วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การตั้งเป้าหมาย(Goal Setting)

งานทุกอย่างนั้นล้วนต้องมีวัตถุประสงค์ว่าทำงานไปเพื่ออะไร และมีเป้าหมายคือสิ่งที่ต้องการจากการทำงานนั้น บ่อยครั้งที่ทีมของเรามีแผน รู้วีที่จะดำเนินการให้เกิดผลงานอะไรสักอย่างนั้นต้องทำอย่างไร   แต่พอหันไปดูเป้าหมายแล้วกลับพบว่าไม่มีแผนงานอะไรที่ชัดเจน แผนที่คิดไว้นั้นคิดแบบ “นั่งเทียน” เขียนกันลอย ๆ หรือสักแต่ว่าจะเขียนขึ้นมาโดยที่ก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าผลลัพธ์ (Results) ที่ต้องการปลายทางนั้นคืออะไรแน่

ยิ่งกับผลงานของหน่วยงานแล้ว เป้าหมายยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะนับได้ว่ามันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะกระตุ้นให้เราลงมือทำงานทั้งปวงให้ลุล่วงลงไป และแท้จริงแล้ว จะให้ทีมทำงานไปในทางใด ซ้ายขวาหรือเดินไปหน้าหลัง สมาชิกทั้งหลายจะต้องรู้ให้ชัดถึงเป้าหมายปลายทางที่ต้องไปเดินไปให้ถึงเสียก่อน

Kramer และ Scott Simpson  ในหนังสือเรื่อง “How Firm Succeed : A Field Guide to Design Management” บอกไว้ว่า ภาวะผู้นำที่ดีนั้นต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และสามารถแจกแจงแบ่งเป้าหมายนั้นให้เป็นเป้าหมายย่อย ๆ  พร้อมกับต้องหาวิธีปรับความคิดของสมาชิกแต่ละคนที่อาจจะรับผิดชอบเป้าหมายงานที่แตกต่างกันให้เป็นจุดเดียวกันในเป้าหมายใหญ่ให้ได้

แต่ก่อนสิ่งใด  ท่านควรตระหนักไว้เสมอว่าทีมที่จะเดินหน้าได้ดีนั้น สมาชิกในทีมควรต้องรู้ว่าหัวหน้างานอยากได้อะไร หรือคาดหวังสิ่งใดเป็นผลลัพธ์จากบทบาทหน้าที่งานของเรา  หากไม่รู้แบบเคลียร์ ๆ ลูกน้อง/ลูกทีมก็อาจจะสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังอาจจะลำดับความสำคัญของงานไม่ได้ กว่าจะเกิดผลงานก็ใช้เวลามากกว่าที่ควร ซึ่งนับเป็นความสูญเปล่าที่ต้องขจัดออกไปให้หมดสิ้น
ลูกน้อง/ลูกทีมควรต้องเริ่มต้นรู้ว่าทีมต้องการให้เขามีความรู้ มีทักษะความเชี่ยวชาญในเนื้องาน กระบวนการ/วิธีการทำงาน หรือเรื่องอื่นๆ เพื่อขับเคลื่อนงาน (เช่นทักษะการประสานงาน การเจรจาต่อรอง การสื่อสารเป็นต้น) รวมทั้งต้องการให้มีทัศนคติและพฤติกรรมการทำงานร่วมกันคนอื่นทั้งในและนอกหน่วยงานอย่างไรบ้าง (เช่น เน้นสร้างความสัมพันธ์ ไว้วางใจได้ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ทุ่มเทกับงาน ไม่เลือกงานทำเป็นต้น) หากรู้ได้แน่ชัด งานก็ขับเคลื่อนได้ไม่ยาก

ในบทความนี้  ผมมีคำแนะนำเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายงานที่ท่านควรได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะบริหารลูกน้องและบริหารทีมงานดังนี้ครับ

