เป็นที่ยอมรับกันว่าการทำงานอย่างชาญฉลาดและรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเอง หรือมีวุฒิภาวะทางอารมณ์นั้น เป็นส่วนสำคัญสองอย่างประกอบกันที่จะทำให้หัวหน้างานกลายเป็นคนเก่งที่ลูกน้องยกย่องนับถือ
ว่ากันตามจริงแล้ว การรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้นับว่าเป็นพื้นฐานของการทำงานร่วมกันของคนเราเลยนะครับ ด้วยเพราะการควบคุมอารมณ์ได้จะส่งผลต่อไปให้เราควบคุมการกระทำหรือพฤติกรรมที่จะแสดงออกตามมาได้ด้วย
จากการทดลองของนักจิตวิทยาหลายท่านพบว่าคนทำงานที่ทำงานได้ดีเยี่ยมยอดนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี คงมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ทำงานได้ดีโดยอารมณ์เหวี่ยงวีนในแต่ละวัน จึงสรุปได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนว่ายากยิ่งนักที่เราจะทำงานให้ได้ผลดีโดยที่ไม่รู้จักควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง
Talent Smart องค์กรที่ปรึกษาในการพัฒนาบุคลากรในต่างประเทศได้ทำการทดสอบเปรียบเทียบความฉลากทางอารมณ์กับทักษะอื่น ๆ อีก 33 รายการพบว่าความฉลาดทางอารมณ์นั้นทำนายความสามารถในการทำงานได้อย่างเที่ยงตรงที่สุดโดยมีผลต่อความสำเร็จในการทำงานทุกประเภทถึง 58% ซึ่งสูงมากกว่าทักษะอื่น ๆ มากมายนัก
โดยพื้นฐานทางจิตวิทยาแล้ว EQ (Emotional Quotient หรือเชาว์ปัญญาทางอารมณ์) เป็นเรื่องของความสามารถในการจัดการและควบคุมอารมณ์ของตนเอง พร้อมกับเข้าใจด้วยว่าบุคคลอื่นมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร และจัดการอารมณ์ของทั้งตนเองและบุคคลอื่นให้เป็นไปในทางที่ส่งเสริมสัมพันธภาพอันดีระหว่างกัน และทำให้งานสำเร็จผล คนมีความสุข จึงกล่าวได้ว่าคนที่มี EQ จะเข้าใจทั้งตนเอง (Inner World) และเข้าใจโลกภายนอก (Outer World) รอบตัว อย่างไรก็ตาม คนที่มี EQ ดีไม่ได้หมายถึงจะต้องเป็นคนที่มีสติปัญญาดี (IQ สูง) เสมอไปหรอกนะ พบว่าคนที่แม้จะไม่เข้าข่ายคนเก่ง ไม่ได้เป็น Talent ที่องค์กรจะต้องประคบประหงมหลายคน สามารถจัดการอารมณ์ตนเองให้ตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างได้เป็นอย่างดีก็เติบโตก้าวหน้าในอาชีพได้เป็นลำดับ อย่างน้อยก็มีคนรักมากกว่าคนชัง ตรงกันข้ามกับคนเก่งแต่อารมณ์ไม่คงเส้นคงวา หากไม่เกี่ยวกับงานที่ต้องช่วยกันดันแล้ว มักหาคนคบได้ยาก
ในเชิงวิชาการนั้น การจัดการกับอารมณ์ของตัวเองเป็นเรื่องที่ Daniel Goleman ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเรียกเป็นศัพท์ว่า “Emotional Intelligence” หรือ “ปัญญาทางอารมณ์” คำนี้หมายถึงความสามารถในการจูงใจตนเองเพื่อการยืนหยัดต่อสู้กับความคับข้องใจ การควบคุมแรงกระตุ้นจากภายในและสิ่งยั่วยวนจากภายนอก รวมไปถึงการใช้ความคิดเพื่อจัดการกับอารมณ์และปรับลดความทุกข์ใจ ตลอดจนความสามารถในการแสดงออกเพื่อตอบสนองสิ่งเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงจะรู้จักควบคุมตนเองและแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่แสดงอารมณ์สุดโต่งเกินไป เหงาหงอยจนดูเหยาะแหยะไม่ได้ความ หรืออ่อนไหวเสียจนดูเหลวไหลไร้สาระไป เช่นนี้ จะถือได้ว่าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยเหมาะสมนัก โดยนัยนี้เอง ความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่จำเป็นอย่างมากสำหรับการอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ส่วนคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำมักจะมีภาวะตรงข้ามเช่น ขี้โมโห อารมณ์ฉุนเฉียว คือ เป็นคนไม่น่ารัก ไม่น่าคบหา พฤติกรรมแสดงออกมาแล้วแข็งกร้าวใครกระทบก็แตก
