควรแล้ว
แต่จงเริ่มต้นจากปรับจูนความคิดให้ได้อย่างที่ผมว่าก่อน
สิ่งดีดีจะเกิดขึ้นกับเราเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น