(1)  เป้าหมายต้องเป็นจริงได้   -   Richard Templar บอกเอาไว้ว่า เป้าหมายที่ไม่แน่วแน่ย่อมยากที่จะสำเร็จลงได้ โดยเป้าหมายที่แน่วแน่นั้น ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงที่ทำให้บรรลุได้ ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการวาดวิมานในอากาศที่ไม่มีทางจะไปถึงได้เลย แต่กระนั้น ก็อย่าได้ตั้งเป้าหมายแบบกล้วย ๆ ตั้งไว้แบบทำได้แน่แบบไม่ต้องออกแรงอะไรให้มาก หรืออย่าตั้งเป้าหมายให้ยากเสียจนมนุษย์ทั่วไปไม่มีทางทำสำเร็จได้ แบบนี้เรียกว่าตั้งเป้าหมายไม่ Realistic นั่นเองครับ ทำไปก็เสียแรงเปล่า แถมยังอาจจะทำให้คนทำงานเสียกำลังใจอีกด้วย

เป้าหมายที่จะทำได้จริงนั้น ว่าไปแล้วก็ควรจะตั้งให้ท้าทายอยู่ในตัว เช่นที่ SAMSUNG มักจะตั้งเป้าหมายงานให้พนักงานไว้สูงถึง 130%  ซึ่งเราท่านอาจบ่นว่า “สูงมาก” แต่ก็อย่าลืมด้วยว่าหากพนักงานทำได้ตามเป้านั้นจริงสัก 110% ก็ถือว่าได้ผลงาน “เยี่ยมมาก” แล้วจริงมั้ยครับ  เรื่องมีอยู่เพียงว่าหากคิดจะตั้งเป้าหมายไว้ให้สูง ทีมงานต้องเก่งและเฉียบคมอย่างมาก  และเป้าที่ควรตั้งจึงไม่ควรจะถึงกับกดดันสุดขีด  หรือเครียดกันสุดฤทธิ์แล้วยังคิดไม่ออกว่าจะทำให้บรรลุได้ตามนั้นได้อย่างไรดี

ในทางตรงกันข้าม หากตั้งไว้เหมาะสมแล้ว แต่คนทำงานมีทักษะความสามารถพื้น ๆ ก็เข้าข่าย “เป้าหมายดีแต่ทีมงานไม่เก่ง”  ก็ไม่มีประโยชน์เท่าใด ทำนองเดียวกันเป้าหมายที่ตั้งไว้แบบ “ทำได้ชิล ชิล”  แต่สมาชิกทีมฝีมือเฉียบขาด ทีมก็จะทำงานกันอย่างซังกะตายกับเป้าหมายที่น่าเบื่อนั้น ซึ่งเท่ากับใช้ฝีมือและศักยภาพของทีมงานอย่างน้อยนิด เสียดายของดีครับ

นอกจากนี้ เป้าหมายที่ดีจะไม่บอกแค่ว่า “ในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะเป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจนี้” เพราะวันหนึ่งนั้นไม่เจาะจงเรื่องเวลาแต่อย่างใด ซึ่งไม่ได้เป็นกรอบเวลาที่จะทำให้สมาชิกทุนคนเข้าใจตรงกันอย่างชัดเจนเอาเสียเลย

(4)  สร้างภาพความสำเร็จตามเป้าหมาย    -   เพื่อสร้างกำลังใจขับเคลื่อนงานไปตามกระบวนการ/วิธีการที่ set ไว้ พร้อมเสริมแรงจูงให้คนทำงานอย่างทุ่มเทตลอดเวลา ในฐานะหัวหน้าทีม ท่านควรจะต้องสร้างภาพความสำเร็จตามเป้าหมายให้ลูกทีมทั้งหลายได้รับรู้บ้าง  ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ลูกทีมรู้สึกดีขึ้นเท่านั้น หากแต่จะยังช่วยให้สมาชิกทีมมองเห็นวิธีการหรือเทคนิคใหม่ ๆ ที่จะทำให้ได้บรรลุผลแตกต่างไปจากของเดิมที่คิดไว้ก็ได้

