วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การรับมือกับปัญหาพนักงาน (Handling with People Problems)

หัวหน้างานมักพบกับปัญหาพนักงานเรื่องปกติของการดำเนินชีวิตในการทำงาน ภายใต้บทบาทหน้าที่ที่มิเพียงแต่จะต้องบริหารจัดการงาน (Managing Work) ให้ราบรื่นเท่านั้น  หัวหน้างานยังต้องรับมือกับสารพักปัญหาเกี่ยวกับคนที่ทำงานเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา  ในหนังสือเรื่อง “How to Manage People”  Michael Armstrong  ชี้ให้เห็นว่าหัวหน้างานต้องรับมือกับพนักงานในหลายลักษณะปัญหาได้แก่ ประเด็นความผิด/ละเมิดวินัยพนักงาน  ประเด็นการมีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมาย ประเด็นการขาดงาน ประเด็นการทำงานโดยไม่รักษาเวลา รวมทั้งประเด็นปัญหาการมีพฤติกรรมทางลบในการทำงาน  โดยในหนังสือเล่มนี้ได้แยกแยะลักษณะของปัญหาพนักงาน (People Problems) ไว้ใน 3 ประเด็นหลักซึ่งผมจะขยายความให้ฟังต่อไป  

(1) ประเด็นความผิด/ละเมิดวินัยพนักงาน (Disciplinary Issue)  

พนักงานอาจจะพ้นสภาพการจากถูกเลิกจ้างหรือให้ออก หรือได้รับการลงโทษทางวินัยจากองค์กรได้ด้วยเหตุที่ไม่อาจทำงานให้เกิดประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนด หรือด้วยเหตุที่มีพฤติกรรมขัดแย้งกับที่องค์กรพึงประสงค์ (Misconduct Behavior) ซึ่งทั้งสองกรณีนี้สามารถจัดการได้ด้วยการลงโทษหรือดำเนินการทางวินัย (Disciplinary Actions) กับพนักงานตามกระบวนการต่าง ๆ อันกำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของแต่ละองค์กร โดยหากกรณีเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายก็สามารถลงโทษทางวินัยขั้นร้ายแรงด้วยการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้

วินัยการทำงาน (Working Discipline)  หมายถึง  คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ แนวปฏิบัติ กฎ ประกาศ สัญญาจ้าง ข้อตกลงหรืออื่นใดที่นายจ้างกำหนดขึ้น  เพื่อควบคุมความประพฤติและควบคุมการทำงานของลูกจ้าง ให้สามารถปฏิบัติงานหรือหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างราบรื่นและมีความสุขในการทำงาน  โดยหลักสำคัญในการกำหนดวินัยการทำงานที่พึงยึดถือได้แก่ ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย (รวมทั้งคำพิพากษาของศาล) ต้องไม่ขัดกับศีลธรรมอันดี ต้องไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และต้องเป็นอะไรที่เป็นธรรม สุจริตชนยอมรับได้

ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของแต่ละองค์กรโดยทั่วไปมักจะระบุเรื่องมาตรการทางวินัย  (Disciplinary Action) ขึ้นไว้เพื่อเป็นวิธีการบริหารจัดการการใช้วินัยการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งก็คือเพื่อให้ลูกจ้างทุกคนได้ทำงานและดำเนินการทำงานภายใต้ระเบียบอันเดียวกัน เกิดความคล่องตัวในการทำงาน และอื่น ๆ อันจะนำไปสู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดบรรยากาศการทำงานที่ดีในองค์กร

และที่สำคัญนั้น หัวหน้างานในฐานะตัวแทนนายจ้าง (Employer Representatives) ต้องรู้จักพิจารณาลงโทษพนักงานอย่างสมเหตุสมผล (Reasonable) โดยอาศัยหลักการที่เป็นธรรม โปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมาย ซึ่งสามารถปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานง่าย ๆ ได้แก่

o พนักงานควรได้รับการบอกกล่าวถึงการกระทำที่เป็นการละเมิดวินัยพนักงาน
o พนักงานควรได้รับโอกาสที่จะอธิบายสถานการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น
o พนักงานควรได้รับโอกาสที่จะปรับปรุงตนเอง ยกเว้นแต่พฤติกรรมนั้นเป็นการกระทำผิดร้ายแรงต่อกฎหมาย ต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือละเมิดบรรทัดฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างร้ายแรง เป็นต้น
o พนักงานควรได้รับการลงโทษจากสถานเบาไปสถานหนักขึ้นตามลำดับความผิด และการกระทำผิดซ้ำคำเตือน และการลงโทษแต่ละครั้งจะต้องมีหลักฐานพยานอ้างอิงไว้อย่างชัดเจน
o นายจ้างและหัวหน้างานควรคำนึงถึงเหตุบรรเทาโทษ (Mitigating Circumstance) เช่นคุณงามความดีที่เคยทำให้กับองค์กรประกอบด้วย

ในบางกรณีที่พนักงานกระทำผิดวินัยเข้าข่ายร้ายแรงที่จะต้องมีการสอบสวนข้อเท้จริงและการลงโทษทางวินัย  ผมมีคำแนะนำให้หัวหน้างานดำเนินการอย่างเหมาะสมเป็นขั้นเป็นตอนดังต่อไปนี้

o รวบรวมพยานหลักฐานไว้เป็นการล่วงหน้า รวมทั้งการให้ถ้อยคำ (Statement) ของพนักงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย
o เชิญพนักงานที่กระทำผิดวินัยมาเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงถึงเหตุการณ็ที่เกิดขึ้น โดยต้องให้สิทธิแก่พนักงานที่จะนำเสนอหรือแสดงพยานหลักฐานใดใดเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของเขา โดยควรแจ้งให้พนักงานที่กระทำผิดวินัยทราบเป็นการล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน
o เชิญผู้บังคับบัญชาจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าร่วมการสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งโดยปกติแล้วองค์กรนิยมทำคำสั่งแต่ตั้งเพื่อให้พิจารณาเรื่องราวอย่างถี่ถ้วน เกิดความเป็นธรรม และลดความเอนเอียงลงได้
o เริ่มต้นสอบสวนข้อเท้จริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดวินัยของพนักงานด้วยการระบุความผิดของพนักงานโดยอ้างอิงหลักฐานพยานที่รวบรวมมาไว้ล่วงหน้านั้นแล้ว
o หากรับฟังได้ว่าพนักงานเป็นฝ่ายกระทำผิดวินัย ก็ควรร่วมกันพิจารณาว่าจะดำเนินการทางวินัยกับพนักงานอย่างไรจึงจะเหมาะสม
o สรุปเรื่องเสนอผู้มีอำนาจสั่งลงโทษตามที่ระบุไว้ในข้อบังคับการทำงาน

การลงโทษทางวินัย จำแนกออกได้เป็น 2 กรณีดังนี้

ก. กรณีความผิดทั่วไป   มีลักษณะเป็นความผิดที่ปรากฎในข้อบังคับการทำงานหมวดว่าด้วย “วินัยพนักงาน” โดยที่ความผิดที่จะลงนั้นไม่ถึงสถานหนักสุด (โดยทั่วไปสถานหนักคือเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินชดเชย)  เมื่อจะลงโทษทางวินัยก็ควรพิจารณาจากระดับเบา -> หนัก พร้อมกันนั้นท่านต้องระบุระยะเวลาที่โทษที่ลงมีผลบังคับเช่น ในระยะเวลา 1 ปี  พร้อมระบุการผิดซ้ำคำเตือนมีผลทำให้สามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย

กรณีของการลงโทษทางวินัยด้วยการตักเตือนนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานได้เคยวางหลักการไว้ว่าหนังสือเตือน (Warning Letter) หรือหนังสือที่ออกเพื่อการตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรจะนำไปประกอบการพิจารณาของศาลได้ ต้องระบุข้อความต่อไปนี้

- วันเดือนปีที่ออกหนังสือเตือน (จะเป็นวันที่กระทำผิดหรือวันหลังก็ได้)
- สถานที่ออกหนังสือเตือน (ควรใช้หัวกระดาษของบริษัท)
- ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ที่กระทำผิด  (โดยจะต้องบอกวันเดือนปี สถานที่รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด)
- ข้ออ้างที่ระบุว่ากระทำผิด หรือระบุว่าการกระทำผิดนั้นผิดข้อบังคับการทำงานข้อใดและข้อนั้นระบุไว้อย่างไร
- ข้อความที่มีลักษณะคำเตือนไม่ให้ปฏิบัติอีก หากฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษในสถานหนักขึ้นต่อไป
- ลงลายมือชื่อผู้เตือน พนักงานที่กระทำผิดและพยาน
อย่างไรก็ตาม  กรณีพนักงานได้รับการลงโทษทางวินัยด้วยการเลิกจ้างนั้นก็สามารถใช้การตักเตือนด้วยวาจาและให้บันทึกรายละเอียดไว้ก็ใช้ประกอบได้ แต่จะต้องผ่านการลงโทษเป็นตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นโทษสถานหนักกว่าเท่านั้น

ข.  กรณีความผิดร้ายแรง 
มีลักษณะที่เป็นความผิดที่ปรากฎในข้อบังคับการทำงานหมวดว่าด้วย “วินัยพนักงาน” และระบุไว้ว่าเป็นความผิดร้ายแรงที่นายจ้างจะลงโทษในสถาน “หนักสุด” ซึ่งโดยทั่วไปก็คือเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินชดเชย / ไล่ออก โดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง  ไม่ต้องจ่ายเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และนายจ้างก็จะเคลียร์ค่าจ้าง เงินค่าตอบแทนและอื่น ๆ ให้ลูกจ้างภายในสามวัน                             นับจากวันที่เลิกจ้าง  อย่างไรก็ตาม ความผิดร้ายแรงนั้นจะพิจารณาเป็นรายกรณี ความผิดบางอย่างในข้อบังคับการทำงานระบุว่าเป็นความผิดร้ายแรง อาจจะไม่ร้ายแรงตามดุลยพินิจของศาลแรงงานก็ได้

ในการพิจารณาลงโทษทางวินัยแก่พนักงานนั้น ควรจะได้พิจารณาถึงผู้มีอำนาจในการพิจารณาลงโทษทางวินัยตามที่ปรากฎในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของแต่ละองค์กรด้วย ตามตัวอย่าง

ความผิดทางวินัยที่เข้าข่ายร้ายแรงที่นำไปสู่การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยนั้น มีสองกลุ่มคือความคิดผิดวินัยร้ายแรงตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ม. 119 และความคิดผิดวินัยร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 583  ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงในที่นี้นะครับ
และเนื่องจากการลงโทษทางวินัยร้ายแรงนั้นมีรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติมาก เช่นต้องมีการสอบสวนการกระทำผิดทางวินัยนั้นเสียก่อน ในทางปฏิบัติหัวหน้างานที่มีปัญหาลูกน้องกระทำผิดวินัยร้ายแรงนี้ควรต้องปรึกษาหารือกับฝ่ายทรัพยากรบุคคลขององค์กรท่านเพื่อดำเนินการอย่างใกล้ชิด พร้อมกับพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วยนะครับ

(2) ประเด็นการมีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมาย (Under-performance Issue)  

ปัญหาประการหนึ่งที่มักปรากฎและเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยสำหรับหัวหน้างานคือปัญหาพนักงานมีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมาย (Under-performer) ในหนังสือเรื่อง “How to Be An Even Better Manager: A Complete A-Z  Proven Techniques and Essential Skills” ผู้เขียนคือ Michael Armstrong   ได้ให้คำแนะนำแท้จริงนั้นปัญหาพนักงานมีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมายอาจจะมีสาเหตุประการสำคัญมาจากพนักงานขาดทักษะ ขาดความรู้รวมทั้งอาจจะขาดแรงจูงใจที่เพียงพอกับการทำงานนั้นก็ได้  รวมทั้งอาจจะเกิดขึ้นมาจากปัญหาหัวหน้างานขาดภาวะผู้นำที่ดีและเพียงพอ (Lack of Leadership) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หัวหน้างานจะต้องบอกถึงเป้าหมายที่คาดหวัง (Expected Results) จากการปฏิบัติงานพร้อมกับไม่ได้บอกให้ชัดเจนว่าในงานที่พนักงานรับผิดชอบนั้นต้องอาศัยทักษะหรือสมรรถนะ (Competency) ในเรื่องใดบ้างอีกด้วย

