สิ่งหนึ่งที่เจ้านายของผมเล่าให้ฟังและอยากให้ผมในฐานะที่ดูแลงานพัฒนาองค์กรได้สร้างเสริมให้เกิดขึ้นบรรดาพนักงานรุ่นเก่าและใหม่ที่ส่วนมากแล้วยังอยู่ใน
Gen X และ Gen Y ในสภาวะการแข่งขันอย่างสูงยิ่งทางธุรกิจเช่นที่ผ่านมาและคาดแนวโน้มว่าจะยังไม่ลดดีกรีความเข้มข้นลงในอนาคตอันใกล้คือการที่พนักงานจะมีสำนึกของความเร่งด่วน
(Sense of Urgency) กล่าวคือการมองให้ออกว่าองค์กรในปัจจุบันจะต้องฝ่าฟันขวากหนามของการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งที่เกิดจากผลกระทบภายในองค์กรเองและภาวะธุรกิจภายนอก
หากเรามัวนั่งชื่นชมความสำเร็จที่เคยผ่านมาแล้วไม่ปรับตัวให้รวดเร็วตอบสนองรองรับให้ทันท่วงทีแล้ว
ก็คงจะไม่เข้าที
ความรู้ที่เจ้านายถ่ายทอดมา ช่วยให้ผมหันไปขบคิดว่า
แล้วในมุมของคนทำงาน HR บ้างล่ะ มี Sense ในเรื่องใดที่เราน่าจะต้องมีเพื่อให้เราตอบสนองโจทย์ทางธุรกิจที่ยากขึ้นทุกวันได้
อย่างน้อยก็เอาไว้ใช้เป็นกรอบของการพัฒนาตัวเองให้ทำงานในแนวทางการเป็น Strategic
Partner ให้กับ Line Manager ทั้งหลายได้เปี่ยมประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมขอแชร์ว่าคนทำงาน HR ที่มุ่งหน้าสู่ความเป็นมืออาชีพ
นอกจากจะต้องพกความรู้และทักษะในแต่ละสาขางาน HR ไว้เต็มกระเป๋าแล้ว
ยังคงต้องมี Sense หรือสำนึกอะไรหลายอย่างดังต่อไปนี้ล่ะครับ
1) Sense of Incoming Change
สำนึกว่าการทำงานนั้นประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดนิ่งเสมอ เพื่อที่จะทำงาน HR
ของเราให้ได้ในเชิงกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจ
และแผนธุรกิจไม่ว่าจะในวันนี้และภายหน้า จำเป็นอย่างยิ่งที่ HR จะต้องทำความเข้าใจธุรกิจด้วยการมองธุรกิจขององค์กรเราด้วยสายตาของผู้ประกอบการมากกว่าที่จะมองในฐานะคนทำงาน
HR ตามหน้าที่งานคนหนึ่ง การมองเช่นนี้
จะช่วยให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายนอกและภายในที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจได้กว้างไปกว่าเรื่องภายในการเพิ่มผลผลิตของพนักงาน
เป็นต้น เพียงทางเดียว ความเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นก็อย่างเช่น อัตราเงินเฟ้อ
การใช้จ่ายของภาครัฐ
การใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ความเคลื่อนไหวของตลาดแรงงานและการรับบุคลากรภาครัฐ
และรัฐวิสาหกิจ การเคลื่อนย้ายกำลังคนในภูมิภาค AEC เป็นต้น
โดยเฉพาะผลกระทบในทางลบต่องานของ HR ขององค์กร เป็นต้นว่า
โครงสร้างประชากรของไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย
จะส่งผลให้แรงงานวัยหนุ่มสาวเป็นที่ต้องการตัวอย่างมากในตลาดแรงงาน sรือการที่องค์กรประกอบไปด้วยคนหลายช่วงวัย (Generation)
ทำงานด้วยกัน ก็ย่อมทำให้ HR ต้องเสริมสร้างค่านิยมเรื่อง Diversity
และ Multi-generation Working Environment หรือการทำงานที่ต้องเข้าใจความต่างของความคิดที่มีกับคนแต่ละช่วงวัยมากขึ้น เหล่านี้เป็นตัวอย่างของสิ่งที่ HR จะต้องขบคิดให้ละเอียดละออ
2) Sense of
Humanness
HR
เราทำงานกับคนที่มีความต้องการอันหลากหลายยากจะคาดเดา
มีอารมณ์ความรู้สึกและคิดได้กับทุกเรื่องและทุกทางอย่างที่บางทีก็คาดไม่ถึงได้ Sense
เช่นนี้จะเตือนให้เราเข้าใจว่าเมื่อต้องทำงานกับคนแล้ว
จะมานั่งเบื่อหน่ายกับการที่จะชี้แจง การพบปะ
การโดนตำหนิหรือไม่พอใจเพราะไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับการพนักงานก็คงจะไม่เหมาะกับอาชีพนี้
ทั้งที่หลายครั้งเราทำดีแทบจะทุกกระบวน พอคิดอ่านไม่ตรงกับหน่วยงาน Line ก็ถึงกับไม่พอใจและเอ็ดตะโร HR กันจนเข้าหน้าไม่ติด