(5)  เขียนเป้าหมายให้เห็นสะดุดตา  - ที่จริงนั้นการกำหนดเป้าหมายให้แน่ชัดมักจะช่วยให้การทำงานระหว่างท่านกับลูกน้องมีทิศทางมากขึ้น แถมยังกระตุ้นให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องทุ่มเทพลังงานเพื่อทำงานให้บรรลุผลตามที่ต้องการ งานก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอนครับ

หากกำหนดเป้าหมายขึ้นมาแล้ว ไม่มีลูกน้อง/ลูกทีมคนใดรู้ว่ามันมีอะไรบ้างก็ไม่มีประโยชน์อะไร และที่จริงหัวหน้าก็มักจะไม่มีเวลามาสื่อสารและตอกย้ำเป้าหมายให้ลูกทีมรู้ได้ตลอดเวลา  น่าจะลองเขียนเป้าหมายทั้งหลายลงบนกระดาษ หรือติดไว้ที่บอร์ดเพื่อประกาศให้ทุกคนในทีมได้รู้  ผลโดยตรงที่สำคัญนั้นก็คือจะช่วยเตือนให้สมาชิกทีมไม่ออกนอกลู่นอกทางไปทำอะไรที่ไม่ได้ตอบโจทย์ของงาน

(6)  แตกเป้าหมายใหญ่ให้เล็กลง   -    ไม่มีกติกาใดกำหนดไว้ให้ทำแต่เรื่องใหญ่ ๆ ให้สำเร็จ  และความสำเร็จใหญ่ ๆ นั้นแม้จะ impact แรง แต่ก็ยากจะทำให้บรรลุ หรือต้องใช้แรงกายแรงใจกันอย่างมหาศาล  เป้าหมายใหญ่ ๆ จึงมักจะทำให้คนเสียกำลังใจระหว่างทางได้มาก  เมื่อท่านเห็นว่างานใดเป็นงานยักษ์ ซึ่งเป้าหมายก็มัดจะยากบรรลุตามไปด้วย ก็ควรแตกเป้าหมายนั้นให้เล็กย่อยลง และเชื่อมโยงเป้าหมายย่อย ๆ นั้นประกอบเป็นเป้าหมายใหญ่โดยไม่ขาดส่วนประกอบใดไป จากนั้นก็ผลักดันเป้าหมายย่อย ๆ นั้นให้สัมฤทธิผลไปทีละเรื่องตามลำดับความสำคัญ ท่านจะพบว่า ลูกน้อง/ลูกทีมมีกำลังใจดีกว่าทำเป้าหมายใหญ่มากโข

(7)   พยายามไม่ลดละ   -    ไม่มีงานใดที่ทำโดยไม่ได้ใช้ความพยายามหรอกนะครับ  พจนานุกรมของคนที่ต้องการความสำเร็จจึงมีคำตัวโตโตที่ท่องให้ติดปากและจำให้ขึ้นใจว่า “พยายาม พยายาม และพยายาม” เท่านั้น  และก็มักจะพบว่า การทำงานให้บรรลุเป้าหมายบางเรื่องนั้นยากไม่หยอก หากเผลอพลาดไปเห็นทีต้องได้รื้อฟื้นกันใหม่ จึงต้องพยายามมิเพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเท่านั้น  แต่ต้องพยายามแสวงหาเทคนิควิธีการใหม่มาลองใช้เพื่อให้ได้ผลงานมากกว่าเดิม

(8)  ยืดหยุ่นตามควร   -  ควรยืดหยุ่นกับวิธีการที่ทำ หรือยืดหยุ่นกับการแสวงหาคำแนะนำใหม่ ๆ จากคนอื่นรอบข้างบ้าง ไม่ยึดติดแต่เพียงคนเดิม ๆ  เทคนิคเก่า ๆ กับความรู้ที่เคยทำสำเร็จที่ใช้นานมนานและอาจจะล้าสมัยไปเสียแล้ว  รวมทั้งควรเตรียมพร้อมไว้เผื่อจะปรับเป้าหมายให้ตรงกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน และก็ต้องไม่ตึงเสียจนทำให้ทีมเสียกำลังใจ จนอาจจะส่งผลให้งานของทีมสะดุดลงได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น