โดยทั่วไปแล้วแนวทางที่จะจัดการกับพนักงานที่มีผลงานต่ำกว่าเป้าหมายที่ปรากฎเป็นแนวปฏิบัติของหลายองค์กรมักจะได้แก่การระบุให้ชัดเจนว่าปัญหาผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย (Under-performer) ของพนักงานนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร  และจะมีแนวทางแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้พนักงานทำงานได้ตามเป้าหมายอย่างไรบ้าง  เมื่อมีปัญหาพนักงานทำงานได้ผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย หัวหน้างานก็ควรได้ทำการวิเคราะห์และพูดคุยกับพนักงานเป็นรายบุคคลในเรื่องเป้าหมายผลงานท่ต้องการ มาตรฐานการปฏิบัติงาน แนวทางการประเมินผลงาน รวมตลอดจนถึงการสะท้อนผลงานที่หัวหน้ากระทำกับพนักงานเป็นรายบุคคลลงไป ซึ่งนิยมทำกันในรูปแบบของการสะท้อนผลงาน (Feedback) การดำเนินการเช่นนี้นับได้ว่าเป็นรากฐานที่ดีสำหรับการป้องกันมากกว่าการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ (Prevention better than cure)  จากนั้นก็มาค้นหาเหตุผลและสิ่งที่ต้องการปรับปรุง ด้วยการพยายามค้นหาข้อเท็จจริงที่ส่งผลให้พนักงานไม่สามารถส่งมอบผลงานออกมาเช่นที่คาดหวังได้ โดยเฉพาะการเริ่มต้นระบุถึงสาเหตุปัจจัยที่พนักงานไม่อาจควบคุมได้และสาเหตุปัจจัยนั้นส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของงาน สาเหตุปัจจัยภายนอกที่ว่านี้อาจจะได้แก่ เครื่องจักรชำรุด ปัญหาด้านการเงินของธุรกิจ การได้รับฝึกอบรมพัฒนาไม่เพียงพอจนขาดความรู้และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการทำงาน เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างเช่นนี้มักจะเป็นเรื่องที่พนักงานไม่อาจควบคุมได้เลย แนวทางหนึ่งในการวิเคราะห์เพื่อให้เห็นถึงเหตุผลและสิ่งที่ต้องการปรับปรุงคือการมองให้ทะลุไปยังเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาที่ตัวของพนักงานรวมทั้งหัวหน้างานที่เขาต้องทำงานด้วย

เมื่อใดที่ท่านจะแก้ปัญหาผลงานของพนักงานตกต่ำแล้ว ท่านต้องไม่นำเอาข่าวหรือเรื่องราวของพนักงานคนนั้นไปเที่ยวพูดให้คนอื่นได้รับฟังแบบมันส์ปาก เพราะนั่นเป็นการไม่ให้เกียรติกับลูกน้องตามสมควรซึ่งไม่น่ารักเอาเสียเลย

นอกจากนี้ไม่ควรที่จะนำเอางานของพนักงานที่มีผลงานต่ำนั้นมาทำเอง หรือกระจายงานไปให้กับลูกน้องคนอื่นเพราะนั่นจะทำให้ลูกน้องคนอื่นหมดกำลังใจจากการที่รู้สึกว่าจะต้องมารับผิดชอบงานของพนักงานคนอื่นที่ผลงานแย่ บางคนถึงกับบ่นว่า “ฉันเก่งต้องทำงานมากกว่าคนไม่เก่งแล้วเป็นธรรมหรือ ? รู้แบบนี้อยู่เฉย ๆ น่าจะดีกว่าเพราะก็ไม่ได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นเสียหน่อย”  หากท่านไปเผลอทำแบบนี้ ท่านอาจจะเสียพนักงานคนเก่งไปเพราะความน้อยใจที่ท่านปฏิบัติไม่เป็นธรรมก็ได้นะครับ

ในหนังสื่อชื่อ “Manager’s Toolkit” เขียนโดย Luecke, Richard และ  Bartlett   ได้กล่าวแนะนำไว้ว่าวิธีการที่จะจัดการกับปัญหาผลการปฏิบัติงานของพนักงานต่ำกว่าเป้าหมายอันมีเหตุจากการปัญหาทางพฤติกรรมที่เป็นไปในทางลบนั้นก็คือการสื่อสาร (Communication) ด้วยการสะท้อนผลทางตรง (Direct Feedback) จากหัวหน้าไปยังลูกน้องที่มีปัญหาโดยขอเสริมให้ท่านได้ลองลงมือทำอะไรอีกหลายอย่างดังนี้ครับ

o เตรียมพร้อมข้อมูลทุกอย่างไว้ก่อนที่จะพบกับพนักงาน ทบทวนคำอธิบายหน้าที่งาน  ผลการปฏิบัติงานที่ปรากฏ พร้อมกับเกณฑ์เทียบผลการปฏิบัติงาน  บันทึกย่อและการสนทนากับพนักงานที่ได้เคยทำและบันทึกไว้เป็นเอกสารที่แสดงให้เห็นว่าลูกน้องมีปัญหาผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย  

o แจ้งให้พนักงานทราบล่วงหน้าว่าจะใช้การพูดคุยปรึกษาหารือกันถึงปัญหาผลงานต่ำกว่าเป้าหมายและหาทางออกร่วมกัน

o ไม่เสียมารยาทไปเผลอพูดหรือไปป่าวประกาศว่าจะคุยกับลูกน้องคนใดเรื่องผลงานของเขาต่ำกว่าเป้าหมาย เพราะนั่นอาจจะทำให้ลูกน้องอับอาย รู้สึกว่าท่านไม่ได้ให้เกียรติเขาอย่างเพียงพอ และคงยากที่ไว้วางใจกัน และหากท่านต้องการความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานของเขาคนอื่น ก็ควรพูดเพียงว่า “ผมกับคุณสมชาติกำลังทำงานร่วมกันอยู่งานหนึ่งคือ............... ซึ่งผมอยากให้ทุกคนให้การสนับสนุนกับสิ่งที่เราจะช่วยกันทำต่อไป”  แบบนี้เป็นคำพูดทางบวกที่น่าฟังมากกว่าครับ  

o เมื่อถึงวันพูดคุยที่นัดไว้ หัวหน้างานควรเริ่มต้นด้วยความกระฉับกระเฉง และสร้างบรรยากาศที่ดีดีที่จะทำให้การพูดคุยเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล จากนั้นก็อธิบายพฤติกรรมที่เป็นปัญหาและผลกระทบที่มีต่อพนักงาน ต่อเพื่อนร่วมงานและคนอื่น ๆ โดยอาจจะอ้างถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องเช่นการได้เคยคุยปัญหาเรื่องผลการปฏิบัติงานนั้นกับพนักงานมาก่อนหน้าแล้ว พร้อมกับควรระบุเวลาที่เคยคุยกันไปเพื่อให้พนักงานนึกเรื่องราวตามได้ และบอกให้รู้ถึงผลกระทบของพฤติกรรมนั้นที่มีต่อหัวหน้างาน

o ฟังคำตอบของลูกน้องอย่างกระตือรือร้น เปิดใจกว้างรับฟังทุกสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมาเสมอ แม้ท่านจะคิดไปว่าเขาคงพูดแก้ตัวออกมาเท่านั้นเองก็ตาม  

o พูดคุยและร่วมกับลูกน้องค้นหาสาเหตุของปัญหาผลงานตกต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นไปได้ที่ลูกน้องจะทำงานแล้วได้ผลงานต่ำเพราะขาดความรู้หรือทักษะบางอย่าง  หรืออาจจะเป็นเพราะท่านบอกความคาดหวังในงานไม่ชัดเจน  (ไม่ว่าจะผลลัพธ์ของงานที่ต้องการไม่ชัด กำหนดเวลาหรือตัวชี้วัดผลงานไม่ชัด)  ซึ่งมักพบว่าปัญหานี้เป็นเรื่องคลาสสิคที่หัวหน้ามักละเลยเพราะทึกทักไปเองว่าลูกน้องจะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว  ทางที่ดีควรจะสื่อสารเพื่อให้มั่นใจแน่แท้ว่าทั้งท่านและลูกน้องเข้าใจเป้าหมาย วิธีการทำงานตรงกัน หากทวนถามไปแล้วพบว่ายังขาดตกหล่นในเรื่องใดก็ถือจะได้อธิบายทำความเข้าใจกันไปเสียเลย   โอกาสที่จะเข้าใจคลาดเคลื่อนกันก็จะลดน้อยลงไป

o ทบทวนว่าตัวท่านเป็นสาเหตุหนึ่งใดที่ทำให้พนักงานมีผลงานตกต่ำหรือเปล่า  การทำแบบนี้อาจจะช่วยลดอคติบางอย่างที่เป็นปัญหาของท่านที่มีกับลูกน้องลงไปได้ และโดยปกติเรื่องแบบนี้แม้ลูกน้องจะรู้ก็คงยากที่เขาจะเดินมาบอกกับท่านว่าท่านทำให้เขามีปัญหาผลงานตกต่ำจริงมั้ยครับ ? ทางที่ดีเราควรต้องรับรู้และจัดการตัวเราไม่ให้เป็นปัญหาทำให้พนักงานผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย บาปกรรมนะครับ
 
o วางแผนการปรับปรุงผลการปฏิบัติงาน (Performance Improvement Plan-PIP) พร้อมกับกำหนดเป้าหมายที่ต้องดำนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้เกิดผลงานขึ้นให้ชัดเจน พร้อมกับตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจว่าพนักงานเข้าใจสิ่งที่หัวหน้างานได้แนะนำเป็นอย่างดี  แต่หากพบว่าลูกน้องมีท่าทางเลื่อนลอย ช้า ๆ ซึม ๆ เหมือนกับไม่ได้คิดว่าตัวเองมีปัญหาอะไร ทำนองยังงงกับชีวิตตัวเองอยู่ ก็อย่างเพิ่งรีบไปให้คำแนะนำอะไรในทางลึกจนกว่าเขาจะมีทัศนคติที่พร้อมและเกิดความกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัดเสียก่อน ไม่เช่นนั้นลงมือทำไปก็ไลฟ์บอยครับ

o สร้างข้อตกลงการปรับปรุงผลการปฏิบัติงานร่วมกัน โดยเฉพาะข้อตกลงเกี่ยวกับการติดตามความคืบหน้าของการปรับปรุงพฤติกรรมทางลบที่ส่งผลให้เขาทำงานต่ำกว่าเป้าหมาย พร้อมทั้งคอยติดตามตรวจสอบว่าพนักงานได้ทำตามข้อตกลงนั้นจริง ๆ  การทำแบบนี้จะได้ผลดีมากตรงที่ทำให้พนักงานได้มีส่วนร่วมและจัดการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั่นด้วยตัวเอง ด้วยแนวทางและวิธีการของเขาเอง โอกาสที่เขาจะทำให้สำเร็จก็มีมากกว่าที่ท่านจะสั่งเอา (หรือเอาแต่สั่ง 555....) แน่นอนครับ

o ติดตามผลงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าเขาได้ปรับปรุงผลงานตามแผน โดยระหว่างนี้ควรถือโอกาสสะท้อนผล (Feedback) ทั้งในสิ่งที่เขาทำได้ดีและยังทำได้ไม่ดีไปพร้อมกัน

o ให้รางวัลกับการปรับปรุงพฤติกรรมของลูกน้องแม้เพียงเล็กน้อย รางวัลที่ว่านี้อาจจะไปขนมติดไม้ติดมือ  เลี้ยงข้าวสักมื้อ เพื่อเป็นกำลังใจให้เขาเกินหน้าปรับปรุงผลงานต่อไป

o ดำเนินการทางวินัย (Disciplinary Action)  เมื่อไม่ปรากฏความคืบหน้าของการปรับปรุงพฤติกรรมของลูกน้อง และเห็นได้ชัดว่าลูกน้องขาดความมุ่งมั่นตั้งใจในการปรับปรุงตัวเอง