ในบทความเรื่อง “Leadership That Gets Results” ตีพิมพ์ใน Harvard Business Review ฉบับเดือนมีนาคม/เมษายน 2000 ของ Daniel Goleman ระบุเอาไว้ว่าคนที่มี EQ ที่ดีนั้นจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะ 5 ประการต่อไปนี้
(1) รู้จักอารมณ์ตนเอง (Self Awareness / Knowing One’s Emotion) - โดยรู้ว่าตนเองคือใคร มีหน้าที่รับผิดชอบ มีเป้าหมายชีวิตมีศักยภาพและทักษะความสามารถในการสร้างผลงาน มีจุดเด่นจุดด้อยที่ใด เป็นต้น
(2) จัดการอารมณ์ตนเองได้ (Managing Emotion) - โดยรู้จักการระบายอารมณ์ในทางที่ถูกที่ควร เมื่อมีปัญหาคับข้องใจ หรือเครียดในจิตใจเป็นพิเศษ ก็รู้จักเก็บกดอารมณ์เอาในระดับที่เหมาะสมไม่เป็นโทษต่อตนเอง แต่ก็ระวังอย่าเผลอไประบายอารมณ์กับใครแม้แต่กับเพื่อนร่วมงานที่โต๊ะติดกัน เพราะว่าไปแล้วเพื่อนร่วมงานที่แม้จะสนทสนมกันก็ไม่ใช่สุสานอารมณ์ของหัวหน้างานแม้แต่น้อย และโปรดอย่าลืมว่าอารมณ์เสีย (Bad Emotion) นั้นเหมือนเชื้อร้ายที่แพร่จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะมันติดต่อกันด้วย “ความรู้สึกมากกว่าการคิด” และขอให้ตระหนักไว้ว่า อารมณ์ที่ดี (Good Emotion) ย่อมช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
(3) เข้าใจอารมณ์บุคคลอื่น (Recognizing Emotion in Others) - นอกเหนือจากการรู้อารมณ์ตนเองเช่นที่กล่าวมาแล้ว คนที่มี EQ ดีจะรู้จักคาดการณ์อารมณ์ของบุคคลอื่นที่แสดงออกมาได้ ไม่ว่าจะด้วยสิ่งที่พูด พฤติกรรมหรือภาษากาย (Body Language) รวมทั้งรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และในการทำงานกับ “มนุษย์”ที่อาจจะไม่แสดงอารมณ์หนึ่งใดออกมาโดยตรง จึงควรที่เราจะรู้จักการอ่านภาษากายที่บุคคลอื่นแสดงออกมาให้ออก เพื่อที่จะได้รับมือให้เหมาะกับสถานการณ์ กระนั้น เมื่อรู้อารมณ์และรู้ใจใครแล้ว ก็อย่าได้เผลอไปคาดหวังว่าบุคคลอื่นนั้นจะปรับอารมณ์ให้เป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น ไม่เช่นนั้นจะผิดหวังอย่างง่ายดาย สู้มุ่งเปลี่ยน (อารมณ์) ตนเองจะดีกว่าและง่ายกว่ามาก
(4) จูงใจตนเอง (Motivate Oneself) - เพื่อให้ตนเองคิดอ่านแต่สิ่งที่ดี มองโลกและคนรอบข้างในทางบวก อันจะช่วยให้เรามีสภาวะอารมณ์ที่ดีเกิดขึ้นตามมา แล้วผลงานที่ปรารถนาก็จะตามมาแน่นอน
(5) สานความสัมพันธ์กับคนรายรอบ (Handling Relationship) - มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตทางสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และหากย่อยลงไปที่ระดับองค์กรแล้ว การทำงานร่วมกันนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันเป็นรากฐาน และคนที่มาจากต่างพื้นพอ ทั้งความรู้ การศึกษา การหล่อหลอมกล่อมเกลาและอุปนิสัยใจคอ จึงต้องรู้จักปรับตัวให้อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นให้ได้ โดยเฉพาะการใช้อารมณ์ที่ต้องกำกับด้วยเหตุผลเสมอ หากจรรโลงความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ ความขัดแย้งก็จะไม่เกิด และปัญหาเรื่องใดก็ไม่ยากที่จะคลี่คลายให้เรียบร้อย
