ในฐานะคนที่ทำงานด้าน HR
จั่วหัวมาแบบนี้ ไม่ได้ชวนให้ชาว HR ตระหนกว่าจะตกงานนะครับ
แต่จะชวนให้มาทบทวนกันว่าเราได้ทำบทบาทหน้าที่ของ HR ที่น่าจะเป็นกัน
ว่ากันตามจริงเรื่องของผู้จัดการสายงานหรือผู้จัดการฝ่ายสุดแต่จะเรียกชื่ออย่างไรเป็น
HR Managers ตัวจริงนั้นเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมาหลายสิบปีแล้วครับ
ในสังคมการทำงานในวิชาชีพ HR ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ HR
จำนวนมากจนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงบทบาทของการเป็น HR Admin ไว้เหนียวแน่น ไม่ยอมคลาย รวมศูนย์การคิดและตัดสินใจในงาน HR ทั้งหลายไว้ที่ตัว อาจจะเพราะกลัวไม่ได้รับความสนใจ หรือกลัวว่า Managers
ทั้งหลายจะรับมือกับการจัดการคนไม่ไหว
องค์กรที่ให้ความสนใจผลักดันให้ Managers หันกลับมาทำความเข้าใจบทบาทในการบริหารคนอย่างจริงจังจึงมักจะเสริมให้ได้เรียนรู้ในหลักสูตร
HR for Non-HR ซึ่งนอกเหนือจากจะถ่ายทอดงาน HR ในองค์กรแล้ว
ยังยกตัวอย่างหรือกรณีศึกษาการบริหารงานบุคคลของหลายองค์กรที่ขึ้นชื่อเป็นที่ยอมรับมา อันจะช่วยให้ Managers ไอเดียบรรเจิด
แต่สำหรับองค์กรที่ระบบงาน HR ยังไม่ได้ปรับปรุงไปมากนักก็ต้องยอมรับดาบอีกคมหนึ่งของการฝึกอบรมหลักสูตรนี้คือการที่
Line Managers ที่เข้าอบรมกับวิทยากรภายนอกที่เชี่ยวชาญในงาน
HR จะรู้สึกเปรียบเทียบแกมบ่นประชด (555...) ขึ้นมาว่าที่อาจารย์ว่ามานั้นในองค์กรผมไม่มีสักอย่าง
(อย่างนั้นเลยหรือ !!!)
หรือบางท่านอาจจะสวนกลับทำนองว่า “หากจะทำบทบาทแบบ Non-HR Managers ให้ได้อย่างที่อาจารย์ว่ามันคงอุดมคติและวัน
ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะลำพัง Operation ก็มาก
แล้วยังจะต้องมาจัดการคนอีก ไม่ไหวล่ะ ปล่อยให้ HR เค้าทำไปเถอะ
ไม่งั้นก็ต้องปลด HR ออกไป”
เอาเข้าจริง ๆ Line
Managers ทั้งหลายก็หนีไม่พ้นที่จะต้องสัมภาษณ์พนักงานด้วยตัวเอง
วางแผนพัฒนาและแผนการเติบโตตามสายอาชีพให้กับพนักงานในสังกัด
ต้องประเมินผลการทำงานไม่ว่าจะปีละหนหรือปีละสองหน ต้องสอบวินัยพนักงานที่กระทำความผิด ต้องกระตุ้นให้พนักงานใส่อุปกรณ์ PPE และต้อง.......ฯลฯ......... แล้วแบบนี้ งาน HR จะหนีพ้นท่านเหรอ
ขอบอกว่า ปัญหาที่สำคัญมาก และจัดการได้ยากสุด ๆ
เห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่าการจัดการคน (People
Handling) และปัญหาเช่นนี้ก็เป็นหน้าที่สำคัญของหัวหน้าที่มีลูกน้องใต้บังคับบัญชา
และองค์กรก็จ้างหัวหน้าให้ทำงานทั้งกับเครื่องจักรหรือการบริการลูกค้า และกับให้จัดการคนที่เป็นลูกน้องอีกงานหนึ่งด้วย
และหากหัวหน้าทำไม่ได้ทั้งสองอย่างงานในภาพรวมก็คงเดินไปลำบาก
ด้วยเพราะงานต้องพึ่งพาคนทำนั่นเองครับ
ยิ่งคนทำงานนั้นเป็นมนุษย์ที่เวียนวนอยู่ในกรรมของโลกแล้ว
ย่อมมีบางวันที่ทำงานแบบสมองปลอดโปร่ง
และมีบางวันที่อารมณ์อึมครึมเหมือนฟ้าทมึนฝน
หัวหน้าจึงต้องเจอบางสถานการณ์ที่พนักงานขวัญกำลังใจตกต่ำ
ทำงานไม่ได้ตามเป้าหมายเพราะขาดการฝึกอบรม
พนักงานบางคนไม่ตั้งใจทำงานเพราะเห็นว่าเพื่อนก็ไม่ทำแล้วฉันทำตั้งใจทำไมหรือ
? บ้างก็ไม่อยากเก่งออกหน้าออกตาเพื่อนเพราะเดี๋ยวไม่มีคนไปกินข้าวเที่ยงด้วย
เหงาแย่ !!! และอีกสารพันปัญหาที่หยิบยกมาพูดถึงได้ไม่หมด