(3)  ประเด็นปัญหาการมีพฤติกรรมทางลบในการทำงาน (Negative Behavior Issue)  

นอกเหนือจากปัญหาผลการปฏิบัติงานต่ำกว่าเป้าหมาย (Under-performer) เช่นที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว  ปัญหาประการสำคัญที่หัวหน้างานมักพบตามมาจากการประเมินผลการปฏิบัติงานก็คือพนักงานไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุที่พนักงานขาดความรู้ความสามารถ  พนักงานขาดทักษะหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม   การได้รับคำหนิติติงจากลูกค้าเกี่ยวกับผลงานที่เขาส่งมอบออกมา หรือเป็นกรณีที่พนักงานคงทำงานเพียงเฉพาะที่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในทบกำหนดหน้าที่งาน (Job Description) ก็ตาม  และเรื่องเช่นนี้ได้กลายเป็นปัญหาด้านลบอันส่งผลอย่างมากให้พนักงานไม่อาจสร้างผลงานที่ดีออกมาได้   โดยพฤติกรรมทางลบนั้นเป็นสิ่งที่พนักงานแสดงออกมาในทางที่ยอมรับไม่ได้ และหัวหน้าต้องจัดการเพื่อมิให้เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบไปยังบุคคลอื่น และเนื่องจากมักพบว่าการที่พนักงานมีพฤติกรรมทางลบนั้นจะสงผลให้พนักงานอาจจะแสดงอารมณ์ไม่พอใจกับการทำงานออกมาได้โดยง่าย

พฤติกรรมการทำงานบางอย่างที่เป็นปัญหาซึ่งมองในทางหนึ่งได้ว่าเป็นพฤติกรรมทางลบที่ไม่ว่าองค์กรใดต่างก็ไม่พึงประสงค์นั้นมีมากหลายจนยากจะสาธยายออกมาได้หมด ตัวอย่างของพฤติกรรมทางลบที่หัวหน้างานพึงระวังและใช้แนวทางแก้ไขปัญหาตามที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้วมาใช้

o ขาดแรงจูงใจที่จะทำงาน - ทำงานแบบขอไปที ไม่เสร็จตามกำหนดเวลา กลัวแรงกดดันจึงไม่อยากรับงานอะไรที่ท้าทายหรือที่มีกำหนดเวลาแน่นอน รวมทั้งไม่กล้ารับงานอะไรที่แปลกใหม่จากประสบการณ์ที่มี

o ขาดความอดทนและพากเพียร - เวลาเจอปัญหาจากงานหนัก ๆ ก็ไปไม่ออก ไม่รู้สึกที่จะบากบั่นฝ่าฟันแก้ไขปัญหาโดยหาข้ออ้างสารพัดมาสนับสนุนว่าตัวเองทำงานไม่ได้  เข้าทำนองหนักไม่เบาแต่เบาพอสู้ โดยมากคนที่ขาดความอดทนจะมีพฤติกรรมขาดแรงจูงใจประกอบกันไป

o ทำงานแค่ตามสั่ง – ไม่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ คิดนอกกรอบหรือคิดอะไรใหม่ที่แปลกและแตกต่างเพื่อสร้างคุณค่ากับการทำงาน

o ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น – ขาดความมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตัวเองขาดความรู้ทักษะ แม้แต่บางครั้งก็อาจต่างได้แต่ก็ไม่แสดงออกมา

o ไม่ประสานงานกัน – ทำงานแบบต่างคนต่างทำ แบ่งแยกฝักฝ่าย ไม่มองงานในภาพรวม พอเกิดความผิดพลาดก็โจมตีหรือโทษว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายหนึ่ง  เข้าข่ายโดยนความรับผิดชอบ

o ทำงานเป็นทีมไม่ได้ – ขัดแย้งกับคนอื่นเสมอ ไม่สานสร้างความสัมพันธ์กับใคร ทำงานฉายเดี่ยวสบายใจ

o มุ่งประโยชน์ส่วนตัว – มองผลงานหรือความสำเร็จแต่ฝั่งตัวเองเป็นหลัก ไม่สนใจว่างานใครจะกระทบหรือมีปัญหา หากตัวเองไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่ทำ

o ไม่แยกแยะ – ไม่แยกแยะเรื่องงานเรื่องส่วนตัว สับสนปนเปกันไปหมด  ไม่พอใจเรื่องใดก็ฟาดชิ่งไปอีกเรื่องแบบเอามันส์เข้าว่า ไม่แยกแยะระหว่างเรื่องความรู้สึก อารมณ์กับข้อเท็จจริง

o ทำงานโดยใช้ความรู้สึกเป็นตัวนำ – ไม่แสวงหาข้อมูลในการทำงานอย่างรอบด้านเพื่อให้คิดวิเคราะห์ได้ถ้วนถี่มากขึ้น จึงมักจะทำงานออกมาแบบไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  ทำงานไม่เป็นระบบ ส่งผลให้เกิดความสูญเปล่า

โดยทั่วไปแล้ว การมีพฤติกรรมทางลบของพนักงานมักเกิดมาจากหลายสาเหตุหนึ่งหรือหลายประการต่ได้แก่ ความจริงและความคาดหวังของพนักงานแตกต่างกัน  ความรู้สึกไม่พึงพอใจ ได้รับรางวัลตอบแทนหรือสิ่งจูงใจน้อยกว่าความคาดหวัง หรือความรับผิดชอบที่เขาได้รับมอบหมาย เช่นรู้สึกว่าทำงานหนักแต่ได้ค่าตอบแทนน้อย  หรือได้รับความไม่สบายใจจากการวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างจากหัวหน้า หรือจากเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากหัวหน้างาน  และในบางครั้งก็พบว่าพฤติกรรมทางลบเกิดขึ้นมาจากความโกรธต่อหัวหน้างานหรือองค์กรเพราะคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้ง โยกย้าย เปลี่ยนตำแหน่ง เป็นต้น

การที่จะแก้ไขพฤติกรรมทางลบของพนักงานให้ได้ผลนั้นควรดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ  (เว้นแต่หากปรับปรุงแล้วไม่ได้ผลก็ต้องดำเนินการทางวินัยอย่างเป็นทางการต่อไป) โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ไว้อ้างอิงอย่างมั่นคง โดยมีเงื่อนไขสองสามอย่างที่ท่านจะต้องระลึกไว้อยู่เสมอ อย่างแรกคือ การสั่งให้ลูกน้องทำโน่นนี่มักจะไม่เกิดผลอย่างที่อยากได้ตามมา และต้องไม่มุ่งโจมตีไปที่ตัวของเขา เช่นต้องไม่พูดว่า “คุณนิสัยแย่ ๆ แบบนี้นี่เองทำให้คนอื่นไม่อยากทำงานด้วย !!”  แต่ควรเจาะจงไปที่พฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาดีกว่า โดยพูดว่า “การที่คุณบ่นว่างานยากเย็นจึงไม่อยากที่จะทำ ทำให้เพื่อนร่วมงานที่ต้องรับงานต่อจากคุณเค้าไม่สบายใจเลยนะ”

เรื่องถัดมาที่จะละเลยเสียมิได้คือการพยายามปรับ mindset  หรือความรับรู้และความรู้สึกของลูกน้องให้เป็นไปในทางบวก โดยปกติแล้วคนเรานั้นหากมีอะไรมากระทบหรือมีอะไรที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เขาก็มักจะมีพฤติกรรมแสดงออกในทางต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้นขึ้นมา  จึงควรที่หัวหน้างานจะต้องแนะให้ลูกน้องปรับวิธีคิดของเขาให้เป็นไปในทางบวกโดยการแนะให้เขาคิดอ่านในทางที่ควรเช่นให้คิดว่าเราต้องทำงานกับคนอื่น และมีอีกหลายคนที่ต้องทำให้กับเราเช่นกัน หากจะทำงานให้ราบรื่นก็ควรถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยเหลือเกื้อกูลและเห็นอกเห็นใจกัน  จากนั้นก็ควรให้ลูกน้องได้แสวงหาทางออกของการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการทำงานของเขาด้วยตัวของเขาเอง เพราะจะทำให้เขารู้สึกว่าแนวทางและสิ่งที่ต้องปฏิบัตินั้นเป็นของเขาและเขาได้รับประโยชน์ในทางตรง มากกว่าที่จะเป็นแนวทางที่หัวหน้าสั่งหรือบอกมา  หากเขาคิดอ่านหาแนวทางลงมือทำเองแล้วโอกาสที่เขาจะลงมือทำตามนั้นก็มีมากขึ้น

พร้อมกันนี้ ท่านควรต้องเข้าใจด้วยนะว่าการพูดคุยและลงมือแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการทำงานในทางลบ หรือปัญหาผลงานต่ำกว่าเป้าหมายในบางเรื่องของลูกน้อง อาจจะไม่สามารถแก้ไขได้ในครั้งคราวเดียว อาจจะเพราะลูกน้องไม่พูดความจริงทั้งหมด หรือมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดปัญหานั้น สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าศึกชองมรดกของบางตระกูลเสียอีก (555....)  จึงอาจจะมีการพูดคุยกันหลายรอบ ต้องเตรียมใจตรงนี้ไว้เสียนิดหน่อยนะครับ

และเมื่อพบว่าพนักงานปรับปรุงพฤติกรรมของตนเองให้ดีขึ้น แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็ตาม ก็ควรให้กำลังใจลูกน้องบ้าง ชมเชยกันบ้าง โปรดอย่าลืมว่าการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการทำงานนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรมากนักกับปัญหาในการทำงานเรื่องอื่นที่ท่านจะต้องเปิดใจให้ลูกน้องมาปรึกษาหารือและขอคำแนะนำกับท่านได้เสมอ ที่จริงแล้ว บทบาทของหัวหน้างานที่ท่านจะต้องไม่ลืมก็คือ การ support ให้ลูกน้องทั้งหลาย ทำงานให้สำเร็จผลตามเป้าหมายที่วางไว้  การลอยแพลูกน้องให้ก้มหน้าก้มตาทำงาน หรือก้มหน้าก้มตาแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมการทำงานของเขาอย่างตามมีตามเกิด เปรียบเสมือนการบ่อนทำลายความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีที่ควรมีในการทำงาน และยังบั่นทอนแรงจูงใจที่ลูกน้องควรจะต้องมีเพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของลูกน้องอย่างไม่รู้ตัวเลยนะครับ  

แต่สุดท้ายแล้วหากพบว่าการปรับปรุงพฤติกรรมทางลบนั้นไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย และที่สำคัญยังพบว่าพฤติกรรมทางลบนั้นมีผลกระทบต่อผลงานของพนักงานนั้นอย่างมีนัยสำคัญ ก็ควรหาแนวทางการดำเนินการทางวินัยกับพนักงาน (Disciplinary Action) โดยควรเริ่มต้นดำเนินการทางวินัยกับพนักงานด้วยการตักเตือนด้วยวาจา (Verbal Warning) พร้อมกับระบุไปให้ชัดเจนกับพนักงานเลยว่าพฤติกรรมทางลบในเรื่องใดบ้างที่เขาจะต้องทำการปรับปรุงมิเช่นนั้นจะได้รับการลงโทษทางวินัย หรือได้รับการดำเนินการทางวินัยในสถานอื่นต่อไป  โดยหากไม่ปรากฎว่าพนักงานรายหนึ่งรายใดนั้นทำการปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมทางลบ ไปในระยะเวลาหนึ่งแม้จะได้ดำเนินการทางวินัยไปบ้างแล้ว ก็ควรจะดำเนินการทางวินัยในสถานอื่นที่หนักขึ้นต่อไป

ไม่ว่าลูกน้องจะทำเรื่องใดผิดวินัยการทำงาน  ทำงานไปแล้วมีผลงานต่ำกว่าเป้าหมาย หรือมีพฤติกรรมทางลบเรื่องใดที่ไม่พึงประสงค์กับองค์กรหรือหน่วยงานของเขาก็ตาม  สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับหัวหน้างานคือการที่จะต้องเร่งลงไปแก้ไขจัดการมิให้ปัญหานั้นลุกลามบานปลายส่งผลกระทบทั้งต่อตัวงานและกระทบต่อหน่วยงาน

แต่จะทำเรื่องเช่นนี้ทั้งที ต้องมีหลักวิชา ไม่ทำแบบลูบหน้าปะจมูกหรือทำแบบขอไปทีนะครับ เพราะอาจจะส่งผลกระทบทางลบตามมาที่น่าปวดหัวมากกว่าเก่า สำคัญที่สุดคือต้องทดลองหาวิธีที่ได้ผลจากบริบทที่ท่านดำรงอยู่ และปรับมันให้เข้ากับสไตล์ของท่านและของลูกน้องแต่ละคนด้วย จะเหมาะสมมากกว่าการนำเอาข้อคิดข้อเสนอใดไปลงมือปฏิบัติโดยไม่ใคร่ครวญองค์ประกอบรอบตัวของท่านให้ได้เสียก่อน  

ไม่เช่นนั้น หัวหน้าอาจงานเข้าเรื่องยาวเลยครับ !!!

การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ตอนจบ

เมื่อใดที่เกิดความขัดแย้งในการทำงานขึ้น  หัวหน้างานทั้งหลายควรได้เร่งรีบระงับความขัดแย้งให้ราบคาบมิให้ลุกลามใหญ่โตออกไป โดยใช้ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

(1)  ระงับความขัดแย้งเสียตั้งแต่เริ่มส่อเค้า  -  เมื่อใดที่ความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นในทีมงานหรือหน่วยงานของหัวหน้างาน   แม้ที่จริงความขัดแย้งนั้นจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของการผลักดันให้เกิดการแสวงหาแนวทาง/แนวคิดใหม่ ๆ  แต่หากควบคุมได้ไม่ดี  มันจะแผลงฤทธิ์กลายเป็นเสมือนเชื้อร้ายที่แพร่ไปทำลายสายสัมพันธ์ในทีมได้รวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ

วิธีที่จะทำให้ความขัดแย้งระงับลงได้ไม่ยากตั้งแต่เริ่มเห็นจะได้แก่การพูดคุยกันซึ่งหน้า เพื่อมิให้หลงไปทึกทักเอาเองจนเข้าใจอีกฝ่ายผิดไปอย่างที่ไม่น่าจะเป็น โดยไม่มุ่งที่จะเอาแต่ชนะคะคานกัน หรือไม่ตัดสินว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก หนทอใครแพ้ใครชนะกันแน่  พึงระลึดเสมอว่าหลายสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้สื่อสารกันอย่างเพียงพอ กลายเป็นจับเอานู่นมาผสมนี่ เข้าใจกันไปคนละทิศทางคนละทางในลักษณะตาบอดคลำช้าง  ซึ่งก็ยากที่จะหาข้อสรุปลงได้

อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งนั้นเป็นเพราะแต่ละฝ่ายคิดเห็นไม่ตรงกัน มีค่านิยมความเชื่อที่แตกต่างกันไป ก็พึงแก้ไขปัญหาพร้อมกับปรับมุมมองของแต่ละฝ่ายโดยมุ่งไปที่ผลประโยชน์อันทุกฝ่ายควรได้รับโดยยอมรับระหว่างกันได้ ไม่ผลีผลามเร่งเข้าไปจัดการปัญหาโดยไม่ไตร่ตรองดูให้ดี เพราะอาจจะทำให้หัวหน้างานกลายเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายเพื่อไล่บี้อีกฝ่ายหนึ่งจนเสียประโยชน์ ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่อาจแก้ไขปัญหานั้นลงได้เลย

(2)  กำหนดกรอบการพูดคุยและตั้งเป้าหมายงานร่วมกัน   -  ก่อนที่จะเจรจาพูดคุยกับใคร ลองคิดทบทวนสิครับว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร ผลของการหารือหรือแนวทางจากการตัดสินใจอะไรบ้าง ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่หัวหน้างานจะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการพูดคุยครั้งนี้ และก็อย่าลืมเช่นกันว่า สิ่งที่หัวหน้างานพูดคุยนั้น ต้องมีหลักฐานที่อ้างอิงให้เชื่อถือได้

เป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้วคู่ขัดแย้งต่างมองถึงเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ย่อมช่วยให้ความขัดแย้งนั้นคลี่คลายลงอย่างได้ผล ตรงกันข้ามกับที่แต่ละฝ่ายไร้เป้าหมายร่วม ก็มักจะทำอะไรตามวิธีการหรือแนวทางของตนเอง ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้ข้อขัดแย้งไม่ได้รับการแก้ไข หรือที่แย่กว่าคือยิ่งทำให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายออกไปอีก

ที่สำคัญนั้น หากจะให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงไป ก็ควรที่แต่ละฝ่ายจะยึดถือเป้าหมายที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันหรือที่เรียกว่า “Superordinate Goals” และในบางกรณีอาจจะต้องพึ่งพิงผู้บริหารลงมาช่วยจัดการประสานงานโดยมุ่งให้ทุกฝ่าย “เปิดใจ” พูดคุยกัน สะท้อนความต้องการของฝ่ายตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับควรยอมรับในกรณีใดก็ตามที่อีกฝ่ายหนึ่งทำถูกต้องแล้ว ไม่ดันทุรังเพราะกลัวว่าตนเองจะเสียหน้า อันมีแต่จะทำให้ปัญหาขัดแย้งนั้นไม่ได้รับการแก้ไข และคงยากที่จะหวังให้ใครยอมหัวหน้างานอย่างศิโรราบ

(3) ใช้บรรทัดฐานของทีมเพื่อหาจุดร่วม พร้อมสงวนจุดต่าง  -  เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น  แนวทางหนึ่งที่จะช่วยคลี่คลายได้ก็คือการชวนให้ทุกคนในทีมกลับไปคิดถึงแต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายตกลงกันได้ หรือกรอบความคิดอะไรบางอย่างที่ตกลงกันมาก่อน  เช่นในที่ทำงานที่มีประสบการณ์มา  ก่อนที่จะพิจารณาอะไรลงในรายละเอียด ทีมงานจะต้องทำความตกลงในเรื่องพื้นฐานที่ทุกฝ่ายจะต้องมองและยอมรับเป็นกติกาพื้นฐานเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า “หลักการ”  ให้ชัดเจนเสียก่อน  และหากบรรทัดฐานของทีมนั้นเป็นพฤติกรรม ก็จะพูดคุยกันถึงพฤติกรรมแบบที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ไว้เป็น “กรอบ” อันจะต้องว่าตามนั้นอย่างเคร่งครัด

(4)  ไม่เลือกข้าง   -  เมื่อเกิดความขัดแย้งใดใดขึ้นมา  ก็อย่าได้เผลอไปเข้าข้างทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างไม่เป็นธรรม แม้ว่าหัวหน้างานจะรักใคร่ขอบพอกันเพียงใดก็ตาม  แต่ขอให้ทำตัวให้เป็นกลางที่จะช่วยไกล่เกลี่ยยุติปัญหาความขัดแย้งของทุกฝ่ายโดยเร็วพลัน แล้วเดินหน้าทำงานอย่างมุ่งมั่นต่อไป
 
(5) หาสถานการณ์และแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์  -  ในสถานการณ์หนึ่งใดไม่ควรที่หัวหน้างานจะเลือกใช้แนวทางใดแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหา หากแต่ควรจะต้องไตร่ตรองให้ดีว่าช่วงใดของสถานการณ์ที่ควรจะเลือกใช้แนวทางหนึ่ง และเมื่อกาละและเทศะเปลี่ยนแปลงจึงไตร่ตรองว่าควรเปลี่ยนแนวทางหรือไม่  แต่กระนั้น  การแก้ไขปัญหาจะได้ผลต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้ง ได้พูดอย่างเปิดอกถึงปัญหาที่ตัวพบอยู่ พร้อมกับระบุถึงแนวทาง และผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายต้องการ

(6)  พูดคุยด้วยทีท่าที่สุภาพอ่อนน้อม และรับฟังอย่างตั้งใจ -  ตรองดูว่าเวลาใครมาคุยกับเรา เราก็อยากให้เขาสนทนาประสามนุษย์ผู้มีอารยธรรม  พูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ไม่กระแนะกระแหน เสียดสีให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง (ไม่ได้ว่าใครนะ!)  และไม่มีท่าทีที่คุกคาม ไม่คาดคั้น อันบ่งบอกถึงการมีความสุภาพนอบน้อมและมารยาทอันดี เช่นเดียวกับที่เวลาเราคุยกับใคร ใครบุคคลอื่นนั้นก็ต้องการแบบนี้ไม่แตกต่างกัน

นอกจากการฟังจะบ่งบอกถึงมารยาทที่ดีในการพูดคุยเจรจากันแล้ว การฟังด้วยความตั้งใจยังจะช่วยให้หัวหน้างานได้ข้อมูลหลายอย่างที่ชัดเจนมากขึ้น และช่วยให้มองเห็นบางประเด็นที่อาจจะหลงลืมหรือละเลยกันชัดขึ้น แถมยังอาจช่วยให้คาดการณ์อารมณ์ความรู้สึก อันสะท้อนได้จากน้ำเสียง อากับกิริยาและอื่นๆ ได้ไม่ยากนัก

อย่าได้กังวลหรือกลัวว่าจะขัดแย้งกับใครจนทำตัวเป็นทุกข์ หาความสนุกและท้าทายกับงานไม่ได้  แต่ให้หันมาเปิดสมอง และมองชีวิตการทำงานที่จะช่วยรับมือกับความขัดแย้งได้จากที่แนะนำไป  เรื่องแบบนี้ต้องลองทำครับ

การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ตอนที่ 1

ความขัดแย้งที่เรามักพบเห็นนั้น พอจะจำแนกได้เป็นสองลักษณะได้แก่ ความขัดแย้งที่นำไปสู่การปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้ดีขึ้นซึ่งก็จะทำให้องค์กรได้ผลประโยชน์ทางบวกตามมา เรียกในภาษาวิชาการว่า “Functional Conflict”  ความขัดแย้งลักษณะนี้ เป็นสิ่งที่หลายองค์กรอยากได้พร้อมกับพยายามควบคุมขอบเขตมิให้เกิดเป็นปัญหาบานหลายตามมาเนื่องเพราะเป็นความขัดแย้งอันส่งผลให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆ  กับอีกลักษณะหนึ่งคิดความขัดแย้งที่หากไม่ดิแก้ไขหันท่วงทีและอย่างจริงจังโดยเฉพาะจากผู้บริหารระดับสูงก็จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง การแตกแยกตวามสามัคคี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในระดับใดก็อาจจะส่งผลท้ายสุดให้องค์กรล่มสลายได้ นักวิชาการเรียกความขัดแย้งนี้ว่า “Dysfunctional Conflict”  เมื่อเกิดความขัดแย้งลักษณะนี้ขึ้นไม่ว่าจะเป็นรายคน กลุ่มหรือระหว่างหน่วยงาน ในฐานะที่หัวหน้างานเป็นผู้บังคับบัญชาก็อย่าได้นั่งรอคอยแต่จะให้ผู้บริหารระดับเหนือขึ้นไปเข้ามาขจัดความขัดแย้งและสร้างทีมงาน (Managing Conflict and Team Building) หรือคอยอัศวินขี่ม้าขาวมาคอยแก้ไขปัญหาให้ เพราะเรื่องอาจจะบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ยากจะแก้ไข

จากข้อเขียนของจุฑา เทียนไทย  และงานของ ศิริยุพา รุ่งเริงสุข ความขัดแย้งในองค์กรนั้นมีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นได้ในหลายประการสรุปแล้วได้แก่