ในส่วนของคนทำงานนั้น สามารถเสริมสร้าง EQ ที่ดีให้เกิดขึ้นได้โดยวิธีการง่าย ๆ ตามที่นักจิตวิทยาหลายท่านได้แนะนำไว้ดังนี้ครับ
(1) ไม่มีความทะเยอทะยานมากเกินไป แต่ควรให้รู้จักแสวงหาสิ่งที่ต้องการที่เหมาะสมกับความสามารถและศักยภาพที่มีอยู่ หรือที่นักจิตวิทยาเค้าเรียกว่าเป็นการทำให้ชีวิตจริงหรือตัวตนที่เป็น (Real Self) สอดคล้องกับตัวตนที่อยากเป็น (Ideal Self)
(2) มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) ยอมรับตนเอง ไม่หวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ขจองบุคคลอื่นซึ่งอาจจะกระทบจิตใจได้
(3) จัดระเบียบชีวิตด้วยการแบ่งเวลาอย่างลงตัว สำหรับทุกกิจกรรมของชีวิต ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต
(4) คิดทางบวก (Positive Thinking) พร้อมกับพยายามมองโลกในแง่ดียอมรับสภาพความเป็นจริงเปลี่ยนปัญหาเป็นความสำเร็จ มองปัญหาหรือวิกฤตเป็นโอกาสที่จะสามารถแก้ไขก้าวข้ามไปได้ ลดความเศร้าหมองของจิตใจ
(5) พร้อมเผชิญหน้าและมีความสามารถในการเอาชนะความกลัว การเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ท้าทายใหม่ ๆ ในงานเช่น งานโครงการใหม่ ๆ ที่ได้รับมอบหมายทั้งที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน เป็นต้น พร้อมกับไม่เป็นคนเก็บกดและมีความรู้สึกผิด (Guilty) กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากจนเกินไปกระทั่งเกิดความรู้สึกไม่สบายใจ และไปแสดงอารมณ์ก้าวร้าวต่อคนรอบข้าง
(6) พยายามเพิ่มพลังความคิด ด้วยการขยันหาความรู้หาแนวคิดหรือความคิดใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ (Creativity) เพื่อมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตอยู่เสมอ
(7) พอใจในตนเอง (Self- Satisfied) ด้วยการพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ โดยเน้นการมองถึงสิ่งที่ดี
(8) สร้างการยอมรับและเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจจากผู้อื่น พร้อมกับรู้จักที่จะไว้วางใจผู้อื่น รู้จักที่จะอดทนต่อการเรียนรู้อดทนต่อความโกรธความเสียใจความเจ็บใจทั้งหลายที่จะวนเวียนมากระทบจิตใจวันละหลายรอบ
แนะนำให้นำเอาความที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้าไปสอนต่อกับลูกน้องของท่าน จะช่วยเสริมสร้าง EQ ที่ดีให้กับลูกน้องอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยนะครับ
คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) หรือจัดการกับอารมณ์ (Emotional Control) ได้ดีแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนที่มี EQ ต่ำหรือจัดการกับอารมณ์ได้ไม่ดี และภาวะเช่นนี้เป็นกับคนในทุกสาขาอาชีพ นักจิตวิทยาพบว่าส่วนใหญ่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรืออาชีพการงานนั้นจะเป็นคนที่ EQ สูงหรือจัดการกับอารมณ์ได้ยอดเยี่ยม แม้จะมีคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จได้โดยเป็นพวกไร้ EQ แต่ก็มักจะความสำเร็จแบบไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่ากับความสำเร็จของคนที่มี EQ ในระดับสูง จัดการกับอารมณ์หรือพยายามคง EQ ที่ดี จะเป็นเรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น