วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ตอนที่ 1

ทุกครั้งทีมีการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเรื่องใด มักจะมีคนกลุ่มนึ่งที่ก้าวออกมาต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุผลสารพัดที่จะสรรหามาเอ่ยอ้าง  ในฐานะหัวหน้างานการทำความเข้าใจถึงเหตุผลพื้นฐานที่คนใช้เพื่อต่อต้านการเปลี่ยนแปลงในประการต่าง ๆ ต่อไปนี้ จะช่วยให้ได้เข้าใจและวางแผนเปลี่ยนแปลงให้การเปลี่ยนแปลงเกิดประสิทธิผลในทางบวกได้จริง  

(1)  เข้าใจผิดในความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หรือเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงไม่เคลียร์  - หากพนักงานไม่เข้าใจความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องใดแล้ว ท่านก็ควรคาดหมายไว้เลยว่าจะต้องมีการต่อต้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะจากคนที่มีความเชื่อว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเป็นไปด้วยดีแล้ว หรือทำมานานแล้ว ด้วยคนเหล่านั้นจะเข้าใจเอาเองเสียเลยว่าที่ยังทำกันมาอยู่นั้นก็เพราะมันดีอยู่แล้ว แล้วจะไปเปลี่ยนแปลงทำไม

(2)  กลัวในสิ่งที่ไม่เคยรู้หรือไม่เคยมีประสบการณ์  - เหตุผลหลักเรื่องหนึ่งของการไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปทำสิ่งใดใหม่ก็คือคนที่ต้องรับผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นกลับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่มีใครรู้มาก่อน แม้หลายองค์กรพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้นส่งผลดี แต่องค์กรอื่นก็ไม่ใช่องค์กรที่เขาทำงานอยู่ มีบริบทหลายเรื่องที่ไม่เหมือนกัน และความกลัวที่จะเปลี่ยนนั้นมักจะเป็นความรู้สึกทั้งนั้นล่ะครับ ความรู้สึกที่ว่าอยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว จะไปเปลี่ยนให้เสี่ยงหรือเปลืองตัวทำไม
การเปลี่ยนแปลงนั้นควรตามมาด้วยสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายให้ลูกน้องได้ทดลองทำ และสิ่งใหม่ ๆ นั้น ต้องเป็นอะไรที่เขาสามารถทำได้ด้วย  ปกติแล้ว พนักงานมักจะปลาบปลื้มกับเรื่องใดก็ตามที่เขามีโอกาสเข้าร่วมในความพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น  โดยประการนี้ หากท่านต้องการให้ลูกน้องไม่กลัวกับการเปลี่ยนแปลง ท่านก็ควรต้องพัฒนาและฝึกฝนทักษะให้เขามั่นใจว่าเขาทำได้ แม้จะไม่มีประสบการณ์ก็ตาม

(3)  ขาดความสามารถ - สาเหตุนี้ก็เป็นเรื่องหนี่งที่เกี่ยวพันให้เกิดความกลัวที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งใด หลายต่อหลายครั้งที่คนต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ดีนะครับ แต่กลับเป็นความรู้สึกกลัวว่าเขาจะทำสิ่งนั้นไม่ได้ดี ซึ่งมักเป็นเพราะเขาอาจจะไม่สามารถรับมือกับผลหรือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงนั้น  การขาดความสามารถเช่นนี้ล่ะครับที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยเป็นไปด้วยดี

(4)  คุ้นเคยกับงานหรือสิ่งเดิมที่ทำอยู่ -  หากท่านร้องขอให้คนทำงานในองค์กรทำสิ่งหนึ่งในวิถีทางหรือวิธีการใหม่ ๆ แม้ว่าการทำอะไรใหม่ ๆ นั้นจะสมเหตุสมผลมากกว่าแต่อารมณ์ก็มักจะพาไปชวนให้รู้สึกว่าวิธีการใหม่ ๆ เป็นอะไรที่น่าจะยากเย็น กลายเป็นความกลัวที่จะต้องทำสิ่งนั้น พัวพันกันไปหมด

(5)  ไม่เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีกับเขา  -  คนส่วนมากมักมองว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็มักจะถูกคาดหวังสารพัดจากองค์กรให้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เช่น เปลี่ยนวิธีการทำงานให้มีประสิทธิผลมากขึ้น ให้หารายได้มากขึ้น ทั้งที่ปัจจุบันก็แบกภาระกันหลังแอ่นแล้ว หรือต้องให้บริการลูกค้าอย่างยอดเยี่ยม  หรือให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรลง ซึ่งล้วนแต่มักไม่ใช่สิ่งที่ดีกับเขาเลย (อย่างน้อยก็ในสายตาของเขา)