(1) มีความต้องการหรือผลประโยชน์ที่ขัดกัน – ซึ่งเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่ามนุษย์โดยมากต่างมีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น จะมากหรือน้อยก็แตกต่างกันไป และความขัดแย้งก็เกิดขึ้นเมื่อคนเราต่างมุ่งต้องการบรรลุสิ่งที่ตนเองต้องการโดยละเลยเพิกเฉยกับความต้องการของบุคคลอื่น  เช่นฝ่ายจัดซื้อต้องการซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าเข้ามาไว้ในปริมาณมาก ๆ เพื่อให้เกิดความประหยัดต่อขนาด (Economy for Scale) และมีประโยชน์ในการต่อรองราคาพร้อมเครดิตเทอมในการชำระเงิน ในขณะที่ฝ่ายคลังสินค้ากลับไม่อยากให้ทำเช่นนั้นเนื่องจากเป็นภาระในการเก็บสินค้าไว้คงคลัง และกลายเป็นต้นทุนที่ไม่สมควรจะแบกรับไว้

(2) มีการรับรู้และตีความปรากฎการณ์นั้นแตกต่างกัน – แม้คนเราจะมีผัสสะหรือประสาทสัมผัสและองคาพยพของร่างกายไม่แตกต่างกัน แต่เรารับรู้สิ่งเร้าที่มากระทบต่อผัสสะของเราแตกต่างกันไป จึงนำไปสู่การตีความ การวิจารณ์ภาพหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป และมักจะสื่อสารหรือสื่อความออกไปอย่างที่อาจจะทำให้เข้าใจไม่ตรงกันด้วย

(3) ค่านิยมที่ต่างกัน  - ตามพื้นฐานการศึกษา การเลี้ยงดูของครอบครัวและการหล่อหลอมกล่อมเกลาที่ได้รับจากสถาบันที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต

(4) ความรู้สึกและอารมณ์ – หลายกรณีที่คนเราก็ไม่ได้ใช้เหตุผลพูดคุยหรือประสานงานกัน แต่เลือกที่จะใช้อารมณ์ความรู้สึก จึงมักจะเกิดความขัดแย้งเพราะอารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือเหตุผลที่ควร

(5) อำนาจและอิทธิพล – คนเรานั้นมีความต้องการที่แตกต่างกันแต่มักจะไม่ยอมรับความจริงข้อนี้โดยส่วนมากจะพยายามใช้อำนาจและอิทธิพลบีบบังคับให้คนอื่นยอมรับความคิดเห็นและปฏิบัติตามความต้องการของตนเอง โดยที่ความต้องการนั้นมักเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ใช่ผลประโยชน์ขององค์กรโดยภาพรวม

(6) ทรัพยากรในองค์กรมีไม่เพียงพอ – อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานเกิดความขัดแย้งกันเพราะต้องแย่งชิงการใช้ทรัพยากรเช่นงบประมาณของบริษัท อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งมีหรือได้รับการจัดหาไว้อย่างจำกัด เป็นต้น

(7) การจัดแบ่งงานและหน้าที่รับผิดชอบที่ซ้ำซ้อน คลุมเครือ – เป็นสาเหตุที่สำคัญและพบกันได้บ่อยในองค์กรเนื่องจากมักเป็นเรื่องที่ทำให้พนักงานสับสน เกี่ยงกันทำงานและทะเลาะกันเรื่องว่าใครมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องใดดี  และมักพบว่าความขัดแย้งบางลักษณะเกิดจากการออกแบบโครงสร้างและระบบงานที่เชื่อมโยงกัน ต้องพึ่งพาอาศัยแต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่อาจพึ่งพาได้อย่างที่ควร ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่ต้องรอคอยกัน เช่น ฝ่ายผลิตต้องพึ่งพิงฝ่ายซ่อมบำรุงในการดูแลซ่อมเครื่องจักรที่เสียอย่างเร่งด่วนแต่ไม่สามารถพึ่งพิงฝ่ายซ่อมบำรุงได้ทันที เป็นต้น

(8) การติดต่อสื่อสารและประสานงานไม่มีประสิทธิผล – สื่อความออกมาแล้วเข้าใจกันผิดพลาด มีโอกาสในการสื่อสารประสานงานกันอย่างเข้าใจด้วยดี หรือด้วยความจงใจที่จะปกปิดข้อเท็จจริงไว้เพื่อผลประโยชน์หน่วยงานของตัวหรือผลประโยน์ส่วนตน อาจส่งผลบานปลายให้เป็นความขัดแย้งตามมา

ตามแนวคิดของ Kenneth W. Thomas และ Ralph H. Kilmann  ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “Thomas-Kilmann Conflict Modes Instrument - TKI”   ตามแผนภาพข้างล่างนี้  จำแนกสไตล์การแก้ไขความขัดแย้งออกตามสองแกน มีระดับสูงต่ำ  แกนตั้งเป็นแนวทางแบบ “Assertiveness” บ่งบอกถึงการมุ่งเน้นความจำเป็นส่วนตัว ผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาและสิ่งที่ตนเองต้องการเป็นหลัก   ส่วนแกนนอนเป็นแนวทางแบบ “Cooperation หรือ Cooperativeness”  ที่บ่งบอกถึงการมุ่งเน้นความต้องการและประโยชน์ที่ได้รับร่วมกัน   และพิจารณาจากแผนภาพจะเห็นว่า การแก้ไขความขัดแย้งแบบการร่วมมือ (Collaborating) นั้นเป็นแนวทางที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่ทั้งตัวเขาต้องการและไปกันได้กับผลประโยชน์ของอีกฝ่ายเป็นหลัก จึงได้ชื่อว่าเป็นแนวทางแก้ไขความขัดแย้งที่มีประสิทธิผลที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันได้มากกว่าแนวทางอื่นใด

เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ขอกล่าวถึงการสรุปแนวทางกรแก้ไขจัดการปัญหาความขัดแย้งตามแนวคิดของ Kenneth W. Thomas และ Ralph H. Kilmann  จากงานเขียนของวันชัย มีชาติ  ในหนังสือเรื่อง “พฤติกรรมการบริหารองค์การสาธารณะ” งานของ นิทัศน์ ศิริโชติรัตน์ ในหนังสือเรื่อง “การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในศตวรรษที่ 21” และงานของ  ศิริยุพา รุ่งเริงสุข  ในหนังสือเรื่อง “แบรนด์ผู้นำปั้นได้”   ได้กล่าวถึงสไตล์การจัดการความขัดแย้ง อันจำแนกออกได้ 5 สไตล์ และแต่ละสไตล์การจัดการความขัดแย้งนั้นเหมาะสมกับการใช้ในสถานการณ์ดังต่อไปนี้

การแข่งขัน (Competing)  มีสัญลักษณ์เป็น “ปลาฉลาม”  โดยมีลักษณะสู้ไม่ถอยเพื่อให้ตนเองเป็นฝ่ายชนะหรือได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ  การแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางนี้เหมาะกับสถานการณ์ที่

o เป็นเรื่องเร่งด่วน ต้องตัดสินใจโดยเร็ว
o เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิบัติเช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบ เป็นต้น
o มั่นใจว่าความเห็นของตนเองนั้นถูกต้อง
o เป็นการกระทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ โดยมุ่งให้ได้ประโยชน์กับฝ่ายตนเองโดยไม่คำนึงว่าจะยังรักษาความสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายหรือไม่

ในการจัดการความขัดแย้งแบบนี้ ผลที่ได้รับอาจจะเป็นผลแบบไม่มีฝ่ายใดบรรลุเป้าหมาย (Lose-lose Resolution) หรือมีฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด (Win-lose Resolution)

การยอมตาม (Accommodating)  มีสัญลักษณ์เป็น “ตุ๊กตาหมี”  โดยยอมสละความต้องการของฝ่ายตนเอง หรือยอมเสียประโยชน์เพื่อให้อีกฝ่ายได้รับประโยชน์  การแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางนี้เหมาะกับสถานการณ์ที่

o ต้องการปลดชนวนความขัดแย้งเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้น
o เมื่อตระหนักว่าตนเป็นฝ่ายผิด และต้องการความสามัคคี
o เมื่อเราไม่ค่อยสนใจกับผลประโยชน์ในส่วนของตนเองมากนักหรือไม่สนใจเลย แต่สนใจประโยชน์ที่อีกฝ่ายหนึ่งได้รับมากกว่า
o รู้สึกเห็นใจเข้าใจว่าเขามีความต้องการที่สำคัญกว่าฝ่ายของเขาจึงยอมให้
o ต้องการทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกที่ดีดีกับเรา และช่วยสานสร้างความสัมพันธ์อันดีในอนาคต โดยอาจตอบแทนกลับมาในครั้งหน้าก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม การจัดการความขัดแย้งด้วยวิธีการนี้ควรใช้วิจารณญาณในการดูว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพวกชอบฉวยโอกาสหรือไม่ประกอบไปด้วย

การหลีกเลี่ยง  (Avoiding)  มีสัญลักษณ์เป็น “เต่า”  โดยมีลักษณะเลี่ยงความขัดแย้ง เอาตัวให้รอดพ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งนั้น เข้าทำนองไม่รู้ไม่ชี้ ความขัดแย้งจึงไม่ได้รับการแก้ไขและมีแนวโน้มที่จะปะทุรุนแรงมากขึ้นในภายหน้า  โดยควรแนวทางจัดการความขัดแย้งนี้ในสถานการณ์ที่

o เมื่อเรื่องที่ขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญมากนัก
o ในช่วงเวลานั้นเรายังไม่พร้อมที่จะพูดคุยเรื่องความขัดแย้งเพราะยังขาดข้อมูลที่เพียงพอ หรือยังไม่พร้อมในแง่อารมณ์ความรู้สึก
o เมื่อต้องการหลีกเลี่ยงผลกระทบทางร้ายที่จะไปสู่ความสำเร็จขององค์กรขณะนั้น
o เมื่อรู้ว่าสถานการณ์นั้นตนมีอำนาจต่อรองน้อยกว่า ซึ่งไม่เพียงพอทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้
o เมื่อตระหนักว่าบุคคลอื่นหรือฝ่ายอื่นสามารถยุติความขัดแย้งดังกล่าวได้ดีกว่า
o เมื่อต้องการประวิงเวลาการเผชิญหน้ามิให้เกิดผลเสียหายมากกว่า
o เมื่อเห็นว่าวิธีการจัดการความขัดแย้งวิธีการอื่นได้ผลน้อยกว่า

