วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การจัดการความขัดแย้ง (Conflict Management) ตอนจบ

เมื่อใดที่เกิดความขัดแย้งในการทำงานขึ้น  หัวหน้างานทั้งหลายควรได้เร่งรีบระงับความขัดแย้งให้ราบคาบมิให้ลุกลามใหญ่โตออกไป โดยใช้ขั้นตอนง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

(1)  ระงับความขัดแย้งเสียตั้งแต่เริ่มส่อเค้า  -  เมื่อใดที่ความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นในทีมงานหรือหน่วยงานของหัวหน้างาน   แม้ที่จริงความขัดแย้งนั้นจะมีประโยชน์อยู่บ้างในแง่ของการผลักดันให้เกิดการแสวงหาแนวทาง/แนวคิดใหม่ ๆ  แต่หากควบคุมได้ไม่ดี  มันจะแผลงฤทธิ์กลายเป็นเสมือนเชื้อร้ายที่แพร่ไปทำลายสายสัมพันธ์ในทีมได้รวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ

วิธีที่จะทำให้ความขัดแย้งระงับลงได้ไม่ยากตั้งแต่เริ่มเห็นจะได้แก่การพูดคุยกันซึ่งหน้า เพื่อมิให้หลงไปทึกทักเอาเองจนเข้าใจอีกฝ่ายผิดไปอย่างที่ไม่น่าจะเป็น โดยไม่มุ่งที่จะเอาแต่ชนะคะคานกัน หรือไม่ตัดสินว่าฝ่ายใดผิดฝ่ายใดถูก หนทอใครแพ้ใครชนะกันแน่  พึงระลึดเสมอว่าหลายสถานการณ์ปัญหาความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้สื่อสารกันอย่างเพียงพอ กลายเป็นจับเอานู่นมาผสมนี่ เข้าใจกันไปคนละทิศทางคนละทางในลักษณะตาบอดคลำช้าง  ซึ่งก็ยากที่จะหาข้อสรุปลงได้

อย่างไรก็ตาม หากความขัดแย้งนั้นเป็นเพราะแต่ละฝ่ายคิดเห็นไม่ตรงกัน มีค่านิยมความเชื่อที่แตกต่างกันไป ก็พึงแก้ไขปัญหาพร้อมกับปรับมุมมองของแต่ละฝ่ายโดยมุ่งไปที่ผลประโยชน์อันทุกฝ่ายควรได้รับโดยยอมรับระหว่างกันได้ ไม่ผลีผลามเร่งเข้าไปจัดการปัญหาโดยไม่ไตร่ตรองดูให้ดี เพราะอาจจะทำให้หัวหน้างานกลายเป็นเครื่องมือของอีกฝ่ายเพื่อไล่บี้อีกฝ่ายหนึ่งจนเสียประโยชน์ ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่อาจแก้ไขปัญหานั้นลงได้เลย

(2)  กำหนดกรอบการพูดคุยและตั้งเป้าหมายงานร่วมกัน   -  ก่อนที่จะเจรจาพูดคุยกับใคร ลองคิดทบทวนสิครับว่าสิ่งที่เราต้องการจะสื่อสาร ผลของการหารือหรือแนวทางจากการตัดสินใจอะไรบ้าง ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่หัวหน้างานจะนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการพูดคุยครั้งนี้ และก็อย่าลืมเช่นกันว่า สิ่งที่หัวหน้างานพูดคุยนั้น ต้องมีหลักฐานที่อ้างอิงให้เชื่อถือได้

เป็นธรรมดาอยู่เองที่เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้วคู่ขัดแย้งต่างมองถึงเป้าหมายที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ย่อมช่วยให้ความขัดแย้งนั้นคลี่คลายลงอย่างได้ผล ตรงกันข้ามกับที่แต่ละฝ่ายไร้เป้าหมายร่วม ก็มักจะทำอะไรตามวิธีการหรือแนวทางของตนเอง ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้ข้อขัดแย้งไม่ได้รับการแก้ไข หรือที่แย่กว่าคือยิ่งทำให้ปัญหาความขัดแย้งบานปลายออกไปอีก

ที่สำคัญนั้น หากจะให้ความขัดแย้งคลี่คลายลงไป ก็ควรที่แต่ละฝ่ายจะยึดถือเป้าหมายที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกันหรือที่เรียกว่า “Superordinate Goals” และในบางกรณีอาจจะต้องพึ่งพิงผู้บริหารลงมาช่วยจัดการประสานงานโดยมุ่งให้ทุกฝ่าย “เปิดใจ” พูดคุยกัน สะท้อนความต้องการของฝ่ายตนเองออกมาอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับควรยอมรับในกรณีใดก็ตามที่อีกฝ่ายหนึ่งทำถูกต้องแล้ว ไม่ดันทุรังเพราะกลัวว่าตนเองจะเสียหน้า อันมีแต่จะทำให้ปัญหาขัดแย้งนั้นไม่ได้รับการแก้ไข และคงยากที่จะหวังให้ใครยอมหัวหน้างานอย่างศิโรราบ