สารพันปัญหาเหล่านี้ล่ะครับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ Line Managers จะต้องได้รับการอบรมอบรมให้ความรู้ความเข้าใจและเสริมทักษะมุมมองในงาน
HR เพื่อให้แก้ไขปัญหาหรือลดปัญหาเกี่ยวกับพนักงานไปได้ในทางหนึ่ง
ขณะที่ HR เองจะทำหน้าที่คอยสนับสนุนเครื่องไม่เครื่องมือ
แนวปฏิบัติและวิธีการที่จะทำให้การจัดการคนของ Line Managers
มีประสิทธิภาพสูงสุด
ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจขาขึ้น (คือขาขึ้นก่ายหน้าผาก 555)
เช่นปัจจุบัน องค์กรน้อยใหญ่ต้องเร่งพิจารณาเรื่องการปรับขนาดองค์กร
การควบรวมกิจการเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ การจัดโครงสร้างเพื่อลดขั้นตอนการทำงาน
หรือการรีดผลงานจากพนักงานที่ยังทำงานอาจจะไม่เต็มกำลัง ยิ่งต้องทำระบบการบริหารจัดการงาน
HR ให้ดีและมีมาตรฐานของแนวปฏิบัติในงาน
HR อย่างพร้อมเพรียงเพื่อการันตีให้ได้ว่าระบบและกติกาทั้งหลายในงาน
HR จะช่วยตอบโจทย์ดังกล่าวได้ตรงที่สุด
การฝึกอบรมให้ความรู้ในงาน HR แก่ Line Managers จึงไม่ใช่การถ่ายโอนงานของ HR ไปให้กับ Line
Managers โดยที่ HR เองไม่ต้องทำอะไร
ตรงกันข้าม HR จะเริ่มเล่นบทยากขึ้น เพราะหากไม่สนับสนุนให้ Line Managers บริหารจัดการคนทำงานได้ดีพอ ที่ยืนในองค์กรของ HR คงสั่นระริกเป็นแน่แล้ว
เรามาลองสรุปกันสิครับว่า หน้าที่หลักของงาน HR นั้นมีอะไรบ้าง
1) การวางแผนกำลังคน (Workforce Planning) เป็นงานทั้งกระบวนการตั้งแต่การวิเคราะห์ช่องว่างกำลังคน
ไปจนถึงการคัดเลือกให้ได้มาซึ่งบุคลากรที่เหมาะ (fit) ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และการเตรียมความพร้อมให้พนักงานใหม่ปรับตัวเข้ากับงานและเข้ากับองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2) การออกแบบงาน กระบวนการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(Job and Work Design) เป็นงานวิเคราะห์เนื้อหาของงาน (Job Analysis) แต่ละตำแหน่ง
กระบวนการหรือขั้นตอนการทำงานเพื่อลดความซ้ำซ้อน รวมไปถึงกฎระเบียบ
ข้อปฏิบัติบางอย่างเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างราบรื่น
เป็นไปตามมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ต้องควบคุมและส่งผลให้ได้ผลลัพธ์ของงานตามเป้าหมาย
3) การฝึกอบรมและพัฒนา (Training and Development) เพื่อสร้างความรู้
ทักษะที่จำเป็นและปรับพฤติกรรมให้เอื้อต่อการทำงานให้ได้ผลตามเป้าหมาย โดยอาจจะรวมกิจกรรมการปฐมนิเทศ (Orientation) หรือการรับขวัญพนักงานใหม่ (On-boarding
Program) เข้าไปด้วย
และหลายองค์กรชั้นนำก็เชื่อมโยงงานฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเข้ากับงานการวางแผนการเติบโตตามสายอาชีพ
(Career Development)
เพื่อให้หัวหน้าได้ใช้การฝึกอบรมและพัฒนาเป็นเครื่องมือที่สอดคล้องกับการวางแผนการเติบโตของพนักงานอย่างจริงจัง
ไม่ใช่ให้แค่ “เทรน” ผ่านไปเท่านั้น
4) การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) เป็นการดำเนินงานตั้งแต่การวางแผนเป้าหมายงาน
ฝึกอบรมและพัฒนา ติดตามผลไปจนถึงการให้คำแนะนำและสะท้อนผลงานเพื่อการปรับปรุงผลงาน
วนวงจรเข้าไปสู่การวางแผนเป้าหมายผลงานในปีหรือรอบการประเมินถัดไป