การร่วมมือ (Collaborating) มีสัญลักษณ์เป็น “นกฮูก”  โดยมีลักษณะซึ่งแสดงถึงความสุม อันเป็นกรณีที่ทุกฝ่ายหัวหน้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูล พิจารณาความต้องการและปัญหาของทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งกันอย่างรอบคอบถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้พยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ทุกคนได้รับประโยชน์และมีความพึงพอใจร่วมกัน   โดยในการแก้ไขความขัดแย้งโดยวิธีการนี้จะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ชี้แจง แสดงเหตุผลและความต้องการของแต่ละฝ่ายให้ครบถ้วน และทุกฝ่ายจะพยายามหาวิธีหรือข้อสรุปที่จะทำให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างที่ต้องการ ซึ่งวิธีการแก้ไขความขัดแย้งแบบนี้มักใช้กระบวนการและเวลามากเนื่องจากไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่จะแก้ไขและให้ทุกฝ่ายได้ตามที่ตนเองต้องการ
นอกเหนือไปจากนี้กระบวนการแก้ไขความขัดแย้งจะต้องอาศัยความจริงใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และทุกฝ่ายต้องพึงมีให้กัน แต่ละฝ่ายก็ควรต้องมีทักษะในการจัดการกับความขัดแย้งที่สำคัญคือการเป็นผู้ฟังที่ดี มีความสุภาพ ใจเย็น อดทนและมีความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะเรื่องความคิดสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากเนื่องจากจะช่วยทำให้สามารถหาทางออกไปสู่เรื่องที่ทุกฝ่ายพึงพอใจได้ อย่างไรก็ตาม ในการแก้ไขความขัดแย้งตามแนวทางนี้ไม่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาที่เร่งรีบและควรเป็นเรื่องที่สำคัญมากนัก เนื่องจากการใช้เวลามากอาจจะไม่เหมาะหรือคุ้มกับเวลาที่เสียไปนั่นเอง ซึ่งกล่าวโดยสรุปแล้ว  แม้วิธีการนี้จะได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแต่ก็ไม่สามารถนำไปใช้จัดการความขัดแย้งได้กับทุกสถานการณ์ ดังนั้น ควรใช้วิธีจัดการความขัดแย้งนี้ในสถานการณ์ที่

o เมื่อแนวคิดของคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญเกินกว่าที่จะประนีประนอมกันได้
o เมื่อทั้งสองฝ่ายพร้อมหรือมีความต้องการในการเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องความรู้สึก หรือแนวคิดของอีกฝ่ายหนึ่ง
o เมื่อพบว่าเป้าหมายหรือผลลัพธ์ที่ได้รับจากความร่วมมือจะสูงหรือดึงดูดทั้งสองฝ่ายได้มากกว่า และไม่มีฝ่ายใดจะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ฝ่ายเดียว
o เมื่อต้องการผสานแนวคิดหรือความคิดเห็นที่ดีของทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้วิธีการจัดการความขัดแย้งที่ดีกว่า
o เมื่อต้องการประสานความรู้สึกที่ไม่ดีซึ่งกันและกัน หรือต้องการให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน โดยเน้นการเจรจาให้ยอมรับความต้องการของทั้งสองฝ่าย

การประนีประนอม (Compromising)  มีสัญลักษณ์เป็น “สุนัขจิ้งจอก”  โดยมีลักษณะของการจัดการความขัดแย้งแบบพบกันครึ่งทาง ต่างฝ่ายต่างยอมสละประโยชน์ของฝ่ายตนเองฝ่ายละครึ่งเพื่อให้ได้คนละครึ่ง ในแบบที่เรียกว่า “หมูไปไก่มา”  การจัดการความขัดแย้งด้วยวิธีการนี้เหมาะกับสถานการณ์ที่

o เมื่อการใช้วิธีจัดการความขัดแย้งวิธีอื่นได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่ากับวิธีนี้
o เมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายที่ต้องการของแต่ละฝ่ยแล้วพบว่าการขัดแย้งแข่งขันหรือต่อสู้กันเพื่อที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะชนะนั้นต้องออกแรงอย่างมาก
o เมื่อค่ขัดแย้งมีอำนาจต่อรองพอกัน แต่มีความขัดแย้งในเป้าหมายที่แตกต่างกัน การจัดการความขัดแย้งวิธีการนี้จึงเป็นทางสายกลางเพื่อเมื่อแต่ล่ะยเอาชนะกันไม่ได้ก็ต้องเลือกการยินยอมพร้อมใจหรือร่วมมือกัน
o เมื่อต้องการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยทำให้แต่ละฝ่ายมีความพึงพอใจและจากกันในรอบแรกของการแก้ไขความขัดแย้งด้วยดี มีความรู้สึกทางลบไม่มากนัก เพื่อให้สามารถมาคุยกันต่อไปในรอบหลัง ๆ ได้โดยยังมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน

ทั้งนี้วิธีการทั้ง 5 อย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นควรนำไปเลือกใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นโดยพิจารณาถึงความสำคัญของปัญหา ผลประโยชน์ที่ส่วนรวมจะได้รับ ความสัมพันธ์กับคู่กรณี รวมทั้งเวลาที่มีเพื่อใช้จัดการความขัดแย้งนั้นด้วย นอกจากนี้ ควรเลือกใช้แนวทางการจัดการความขัดแย้งที่เหมาะสมกับสไตล์การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management Style) เช่นที่ได้กล่าวถึง พ  และทดลองใช้วิธีการอันเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย  พร้อมกับต้องไม่ลืมที่จะทำการวิเคราะห์ว่าอะไรคือที่มาหรือสาเหตุของความขัดแย้ง  ใครคือคู่กรณีความขัดแย้งและคู่กรณีนั้นมีภูมิหลังและบุคลิกภาพอย่างไร และวิเคราะห์อีกด้วยว่าใครเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับปัญหาความขัดแย้งนั้น หรือปัญหาความขัดแย้งนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว องค์กรหรือส่วนรวม

การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตอนจบ

ในสภาวะการแข่งขันและการมุ่งธำรงรักษาความได้เปรียบในการประกอบธุรกิจนั้น  แรงจูงใจเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากที่จะทำให้พนักงานทำงานเรื่องหนึ่งใดออกมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ ว่ากันตามจริงแล้ว หัวหน้างานควรสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ลูกน้องมีความรู้สึกผูกพันตัวของเขากับงานที่รับผิดชอบในลักษณะที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ของงานตามที่คาดหวังออกมา ไม่ว่าผลนั้นจะต่อส่วนตัวหรือต่อองค์กรก็ตาม ยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรอบด้านในปัจจุบันแล้ว การสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ลูกน้องหรือลูกทีมปรับตัวเพื่อลดการต่อต้านความเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นตามลำดับ  จึงกล่าวได้ว่า  ในการนำลูกน้องหรือลูกทีมผ่านการเปลี่ยนแปลงไปให้ได้ผลนั้น สิ่งที่สำคัญมากที่ต้องไม่ลืมที่จะทำสำหรับหัวหน้างานก็คือการสร้างแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงให้กับคนรอบข้างที่ต้องตามท่านไปกับขบวนความเปลี่ยนแปลงนั้น  และต่อไปนี้คือคำแนะนำเพื่อให้ท่านสร้างแรงจูงใจเพื่อนำการเปลี่ยนแปลงให้กับลูกน้องหรือลูกทีมอย่างได้ผล

(1)  ดูตัวอย่างหรือแนวปฏิบัติขององค์กรอื่น - เพื่อให้มั่นใจว่าการลงมือทำตามแนวปฏิบัติหนึ่งใดที่จะเราเลือกใช้นั้นมีตัวอย่างเชิงประจักษ์อ้างอิงหรือบทเรียนให้เรียนรู้ได้  โดยควรจะทำควบคู่กับการศึกษาองค์ความรู้ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแบบประกอบกันไป เพื่อให้การนำความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดผลความสำเร็จภายใต้สภาพความเป็นจริงขององค์กร

(2)  ค้นหาเบื้องหลังชองสิ่งจูงใจ – โดยค้นหาให้ได้ว่าพนักงานต้องการอะไรเพื่อให้เขาสบายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงเรื่องใด  เรามักพบว่าพนักงานหลายคนกังวลเรื่องทักษะความรู้ใหม่ ๆ ที่เขายังขาดอยู่ หรือที่จะต้องเรียนรู้อย่างยากลำบาก  หลายคนกังวลว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้ตัวเองหมดคุณค่า จากนั้นให้ลองคิดต่อไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้จริงในความกังวลทั้งหลายของลูกน้องหรือลูกทีมนั้น

(3)  พร้อมสนับสนุน  –  ควรแสดงให้ลูกน้องหรือลูกทีมเห็นว่าหัวหน้าคอยให้การสนับสนุนในการก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น  อันที่จริงไม่ว่าลูกน้องจะมีประสกบารณ์เพียงใด ต่างก็ต้องการให้หัวหน้าคอยช่วยเหลือสนับสนุนทั้งนั้น โดยเฉพาะในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หากทำให้เขามีรับโอกาสพัฒนาด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝนทักษะและสร้างประสบการณ์เพื่อให้เขามั่นใจว่าจะก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างลงตัวที่สุด เขาย่อมลดหรือผ่อนคลายแรงต้านการเปลี่ยนแปลงไปลงมาก และหากเป็นไปได้ หัวหน้าควรกำหนดมาตรฐาน ขั้นตอนหรือแนวปฏิบัติในการทำงานเอาไว้เพื่อเป็นสิ่งอ้างอิงหรือป้องกันการกระนทำผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจขึ้นมา

(4)  ตัดสินใจสิ่งที่จะทำ – การจะสร้างแรงจูงใจเพื่อให้พนักงานเข้าใจและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างได้ผลนั้นต้องอาศัยการรับฟังและพูดคุยกันอย่างกว้างขวางและเข้าใจตรงกัน พร้อมกับบอกแผนปฏิบัติการที่จะใช้ในแต่ละห้วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงนั้นไว้ด้วย

(5)  กำหนดนโยบายและแผนงานตอบสนองการเปลี่ยนแปลง – การกำหนดนโยบายและแผนงานเพื่อสนองตอบการเปลี่ยนแปลงนี้นับได้ว่าหนึ่งในสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนั้นได้แก่การกำหนดและมีทิศทางเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างชัดเจน การมีนโยบายและแผนงานเช่นนี้มีข้อดีในแง่ที่จะช่วยลดการใช้ดุลยพินิจหรือความคิดอ่านส่วนตัวที่จะใช้กับการเปลี่ยนแปลงอันเป็นแนวโน้มที่จะพบเห็นได้ตามปกติ โปรดอย่าลืมว่าการที่จะจูงใจให้คนเปลี่ยนแปลงเรื่องหนึ่งใดนั้นจะละเลยไม่จัดทำแผนงานรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับเตรียมแผนการสื่อสารสิ่งที่ต้องการจะดำเนินการตอบสนองความเปลี่ยนแปลงให้พร้อมสรรพ โดยควรเน้นให้พนักงานได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงกันถึงเหตุผลอันเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลง

น่าสนใจมากเลยใช่มั้ยครับ หากใช่แล้วต้องลองนำไปลงมือจัดการการเปลี่ยนแปลงในท่านพบเจอดูครับ

การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตอนที่ 2

เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่ท่านจะต้องรับมือได้ผลมากขึ้น  ผมขอแนะนำกรอบความคิดและเทคนิคในการก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “DARTS”  ซึ่งจำลักษณ์ ขุนพลแก้วได้เคยแนะนำไว้และเราขอนำมาขยายไอเดียให้ท่านผู้อ่านได้ลองนำไปทำดูดังนี้ครับ

D => Describe  
ทำความเข้าใจกับการเปลี่ยนแปลงนั้นในรายละเอียดเพื่อที่จะต้องไปอธิบายความเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งทางบวกและทางลบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นให้พนักงานได้รับทราบอย่างเข้าใจตรงกัน และเห็นภาพอย่างชัดเจน

A => Ask 
สอบถามความคิดเห็นจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องถึงผลกระทบและแนวทางเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบนั้น โดยอาจจะใช้วิธีการระดมสมองเพื่อให้เห็นมุมมองและข้อคิดที่หลากหลาย และทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงนั้น ซึ่งโดยปกติแล้วการจัดการกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้ผลดีควรต้องอาศัยพลังจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อขับเคลื่อนงานและการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปในทางที่ต้องการ

R => Reaction 
ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยนำแนวคิด เทคนิค วิธีการและเครื่องมือทั้งหลายที่จะนำมาใช้เพื่อจัดการการเปลี่ยนแปลงนั้น

T => Total Commitment  
แสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจ และทุ่มเทแรงกายพลังความคิดและสติปัญญาจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ทางที่ดีแล้วหัวหน้างานควรเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีส่วนร่วมจัดการการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วย

S => Support 
หัวหน้างานมีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องคอยให้การสนับสนุนส่งเสริมเพื่อให้ลูกน้องรับมือและก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงที่มากระทบกับงานของเขาให้ได้อย่างราบรื่น การสนับสนุนอาจจะเป็นทรัพยากรเช่น งบประมาณ  เวลา เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการให้รางวัลกับการรับมือความเปลี่ยนแปลงที่ลูกน้องลงมือทำแล้วได้ผล  สิ่งเหล่านี้เองจะเป็นส่วนที่กระตุ้นให้ลูกน้องเกิดแรงจูงใจในการทำงานได้มาก

การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตอนที่ 1

ทุกครั้งทีมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเรื่องใด มักจะมีคนกลุ่มนึ่งที่ก้าวออกมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุผลสารพัดที่จะสรรหามาเอ่ยอ้าง  ในฐานะหัวหน้างานการทำความเข้าใจถึงเหตุผลพื้นฐานที่คนใช้เพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในประการต่าง ๆ ต่อไปนี้ จะช่วยให้ได้เข้าใจและวางแผนเปลี่ยนแปลงให้การเปลี่ยนแปลงเกิดประสิทธิผลในทางบวกได้จริง  

(1)  เข้าใจผิดในความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หรือเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงไม่เคลียร์  - หากพนักงานไม่เข้าใจความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องใดแล้ว ท่านก็ควรคาดหมายไว้เลยว่าจะต้องมีการต่อต้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะจากคนที่มีความเชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเป็นไปด้วยดีแล้ว หรือทำมานานแล้ว ด้วยคนเหล่านั้นจะเข้าใจเอาเองเสียเลยว่าที่ยังทำกันมาอยู่นั้นก็เพราะมันดีอยู่แล้ว แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงทำไม

(2)  กลัวในสิ่งที่ไม่เคยรู้หรือไม่เคยมีประสบการณ์  - เหตุผลหลักเรื่องหนึ่งของการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปทำสิ่งใดใหม่ก็คือคนที่ต้องรับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน แม้หลายองค์กรพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นส่งผลดี แต่องค์กรอื่นก็ไม่ใช่องค์กรที่เขาทำงานอยู่ มีบริบทหลายเรื่องที่ไม่เหมือนกัน และความกลัวที่จะเปลี่ยนนั้นมักจะเป็นความรู้สึกทั้งนั้นล่ะครับ ความรู้สึกที่ว่าอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว จะไปเปลี่ยนให้เสี่ยงหรือเปลืองตัวทำไม
การเปลี่ยนแปลงนั้นควรตามมาด้วยสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายให้ลูกน้องได้ทดลองทำ และสิ่งใหม่ ๆ นั้น ต้องเป็นอะไรที่เขาสามารถทำได้ด้วย  ปกติแล้ว พนักงานมักจะปลาบปลื้มกับเรื่องใดก็ตามที่เขามีโอกาสเข้าร่วมในความพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น  โดยประการนี้ หากท่านต้องการให้ลูกน้องไม่กลัวกับการเปลี่ยนแปลง ท่านก็ควรต้องพัฒนาและฝึกฝนทักษะให้เขามั่นใจว่าเขาทำได้ แม้จะไม่มีประสบการณ์ก็ตาม

(3)  ขาดความสามารถ - สาเหตุนี้ก็เป็นเรื่องหนี่งที่เกี่ยวพันให้เกิดความกลัวที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด หลายต่อหลายครั้งที่คนต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดีนะครับ แต่กลับเป็นความรู้สึกกลัวว่าเขาจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ดี ซึ่งมักเป็นเพราะเขาอาจจะไม่สามารถรับมือกับผลหรือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงนั้น  การขาดความสามารถเช่นนี้ล่ะครับที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยเป็นไปด้วยดี

(4)  คุ้นเคยกับงานหรือสิ่งเดิมที่ทำอยู่ -  หากท่านร้องขอให้คนทำงานในองค์กรทำสิ่งหนึ่งในวิถีทางหรือวิธีการใหม่ ๆ แม้ว่าการทำอะไรใหม่ ๆ นั้นจะสมเหตุสมผลมากกว่าแต่อารมณ์ก็มักจะพาไปชวนให้รู้สึกว่าวิธีการใหม่ ๆ เป็นอะไรที่น่าจะยากเย็น กลายเป็นความกลัวที่จะต้องทำสิ่งนั้น พัวพันกันไปหมด

(5)  ไม่เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีกับเขา  -  คนส่วนมากมักมองว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็มักจะถูกคาดหวังสารพัดจากองค์กรให้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่น เปลี่ยนวิธีการทำงานให้มีประสิทธิผลมากขึ้น ให้หารายได้มากขึ้น ทั้งที่ปัจจุบันก็แบกภาระกันหลังแอ่นแล้ว หรือต้องให้บริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม  หรือให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรลง ซึ่งล้วนแต่มักไม่ใช่สิ่งที่ดีกับเขาเลย (อย่างน้อยก็ในสายตาของเขา)

(6) เปลี่ยนแปลงแค่ตามสมัยนิยม  - หลายองค์กรเปลี่ยนอะไรเพราะสมัยนั้นนิยมใช้เครื่องมือการจัดการ เครื่องมือการบริหารแบบนั้นแบบนี้ คนก็จะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนก็จะคงจะหวือหวาตามสมัยอีกเช่นเคย จึงมักเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ หรือหนักหน่อยก็ต่อต้านมันเสียเลย

(7) ขาดการปรึกษาหารือกัน  -  หากให้พนักงานมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือมาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลียนแปลงแล้ว แรงต่อต้านแม้จะไม่หายไป ก็จะลดซาลงไปมาก และไม่กระทบทางลบกับงานปัจจุบันที่ต้องทำคู่ขนานกับการเปลี่ยนแปลงที่ต้องทำมากนัก ว่ากันว่า พนักงานที่ได้รับการบอกเล่าเก้าสิบในงานหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย มักมีแนวโน้มที่จะเกิดความพึงพอใจกับการทำงานมากกว่าพนักงานที่ไม่รู้ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย ซึ่งแน่นอนครับ พนักงานคนแรกตามตัวอย่าง ก็จะมีความสุขกับงานมากกว่า และทำงานได้ผลมากกว่าตามไปด้วย

(8) สื่อสารการเปลี่ยนแปลงไม่ดี -  เมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องใด สิ่งที่สำคัญอย่างมากที่ลืมไม่ได้คือต้องวางแผนการสื่อสารทั้งในเชิงรุก และเชิงป้องกันปัญหาที่อาจจะติดตามมา โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการต่อต้านนี่ล่ะสำคัญนักแล

(9) กลัวที่จะต้องเดินออกจาก comfort zone  -  หลายคนเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเขาคิดว่าจุดที่เขาทำงานนั้น “อยู่แล้วสบายใจสบายอารมณ์” หรืออยู่แล้วรู้สึกว่ามันมั่นคงแล้ว อาจจะเพราะงานที่ทำเป็นระบบ มีมาตรฐานกำหนดงานอย่างดีแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น การต่อต้านจึงมักมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ

(10) เบื่อหน่ายหรือเต็มอิ่มกับงานแล้ว  -  ปกติแล้วคนที่เหนื่อยหน่ายกับงานก็มักจะไม่ค่อยอยากจะทำอะไรมากนัก ยิ่งจะให้เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ ก็จะยิ่งทับถมให้เหนื่อยหน่ายมากขึ้น เพราะแรงจูงใจกับการทำงานก็ต่ำอยู่แล้ว ยิ่งต่ำลงไปอีก หากคนที่เบื่อหน่ายกับงานเป็นคนที่ “ไม่ใช่” แล้วล่ะก็ องค์กรก็น่าจะปล่อยให้เป็นไป หันไประวังให้ความสำคัญกับเพียงกลุ่มคนที่ “ใช่” จะได้คุณค่ามากกว่าครับ

(11) การเปลี่ยนแปลงกระทบกับสถานภาพของตัวเอง -  แรงต่อต้านอาจจะมีรากมาจากการรับรู้ในความเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบกับตัวเขา ตัวอย่างเช่น คนที่มักไม่ได้รับการสนับสนุนในงานจากหัวหน้ามากนัก ทำงานไปตามที่เคยทำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นมา และไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ดีหรอกครับ แต่มันกลับกระทบต่อสถานะที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะคิดว่าดีแล้วที่หัวหน้าไม่มายุ่ง เขาก็จะทำงานของเขาแบบนี้  แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะยากที่เขาจะรักษาสถานะเดิม ๆ ไว้ได้ การต่อต้านก็เกิดขึ้นตามมา

(12) ไม่มีรางวัลหรือสิ่งตอบแทน -  เมื่อพนักงานไม่เห็นว่าเขาจะได้รับรางวัลหรือสิ่งใดตอบแทน ก็อาจจะไม่ค่อยร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงเรื่องใดง่าย ๆ มันเป็นเรื่องของแรงจูงใจนะครับ แต่พึงระวังไม่ให้ทุกการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีรางวัลประกอบ คนทำงานไม่จำต้องหายใจเข้าออกเป็นเงินเสมอไปหรอกครับ  การมีรางวัลย่อมเป็นน้ำจิ้มที่ดี แต่น้ำจิ้มจะเผ็ดหวานเพียงใดมันสุดแต่ใจคนที่ต้องการนะครับ
เมื่อคาดหมายได้ว่าจะมีโอกาสเกิดต่อต้านการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์กร ในงานหรือหน่วยงานของท่านแล้ว  ก็เป็นภาระหน้าที่ที่ท่านในฐานะหัวหน้างานจะต้องทำการวางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น โดยไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วตามไปแก้ไข เพราะการทำแบบนั้นจะยิ่งกระพือให้พนักงานกังวลกับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นทุกที

การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน (Work Motivation)

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นหน้าที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้างานในอันที่จะทำให้พนักงานทำงานออกมาได้ผลดีนั้นเห็นจะได้แก่การทำให้พนักงานเกิดแรงจูงใจในการทำงาน (Motivation) ซึ่งผมขออธิบายในเชิงองค์ความรู้ไว้สักเล็กน้อยครับ  

ในเชิงวิชาการนั้น แรงจูงใจ (Motivation) เป็นพฤติกรรมที่ถูกชี้นำโดยเป้าหมาย (Goal-directed Behavior) พนักงานขององค์กรที่มีแรงจูงใจจะคิดและลงมือทำในสิ่งที่ทรงคุณค่าต่องานในหน้าที่ของเขา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การมีแรงจูงใจจะเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นจากการที่เราตระหนักถึงความต้องการบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองที่น่าพึงพอใจ (Unsatisfied Needs) จากนั้นพนักงานจะตั้งเป้าหมายว่าเขาควรได้รับอะไรเพื่อสนองตอบให้เกิดความพึงพอจ แล้วกำหนดสิ่งที่จะต้องปฏิบัติ (Course of Action) เพื่อจะให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแรงจูงใจนั้นจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่  แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเมื่อคนเรารู้สึกว่างานที่เขาทำหรือรับผิดชอบนั้นมีความสำคัญ มีความน่าสนใจ ท้าทาย โดยเฉพาะหากงานนั้นเขามีอิสระที่จะคิดและทำ ตัดสินใจจนประสบผลสำเร็จ ได้พิสูจน์ผลงาน มีโอกาสเติบโตในหน้าที่งานแล้ว เขาจะยิ่งมีแรงจูงใจที่แรงกล้ามากขึ้น ทั้งนี้  แรงจูงใจประเภทนี้เกิดขึ้นจากตัวงาน (Work Itself) โดยแท้ มิได้เกิดขึ้นมาจากสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์อื่นใดจากภายนอก

กับอีกประเภทหนึ่งคือแรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motivation) เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเมื่อได้ลงมือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปแล้ว อันมักเกิดจากได้รับรางวัล ค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้น การชื่นชมยกย่อง ผลประโยชน์ตอบแทนตามผลงาน การเลื่อนตำแหน่ง หรือการดำเนินการทางวินัย การลงโทษและการวิพากษ์วิจารณ์กับการกระทำนั้น ๆ ด้วย

ที่จริงแล้วแรงจูงใจภายนอกนี้ มักส่งผลให้พนักงานรู้สึกดีโดยฉับพลันแต่รู้สึกได้ไม่นานก็ลืมไป หากจะทำให้แรงจูงใจประเภทนี้คงทนหรือส่งผลกระทบทางบวกต่อผลงานแล้ว ควรออกแบบให้พนักงานได้รับการปรับเปลี่ยนมุมมองในงานที่เขาทำ  วิธีการปฏิบัติงาน มากกว่าที่จะให้ค่าตอบแทนชั่วครั้งชั่วคราว