(3) ใช้บรรทัดฐานของทีมเพื่อหาจุดร่วม พร้อมสงวนจุดต่าง  -  เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น  แนวทางหนึ่งที่จะช่วยคลี่คลายได้ก็คือการชวนให้ทุกคนในทีมกลับไปคิดถึงแต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายตกลงกันได้ หรือกรอบความคิดอะไรบางอย่างที่ตกลงกันมาก่อน  เช่นในที่ทำงานที่มีประสบการณ์มา  ก่อนที่จะพิจารณาอะไรลงในรายละเอียด ทีมงานจะต้องทำความตกลงในเรื่องพื้นฐานที่ทุกฝ่ายจะต้องมองและยอมรับเป็นกติกาพื้นฐานเดียวกัน ซึ่งเรียกว่า “หลักการ”  ให้ชัดเจนเสียก่อน  และหากบรรทัดฐานของทีมนั้นเป็นพฤติกรรม ก็จะพูดคุยกันถึงพฤติกรรมแบบที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ไว้เป็น “กรอบ” อันจะต้องว่าตามนั้นอย่างเคร่งครัด

(4)  ไม่เลือกข้าง   -  เมื่อเกิดความขัดแย้งใดใดขึ้นมา  ก็อย่าได้เผลอไปเข้าข้างทางฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอย่างไม่เป็นธรรม แม้ว่าหัวหน้างานจะรักใคร่ขอบพอกันเพียงใดก็ตาม  แต่ขอให้ทำตัวให้เป็นกลางที่จะช่วยไกล่เกลี่ยยุติปัญหาความขัดแย้งของทุกฝ่ายโดยเร็วพลัน แล้วเดินหน้าทำงานอย่างมุ่งมั่นต่อไป
 
(5) หาสถานการณ์และแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์  -  ในสถานการณ์หนึ่งใดไม่ควรที่หัวหน้างานจะเลือกใช้แนวทางใดแนวทางหนึ่งของการแก้ไขปัญหา หากแต่ควรจะต้องไตร่ตรองให้ดีว่าช่วงใดของสถานการณ์ที่ควรจะเลือกใช้แนวทางหนึ่ง และเมื่อกาละและเทศะเปลี่ยนแปลงจึงไตร่ตรองว่าควรเปลี่ยนแนวทางหรือไม่  แต่กระนั้น  การแก้ไขปัญหาจะได้ผลต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้ง ได้พูดอย่างเปิดอกถึงปัญหาที่ตัวพบอยู่ พร้อมกับระบุถึงแนวทาง และผลลัพธ์ที่ทุกฝ่ายต้องการ

(6)  พูดคุยด้วยทีท่าที่สุภาพอ่อนน้อม และรับฟังอย่างตั้งใจ -  ตรองดูว่าเวลาใครมาคุยกับเรา เราก็อยากให้เขาสนทนาประสามนุษย์ผู้มีอารยธรรม  พูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ ไม่กระแนะกระแหน เสียดสีให้อีกฝ่ายคิดเอาเอง (ไม่ได้ว่าใครนะ!)  และไม่มีท่าทีที่คุกคาม ไม่คาดคั้น อันบ่งบอกถึงการมีความสุภาพนอบน้อมและมารยาทอันดี เช่นเดียวกับที่เวลาเราคุยกับใคร ใครบุคคลอื่นนั้นก็ต้องการแบบนี้ไม่แตกต่างกัน

นอกจากการฟังจะบ่งบอกถึงมารยาทที่ดีในการพูดคุยเจรจากันแล้ว การฟังด้วยความตั้งใจยังจะช่วยให้หัวหน้างานได้ข้อมูลหลายอย่างที่ชัดเจนมากขึ้น และช่วยให้มองเห็นบางประเด็นที่อาจจะหลงลืมหรือละเลยกันชัดขึ้น แถมยังอาจช่วยให้คาดการณ์อารมณ์ความรู้สึก อันสะท้อนได้จากน้ำเสียง อากับกิริยาและอื่นๆ ได้ไม่ยากนัก

อย่าได้กังวลหรือกลัวว่าจะขัดแย้งกับใครจนทำตัวเป็นทุกข์ หาความสนุกและท้าทายกับงานไม่ได้  แต่ให้หันมาเปิดสมอง และมองชีวิตการทำงานที่จะช่วยรับมือกับความขัดแย้งได้จากที่แนะนำไป  เรื่องแบบนี้ต้องลองทำครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น