5) การบริหารค่าตอบแทนและรางวัล (Compensation and Rewarding) เพื่อให้ค่าจ้างค่าตอบแทน
สวัสดิการและรางวัลจูงใจการทำงานทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงินสะท้อนถึงผลงาน
พร้อมกับเป็นสิ่งกระตุ้นให้พนักงานสร้างผลงาน
และเป็นเครื่องมือหนึ่งเพื่อการธำรงรักษาให้พนักงานยังคงทำงานกับองค์กรต่อไป
6) แรงงานสัมพันธ์ (Employee Relations) เป็นงานของการสร้างบรรยากาศด้านแรงงานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง
หรือระหว่างองค์กรกับพนักงาน การเสริมสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดี การดำเนินการทางวินัยกับพนักงาน
รวมทั้งการจัดกิจกรรรมเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากร
อันเชื่อว่าจะมีส่วนทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกพึงพอใจในการทำงาน (Job Satisfaction)
เหนียวแน่นขึ้นเป็นความรู้สึกผูกพันกับองค์กร (Engagement)
7) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chang Management) นับเป็นหน้าที่งานใหม่ที่เกิดขึ้นมาไม่นาน
และมักจะถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานพัฒนาองค์กร (Organization Development - OD) โดยงานของ
OD ก็ยังมีเรื่องการของสร้างเสริมวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร การปรับปรุงพัฒนาระบบงาน HR และอาจจะเลยไปถึงการสนับสนุนการปรับปรุงพัฒนาระบบ/กระบวนการปฏิบัติงานด้วย
ผู้รู้ท่านมองว่างานการบริหารการเปลี่ยนแปลงนี้เอง
ที่ส่งผลให้บทบาทของ HR เปลี่ยนไปจากการทำงานประจำ
(Routine)
ที่ไม่ได้ส่งมอบคุณค่าที่น่าตื่นเต้นให้องค์กรมากนัก
มาเป็นงานเชิงสร้างสรรค์ที่ร่วมวางแผน
ร่วมกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบอยู่เคียงข้างกับทุกหน่วยงานเมื่อต้องก้าวผ่านไปสู่สิ่งใหม่
ซึ่งเป็นอะไรที่ HR จำนวนไม่น้อย ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
คราวนี้ งานที่ Line
Managers ต้องทำในบทบาทหน้าที่ Non-HR Managers สรุปจากกรอบหน้าที่งานหลักของ HR ที่กล่าวมาแล้วได้แก่
1) การวางแผนกำลังคน (Workforce Planning) Non-HR Managers จะทำหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อนการวิเคราะห์อัตรากำลังตามภาระงาน
(Workload) หรือโดยวิธีการอื่นเปรียบเทียบกับอัตรากำลังคนที่มีในออัจจุบัน
พร้อมกับระบุว่ามีความต้องการบริหารจัดการกำลังคนอย่างไรบ้าง
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
และยังต้องออกแบบกิจกรรมการสรรหาและคัดเลือกที่เหมาะสมเพื่อให้ได้มาซึ่งพนักงานที่ใช่สำหรับองค์กรที่ผ่านการคัดเลือกขั้นแรกมาจาก
HR แล้ว
2) การออกแบบงาน กระบวนการทำงาน
และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (Job and
Work Design) Non-HR
Managers
3) การฝึกอบรมและพัฒนา (Training and Development) Non-HR Managers
มีบทบาทหลักในการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและความสามารถในการทำงานของพนักงานในสังกัดเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานจะมีความรู้
ทักษะและพฤติกรรมที่เพียงพอกับการทำงานในตำแหน่งหน้าที่การงานที่รับผิดชอบหรือได้รับมอบหมายได้