(6) เปลี่ยนแปลงแค่ตามสมัยนิยม  - หลายองค์กรเปลี่ยนอะไรเพราะสมัยนั้นนิยมใช้เครื่องมือการจัดการ เครื่องมือการบริหารแบบนั้นแบบนี้ คนก็จะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนก็จะคงจะหวือหวาตามสมัยอีกเช่นเคย จึงมักเลือกที่จะอยู่เฉย ๆ หรือหนักหน่อยก็ต่อต้านมันเสียเลย

(7) ขาดการปรึกษาหารือกัน  -  หากให้พนักงานมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นหรือมาเป็นส่วนหนึ่งของการเปลียนแปลงแล้ว แรงต่อต้านแม้จะไม่หายไป ก็จะลดซาลงไปมาก และไม่กระทบทางลบกับงานปัจจุบันที่ต้องทำคู่ขนานกับการเปลี่ยนแปลงที่ต้องทำมากนัก ว่ากันว่า พนักงานที่ได้รับการบอกเล่าเก้าสิบในงานหรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย มักมีแนวโน้มที่จะเกิดความพึงพอใจกับการทำงานมากกว่าพนักงานที่ไม่รู้ไม่มีส่วนร่วมอะไรเลย ซึ่งแน่นอนครับ พนักงานคนแรกตามตัวอย่าง ก็จะมีความสุขกับงานมากกว่า และทำงานได้ผลมากกว่าตามไปด้วย

(8) สื่อสารการเปลี่ยนแปลงไม่ดี -  เมื่อจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องใด สิ่งที่สำคัญอย่างมากที่ลืมไม่ได้คือต้องวางแผนการสื่อสารทั้งในเชิงรุก และเชิงป้องกันปัญหาที่อาจจะติดตามมา โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการต่อต้านนี่ล่ะสำคัญนักแล

(9) กลัวที่จะต้องเดินออกจาก comfort zone  -  หลายคนเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเขาคิดว่าจุดที่เขาทำงานนั้น “อยู่แล้วสบายใจสบายอารมณ์” หรืออยู่แล้วรู้สึกว่ามันมั่นคงแล้ว อาจจะเพราะงานที่ทำเป็นระบบ มีมาตรฐานกำหนดงานอย่างดีแล้ว เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น การต่อต้านจึงมักมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ

(10) เบื่อหน่ายหรือเต็มอิ่มกับงานแล้ว  -  ปกติแล้วคนที่เหนื่อยหน่ายกับงานก็มักจะไม่ค่อยอยากจะทำอะไรมากนัก ยิ่งจะให้เปลี่ยนโน่นเปลี่ยนนี่ ก็จะยิ่งทับถมให้เหนื่อยหน่ายมากขึ้น เพราะแรงจูงใจกับการทำงานก็ต่ำอยู่แล้ว ยิ่งต่ำลงไปอีก หากคนที่เบื่อหน่ายกับงานเป็นคนที่ “ไม่ใช่” แล้วล่ะก็ องค์กรก็น่าจะปล่อยให้เป็นไป หันไประวังให้ความสำคัญกับเพียงกลุ่มคนที่ “ใช่” จะได้คุณค่ามากกว่าครับ

(11) การเปลี่ยนแปลงกระทบกับสถานภาพของตัวเอง -  แรงต่อต้านอาจจะมีรากมาจากการรับรู้ในความเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบกับตัวเขา ตัวอย่างเช่น คนที่มักไม่ได้รับการสนับสนุนในงานจากหัวหน้ามากนัก ทำงานไปตามที่เคยทำ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดขึ้นมา และไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ดีหรอกครับ แต่มันกลับกระทบต่อสถานะที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะคิดว่าดีแล้วที่หัวหน้าไม่มายุ่ง เขาก็จะทำงานของเขาแบบนี้  แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะยากที่เขาจะรักษาสถานะเดิม ๆ ไว้ได้ การต่อต้านก็เกิดขึ้นตามมา

(12) ไม่มีรางวัลหรือสิ่งตอบแทน -  เมื่อพนักงานไม่เห็นว่าเขาจะได้รับรางวัลหรือสิ่งใดตอบแทน ก็อาจจะไม่ค่อยร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงเรื่องใดง่าย ๆ มันเป็นเรื่องของแรงจูงใจนะครับ แต่พึงระวังไม่ให้ทุกการเปลี่ยนแปลงจะต้องมีรางวัลประกอบ คนทำงานไม่จำต้องหายใจเข้าออกเป็นเงินเสมอไปหรอกครับ  การมีรางวัลย่อมเป็นน้ำจิ้มที่ดี แต่น้ำจิ้มจะเผ็ดหวานเพียงใดมันสุดแต่ใจคนที่ต้องการนะครับ
เมื่อคาดหมายได้ว่าจะมีโอกาสเกิดต่อต้านการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์กร ในงานหรือหน่วยงานของท่านแล้ว  ก็เป็นภาระหน้าที่ที่ท่านในฐานะหัวหน้างานจะต้องทำการวางแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น โดยไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วตามไปแก้ไข เพราะการทำแบบนั้นจะยิ่งกระพือให้พนักงานกังวลกับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นทุกที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น