การมีแรงจูงใจในการทำงานนั้นนับว่ามีความสำคัญที่จะกระตุ้นให้บุคคลกระทำพฤติกรรมต่าง ๆ ที่พึงประสงค์ออกมาด้วยความเต็มใจและพอใจเช่น หัวหน้างานอาจใช้วิธีการจูงใจลูกน้องให้สิ่งแวดล้อมและพลังงานต่าง ๆ ในองค์กรหรือในหน่วยงานของตนอย่างคุ้มค่าและไม่สิ้นเปลืองโดยอาจอาศัยแนวคิดเรื่องแรงจูงใจด้วยความเป็นธรรมและความคาดหวังมาใช้ โดยลูกน้องรับรู้ว่าส่วนที่ตนเองช่วยประหยัดในการใช้สิ่งแวดล้อมและพลังงานในหน่วยงานของตนนั้นจะได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาเป็นเงินบางส่วนที่จะร่วมแบ่งปันกัน หากทุกคนร่วมมือกันประหยัดการใช้พลังงานให้มากก็จะยิ่งได้รับผลตอบแทนกลับคืนมามากขึ้นด้วย ในทำนองเดียวกันหัวหน้างานอาจจะใช้การจูงใจโดยการกำหนดเป้าหมายให้พนักงานร่วมกันกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะร่วมกันในการนำเอาวัสดุบางอย่างหมุนเวียนกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่โดยที่เป้าหมายที่วางไว้นั้นไม่เป็นเรื่องยากหรือง่ายเกินไป เมื่อพนักงานสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ร่วมกันได้ พนักงานต่างรับรู้ว่าตนเองมีความสามารถในการกระทำพฤติกรรม ก็จะช่วยให้พนักงานเกิดความพากเพียรพยายามกระทำพฤติกรรมเช่นนั้นต่อไป โดยประการที่กล่าวไปนี้เองการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้มีประสิทธิภาพนั้นจึงเป็นเรื่องทั้งศิลปะและศาสตร์ที่ต้องปรับประยุกต์ทฤษฎีให้เหมาะสมกับบุคคลและสถานการณ์ต่าง ๆ ของหน่วยงาน ทั้งนี้  หัวหน้างานแบบ AWESOME  ควรที่จะต้องสามารถส่งเสริมให้ลูกน้องเกิดแรงจูงใจในการทำงานในหลายแนวทางได้แก่

o คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความต้องการส่วนตัว  ค่านิยม ความสามารถ ความสนใจในการเรียนรู้โดยหัวหน้างานต้องมั่นใจว่าแรงจูงใจและค่านิยมของพนักงานเหมาะสมกับงานที่ทำเช่น พนักงานที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่ำควรจัดสรรงานที่ง่าย ไม่ซับซ้อนในขณะที่พนักงานที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงควรจัดสรรงานที่ท้าทายความสามารถ การที่บุคคลได้ปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับแรงจูงใจ ความต้องการและบุคลิกลักษณะของตนเองแล้ว บุคลนั้นย่อมเต็มใจใช้ความสามารถและพยายามในการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่เช่นเดียวกับการให้ผลตอบแทนและรางวัลในการจูงใจให้คนปฏิบัติงานนั้น ควรให้สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลด้วย

o ทฤษฎีด้านการจูงใจของ Federick Herzberg  ระบุไว้ว่าโอกาสในการได้เรียนรู้และได้ทำงานที่ท้าทายความสามารถเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงาน  การทำให้งานน่าสนใจ ดึงดูดใจและสอดคล้องกับแรงจูงใจและค่านิยมของพนักงานเช่น การเพิ่มคุณค่าของงาน (Job Enrichment) เพื่อให้ได้ทำงานที่ท้าทายความสามารถพร้อมกับการให้อิสระในการเลือกวิธีการปฏิบัติงานนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่หัวหน้าจะต้องใส่ใจลงมือทำให้ได้  อย่างไรก็ตามหากปรากฎว่าพนักงานยังขาดทักษะความสามารถและความพร้อมในการทำงานอะไรด้วยตนเองก็ควรต้องพิจารณาเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์ของพนักงานควบคู่กันไป  พร้อมกับตอกย้ำว่าความทุ่มเทในการทำงานของพนักงานจะส่งผลต่อผลงานและระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานที่มีอยู่มีความชัดเจนและเป็นธรรม

o ใช้สิ่งจูงใจ ผลตอบแทนและรางวัลในการปฏิบัติงานเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่องค์กรต้องการ เช่น เงิน ความมั่นคงในอาชีพ การยอมรับนับถือจากบุคคลอื่นเป็นต้น อย่างไรก็ตาม รางวัล ผลตอบแทนจากการทำงานนั้นจะต้องทำให้พนักงานรับรู้ว่ามีความยุติธรรม คุ้มค่ากับสิ่งที่พนักงานทุ่มเทให้กับองค์กร รางวัลหรือสิ่งตอบแทนที่ได้รับจึงจะมีความเป็นธรรม  โดยที่สำคัญนั้นคือการจัดสรรรางวัลให้พนักงานในสิ่งที่เขาต้องการ เราจะพบว่าพนักงานบางคนอาจจะทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง (Promotion) ซึ่งจะทำให้เขาได้รับทั้งศักดิ์ศรีและค่าตอบแทนที่เพิ่มชึ้น ขณะที่พนักงานบางคนอาจจะทุ่มเททำงานหนักเพราะต้องการทำงานที่ท้าทายความสามารถ ต้องการคำชื่นชมจากหัวหน้างาน และการยอมรับจากเพื่อนร่วมงานเท่านั้น สำคัญที่หัวหน้าจะต้องรู้พื้นฐานของการมีแรงจูงใจในการทำงานของลูกน้องแต่ละคนให้ได้

o ส่งเสริมให้ลูกน้องภาคภูมิใจและมีคุณค่าที่เขาได้ร่วมงานกับองค์กร  การทำเช่นนี้จะมีค่าเท่ากับท่านได้สร้างสะพานเชื่อมโยงใจที่แข็งแกร่งให้ลูกน้องกับองค์กร โดยต้องไม่ลืมว่าแรงจูงใจที่อยู่ภายใน (Intrinsic Motivation) นั้น เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกที่ลูกน้องมองว่าเขามีคุณค่ากับงานนั้น และนี่คือเหตุผลที่หัวหน้างานในฐานะหัวหน้างานมีบทบาทอย่างมากกับการสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับลูกน้องนั่นเองครับ

o เปิดโอกาสให้พนักงานมีส่วนร่วมในการคิด วางแผนและตัดสินใจในงานต่าง ๆ ที่พนักงานรับผิดชอบอยู่ พนักงานจะมีความรู้สึกผูกพันกับงานเมื่อเขาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นเจ้าของงานและเห็นว่าตนเองเป็นคนมีคุณค่ามีความสำคัญกับหน่วยงาน ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ต่องานและหน่วยงาน

o ให้การสะท้อนผลงาน (Feedback) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกน้องได้รู้ว่าเขาควรจะต้องพัฒนาตนเองในเรื่องใดบ้าง  มีความคืบหน้า ความสำเร็จหรือติดขัดปัญหาเรื่องใดบ้างที่จะต้องได้รับการแก้ไข จากนั้นจึงมากำหนดกันว่าสิ่งที่จะเป็นเป้าหมายดำเนินการในอนาคตต่อไปคือเรื่องใดบ้าง โปรดอย่าลิมว่าผลการปฏิบัติงานของบุคคลและผลการดำเนินงานขององค์กรในภาพรวมนั้นถูกขับเคลื่อนโดยความรู้สึกผูกพันในการทำงานของพนักงานแต่ละคน  หัวหน้างานจึงต้องหาจังหวะที่เหมาะสมในการสะท้อนผลงาน พร้อมกับพยายามลดปัจจัยทั้งหลายอันเป็นสิ่งที่จะทำให้พนักงานขาดแรงจูงใจในการทำงานลงไปด้วย

o ให้รางวัลกับลูกน้องโดยอิงกับผลงานที่เขาทำออกมา หรืออาจจะอิงกับเงื่อนไขบางอย่างเช่นตามทักษะความชำนาญที่มีมากเป็นพิเศษ แต่ต้องไม่ให้รางวัลเพราะเหตุลูกน้องประจบประแจงเก่งกาจเพราะนั่นจะทำให้คนทำงานที่มีความตั้งใจอย่างสูงเกิดอารมณ์เหวี่ยงวีนขาดแรงจูงใจในการทำงาน  พร้อมกับนั้นก็ต้องไม่ลืมที่จะยกย่องชื่นชมกับความมุมานะพยายามของลูกน้องเสียบ้าง

o จัดเวลาในการทำงานเพื่อให้พนักงานมีโอกาสเลือกเวลาในการทำงานที่ตนเองต้องการ อันจะช่วยตอบสนองความต้องการของพนักงานบางคนที่อาจจะมีภารกิจบางอย่างระหว่างวัน เช่นจัดเวลาการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Work Schedule) หรือเวลาทำงานที่แปรเปลี่ยนได้ (Variable Work Schedule)

o จัดสรรทรัพยากร วัสดุอุปกรณ์ในการทำงาน เครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้แก่พนักงานเพื่อให้สามารถทำงานได้บรรลุเป้าหมาย ตลอดจนพยายามลดปัญหาและอุปสรรคในการทำงานของลูกน้องลงให้ได้มากที่สุดด้วยเพราะหากเขาได้ทำงานท้าทายมากเพียงใด หรือมีโอกาสได้คิดสร้างสรรค์ผลงานอย่างเป็นอิสระก็ตาม แต่หากทำงานไปมีปัญหาติดโน่นขัดนี่โดยที่หัวหน้าไม่ได้หาทางออกให้ แรงจูงใจก็จะหดหายลงไปได้มากนะครับ เรื่องนี้ต้องระวัง

o เปิดใจรับฟังลูกน้องด้วยการเป็นผู้ฟังที่ดี รวมทั้งเสริมสร้างบรรยากาศในการทำงานร่วมกัน และหมั่นดูแลสภาพแวดล้อมทางกายภาพในที่ทำงานไม่ให้เก่าชำรุดทรุดโทรมจนไม่ชวนให้น่าทำงานอีกต่อไป  
และเนื่องจากแทบทุกองค์กรจะมีคนทำงานในหลายช่วงวัย (Generations) ซึ่งมีทัศนคติ ความต้องการ ความถนัด อุปนิสัยใจคอและพฤติกรรมการทำงานต่างกันออกไปมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หัวหน้างานที่มีลูกน้องหลายช่วงวัยภายใต้บังคับบัญชาควรจะได้รู้จักลักษณะความพึงพอใจกับงานของลูกน้องไว้เสียหน่อย

พร้อมกันนั้นเพื่อให้ได้ผลดีก็ควรได้รู้ไว้เสียด้วยว่าควรจะบริหารจัดการลูกน้องหลายช่วงวัยอย่างไรเพื่อให้เขามีแรงจูงใจในการทำงาน

การสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับลูกน้องเป็นภาระอันใหญ่ยิ่งสำหรับหัวหน้างานทุกระดับในการที่จะขับเคลื่อนผลงานตามทิศทางและเป้าหมายที่องค์กรกำหนด หากคนทำงานขาดแรงจูงใจไป แม้เขามะมากฝีมือก็คงป่วยการที่จะคาดถึงผลงานอันเยี่ยมยอดออกมา หัวหน้างานแบบ AWESOME เค้าจะสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับลูกน้อง “เป็น” ในหลายแบบที่ว่านี้ล่ะครับ ยิ่งท่านทำได้หลายเรื่องมากเท่าใดก็การันตีได้ว่าลูกน้องจะมีแรงจูงใจมากขึ้นตามไป

ท้าให้ลองลงมือทำดู ดีเสียกว่าแค่อ่านแล้วผ่านไป