นอกจากนี้ Sense ของความเป็นคนยังบอกว่าใครก็ตามที่หันมาประกอบอาชีพ HR แล้ว จะต้องพร้อมกับการให้บริการและการช่วยเหลือเพื่อนพนักงานในความยุ่งยากลำบาก
พร้อมที่จะส่งเสริมให้พนักงานน้อยใหญ่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพของเขา
เมื่อมีมุมมองเช่นนี้
เราจะรู้สึกสนุกที่จะขวนขวายหาเครื่องมือ เทคนิคและแนวปฏิบัติใหม่ ๆ
มาปรับใช้ให้งาน HR ตอบสนองได้กับสารพัดเรื่องที่ใครต่างก็คาดหวังให้
HR ทำงานให้สำเร็จผลดี
3) Sense of People Handling
งานของ HR ทั้งหลายไม่ได้ทำกับหุ่นยนต์หรือเครื่องจักรไร้หัวใจเช่นที่ผมเปรยไปข้างต้น
แต่ล้วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการทำงานร่วมกันของคนที่ยากจะหาคำตอบแบบคณิตศาสตร์ได้ลงตัวทุกกรณี
ด้วยเพราะมักมีคำว่า “เหมาะสม” ประกบอยู่เสมอ
โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารและประสานงานให้เกิดประสิทธิผลนั้น
นับว่าเป็นหนึ่งในเรื่องยากของการรับมือคนทำงานเลยทีเดียว
ที่ว่าเช่นนี้เพราะไม่มีใครหรอกครับที่จะเชื่อเราทุกถ้อยความคิด
ว่าไปแล้วแต่ละคนจะมีแบบแผนความคิดที่ตั้งอยู่บนประสบการณ์
มุมมองและความเคยชินเสมอ เรื่องบางเรื่องทั้งที่ง่ายแต่กลายเป็นยากเพราะไม่ยอมกัน
พอเกิดความขัดแย้งขึ้น ก็ไม่พ้นที่ HR จะต้องอาสาไปรับมือเพื่อมิให้เรื่องบานปลายไปกันใหญ่
เพื่อให้รับมือกับเรื่องน่าปวดหัวได้ไม่ล่าช้า HR จึงต้องจับกระแสความขัดแย้งหรือไม่ลงรอยกันของคนทำงานน้อยใหญ่ให้ได้มากที่สุด ว่าไป HR ก็เหมือนกับสาบสืบที่ต้องรู้จักสร้างสายข่าวเพื่อคอยส่งข่าวความไม่ชอบมาพากลที่ชวนให้ความสัมพันธ์ในการทำงานร้าวฉาน
แล้วนำเรื่องมาขบคิดแก้ไข หากจับเรื่องพวกนี้ได้ไว จะก้าวเข้าไปแก้ไขก็มักจะทันท่วงที
สำคัญอยู่ที่ว่าต้องรู้จักดูกาละเทศะให้มากหน่อยเท่านั้น
4) Sense of Logical and Creative
Thinking
HR
จะทำงานให้ได้ผลบรรเจิดนั้น ผมคิดว่าต้องมีไอเดียที่ไม่ตีบตัน
คิดสร้างสรรค์ได้กว้าง มีหัวพลิกแพลงแต่ไม่เล่ห์เหลี่ยม คู่กับมีตรรกะที่อธิบายได้
ทำงานแบบมี Concept ไม่ทึกทักเอาเอง
มองงานแบบเป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตรงตามสภาพที่มันเป็นและควรจะเป็น
เพื่อผลักดันให้การทำงานเกิดผลลัพธ์ที่ดีเท่าที่จะเป็นไปได้ออกมา
เชื่อมโยงจากภาพเล็กไปภาพใหญ่อย่างสอดคล้องต้องกันกับแผนงานที่วางไว้
ผมเองทุกวันนี้ก็ยอมรับว่า
การที่จบด้านรัฐศาสตร์ด้วยสติปัญญาที่มีนั้น ทำให้ผมขาด Logic
ที่จะมองบางเรื่องได้อย่างที่คนที่เขาจบสายวิทยาศาสตร์กันมา และผมก็พร้อมที่จะฝึกฝนลับคมความคิดเพื่อให้คุยกับผู้บริหารระดับสูงได้อย่างทั้งแบบนอกกรอบได้และอธิบายสมเหตุผลด้วย
Logic ที่ไปได้
5) Sense of Continuous
Development
ผมเจาะจงหมายถึงการมี Sense
ของการหมั่นฝึกฝนหาความรู้ในหน้าที่งานเพื่อให้พร้อมบริการอยู่เสมอ
ด้วยการตระหนักว่าความรู้ในวงวิชาชีพ HR ปัจจุบันนั้นมีความเลื่อนไหลที่ไม่อาจจะเอาแนวปฏิบัติของเมื่อสิบปีก่อน
มาใช้กับบริษัทของวันนี้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวทุกกรณี
และยังต้องคิดที่จะทุ่มเทเพิ่มเสริมเติมแต่งเรื่องเหล่านี้เป็นระยะ ความรู้และแนวปฏิบัติใหม่ในงาน HR นั้น มีมากมายในตำราพวก How-to หรือมาจากการร่วมเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เราสนใจ
พร้อมกับไม่คิดว่าตัวเอง “เป็นคุณพ่อรู้ดีที่รู้ทุกเรื่อง” แบบที่อุปมาได้ว่าเป็น
“น้ำเต็มแก้ว” เพราะจะทำให้ HR ตกยุคได้รวดเร็วแบบไม่คาดคิด และควรรู้ให้ “ลึก”
ไม่รู้แค่ผิวเผินเนื่องจากนั่นอาจทำให้เราคิดเหมาไปแบบผิด ๆ ได้
หมั่นเสริมเติมความรู้ ลับคมมุมมองและฝึกฝนทักษะของเราให้ได้เช่นนี้
รับรองได้ขึ้นชื่อว่าเป็น HR มืออาชีพแน่แท้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น