โดยทั่วไปแล้ว HR จะมีเครื่องมือเพื่อสนับสนุนให้ Non-HR
Managers
สามารถวิเคราะห์ความจำเป็น (Need Analysis)
เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานได้ หากจะให้ดีแล้ว Non-HR
Managers
ไม่ควรคำนึงแต่การประเมินทักษะการทำงานในปัจจุบันเพื่อนำไปวางแผนพัฒนาเท่านั้น
แต่ยังควรคำนึงถึงศักยภาพที่พนักงานมีที่จะสามารถสนองตอบงานในอนาคตได้
4) การบริหารผลการปฏิบัติงาน (Performance Management) Non-HR Managers มีบทบาทหลักกับการร่วมวางแผนการเติบโตตามเส้นทางสายอาชีพให้กับพนักงาน
จัดหาหรือดำเนินการพัฒนาทักษะ
ความรู้ความสามารถหรือปรับพฤติกรรมการทำงานของพนักงานเพื่อให้ทำงานได้ตามเป้าหมาย
การประเมินผลการปฏิบัติงาน (Performance Appraisal) และอาจจะมีการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน (Performance
Improvement Plan)
เพื่อจัดการกับพนักงานที่ผลงานตกต่ำอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่องค์กรกำหนดไว้ให้ก่อนที่จะดำเนินการโดยวิธีการทางวินัยอย่างอื่นต่อไป
5) การบริหารค่าตอบแทนและรางวัล (Compensation and Rewarding) Non-HR Managers
ควรได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมและเข้าใจระบบการจ่ายค่าตอบแทนและรางวัลสำหรับการทำงานขององค์กร
ควรมีส่วนร่วมด้วยการทำหน้าที่ตัดสินใจว่าพนักงานควรได้รับการเลื่อนขั้นปรับตำแหน่ง
การปรับขึ้นเงินเดือนอย่างไรบ้าง
6) แรงงานสัมพันธ์ (Employee Relations) Non-HR Managers ควรต้องมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายแรงงานและแรงงานสัมพันธ์
รู้และเข้าใจระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานขององค์กร
รวมทั้งการรู้จักเลือกใช้กิจกรรมที่เหมาะสมกับการเสริมสร้างบรรยากาศความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างองค์กรกับพนักงาน
7) การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chang Management) Non-HR Managers มีหน้าที่ในการสื่อสารการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกไปยังพนักงานในสังกัด
พร้อมทั้งทำหน้าที่เป็นหัวขบวนเพื่อนำการเปลี่ยนแปลงองค์กรหรือระบบงาน
ที่สำคัญนั้นหัวหน้าจะต้องรู้จักให้คำแนะนำเพื่อลดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงาน
กับการเลือกใช้กลยุทธ์และวิธีการทั้งหลายเพื่อผลักดันให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อวันเวลาผ่านไป
ย่อมเป็นธรรมดาที่การบริหารจัดการรูปแบบเดิมย่อมถูกแทนที่ด้วยรูปแบบใหม่ที่ให้ผลตอบสนองธุรกิจมากกว่า
จากเดิมที่ HR และ Line Managers เคยทำงานแบบต่างคนต่างทำ
เปลี่ยนรูปเปลี่ยนรากมาเป็นการร่วมมือประสานงานกันเพื่อให้เกิดงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic
Alignment) มากขึ้น
ทำนองหนึ่งที่ผู้บริหาร HR จะต้องไปเรียนรู้งานของหน่วยอื่น
และปรับตัวให้เป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner)
ให้ได้ ผู้บริหารของหน่วยงานหรือ Line
Managers
ก็ต้องพยายามปรับตัวเป็น Non-HR Managers ด้วยการเสริมเติมความรู้ทางด้าน HR ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ทำได้แบบนี้ นับเป็น Line
Managers ที่ครบเครื่องครับ