วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การมีความคิดทางบวกกับการทำงาน


ความคิดนั้นเป็นกระบวนการทำงานของสมองที่จะพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วยการผสมผสาน ดัดแปลงความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่ในสมองตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัวของมนุษย์ที่ปรากฎในชีวิตประจำวัน   และนับได้ว่าเป็นสิ่งที่แยะแยะมนุษย์ออกจากสิ่งที่มีชีวิตจำพวกสัตว์ และช่วยให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวก  จัดการกับสภาพแวดล้อมรายรอบตัว รวมทั้งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างซับซ้อนและหลากหลาย แต่กระนั้นก็พบว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ใส่ใจให้คุณค่าของความคิดของตนเอง ไม่ทราบว่าจะคิดอ่านในทางที่เหมาะสมอย่างไร ไม่ทราบว่าจะปรับปรุงแก้ไขความคิดที่เป็นต้นทางของการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมการกระทำออกมาอย่างไรบ้างเป็นต้น บ่อยครั้งที่ความคิดในทางที่ไม่ถูกต้องส่งผลกระทบต่อเนื่องไปให้ไม่อาจทำให้งานกกับบุคคลอื่นได้อย่างราบรื่น ไม่ยอมรับในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่พึงปรารถนาหรือปรับปรุงในเรื่องที่ควรปรับปรุงกระทั่งคนจำนวนไม่น้อยไม่อาจเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงานได้

อยากให้ท่านลองคิดว่า เวลาที่ได้รับมอบหมายงานขั้นใดจากเจ้านายโดยที่งานนั้นเป็นงานที่ท่านเองก็ยังไม่มีประสบยการณ์มาก่อน ท่านคิดอย่างไรครับ

คิดว่างานนั้นคงสนุก น่าท้าทาย เป็นโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่และพร้อมลงมือทำ  แม้เจอปัญหาอะไรก็จะค่อย ๆ แก้ไขไปล่ะ !!

หรือจะคิดว่า แหม งานปัจจุบันก็เยอะเหลือหลายแล้ว ยังมีงานใหม่งอกมา และก็ยังเป็นงานที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนด้วย จะไหวเหรอ และหากหัวหน้าต้องการให้ทำแล้วเกิดผิดพลาดมาก็อย่ามาโทษกันนะ !!

ตัวอย่างเช่นนี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าความคิดของคนเรานั้นพอจำแนกออกได้ในสองด้านหลัก ได้แก่ความคิดทางลบและความคิดทางบวก ความคิดทั้งสองทางนี้ส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกที่จะตอบสนองต่อเหตุการณ์หนึ่งใดของคนเราแตกต่างกันไป ก่อนที่จะได้กล่าวถึงการสร้างความคิดทางบวกกับการทำงาน  ใคร่นำเสนอความหมายและลักษณะของการคิดแต่ละด้านให้ได้ทบทวนกันไว้ก่อนนะครับ
อย่างแรกคือ ความคิดทางลบ (Negative Thinking) เป็นความคิดที่เต็มไปด้วยความเชื่อผิด ๆ ที่ฝังแน่นในใจ เป็นความคิดที่ชอบดูถูก ตำหนิ หรือวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง (Self Criticism) และบุคคลอื่น เต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หมกมั่นและยึดติดจนบั่นทอนความสุขและกำลังใจในการทำงาน  บั่นทอนความเชื่อและการยอมรับตนเอง  ปิดกั้นปัญญา จึงลดทอนความสามารถในการแก้ไขปัญหาลง ผลงานไม่สร้างสรรค์ ด้อยประสิทธิภาพ และล้มเหลวในที่สุด  โดยตัวอย่างในชีวิตการทำงานของคนเราที่เรามักมองหรือคิดอะไรลบ ๆ แบบที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์อยู่บ้างและหัวหน้างานไม่พึงปฏิบัติเลยได้แก่

o คิดว่า “ทำไม่ได้” - ด้วยเพราะมองว่ามันเป็นปัญหาที่ไม่เคยอยากจะเจอเลย  อยากทำแต่งานที่ราบรื่นเรียบร้อยไม่มีปัญหาให้หนักใจ  ซึ่งแค่คิดแบบนี้ก็ผิดแล้ว อยากให้หัวหน้างานคิดในทางตรงข้ามว่า  ที่องค์กรยังต้องการเราร่วมงานด้วยนั้นก็เพราะเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่องค์กรเค้ามี  เมื่อไม่มีปัญหาก็ไม่มีเรามานั่งทำงานให้ต้องจ่ายเงินเดือนจ่ายสวัสดิการ  คิดแบบนี้แล้ว ปัญหาจึงเป็นเรื่องปกติที่มักพบ และเราก็ต้องก้าวข้ามมันด้วยการคิดหาทางจัดการปัญหาให้พร้อม เตรียมอารมณ์ ร่างกาย และที่สำคัญคือเตรียมใจให้พร้อมรับสถานการณ์ปัญหาทุกเมื่อ

o คิดว่า “เป็นไปไม่ได้”  -  บ่อยครั้งทีเดียวที่เรามักคิดว่าปัญหาหลายอย่างที่มีนั้นเราแก้ไขอะไรไม่ได้   อยากชวนให้มองว่า ปัญหาคือโอกาสที่เปิดทางให้เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ  หากเราไม่ยอมออกไปเผชิญกับหน้ากับปัญหาหรือความท้าทายที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้ามา ก็ไม่มีทางที่จะได้พัฒนาความคิดพัฒนาวิธีการทำงานให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่  ผู้รู้หัวหน้างานบอกไว้ว่า ปัญหาในการทำงานที่เกิดขึ้นนั้น มักช่วยให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราต้องการ  และยังช่วยให้เราตระหนักว่าอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ดีกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ได้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือจัดการกับปัญหาหรือความท้าทายที่ว่านั้นด้วยการ “ลงมือทำ”  มากกว่าที่จะนั่งรอและคอยแต่ตัดพ้อว่าตนเองทำไม่ได้

o คิดว่า “เราไม่เก่ง” -  บางครั้งที่ลูกค้าไม่ชำระเงินเพราะปัญหาทางเทคนิคของสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงตามความต้องการของลูกค้า เมื่อเรื่องตกมาถึงหัวหน้างานก็นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรเพราะหัวหน้างานก็ไม่ได้รับผิดชอบโดยตรงแล้วคิดว่าปล่อยให้มันเป็นไปเถอะเพราะเราก็ไม่ได้เก่งพอที่จะแก้ไขปัญหาเช่นนั้นให้ลูกค้า หรือพลอยคิดไปว่าเราไม่ใช่หน่วยงานติดตามหนี้สินกับลูกค้า จากนั้นก็นั่งเฉย ๆ ปล่อยให้สถานการณ์เลยตามเลยทั้งที่ก็อยู่ในหน้าที่ที่รับผิดชอบ แบบนี้สถานการณ์คงไม่ดีแน่เลย !

และที่สำคัญหลายเรื่องที่ว่าไปนี้  นับเป็นอุปสรรคขัดขวางความคิดสร้างสรรค์และส่งผลต่อการงอกงามทางความคิดของเราอย่างไม่อาจคาดคิดเลยทีเดียว  นานเข้าเพื่อนร่วมงานรอบข้างก็ไม่อยากทำงานด้วย เพราะคุยไปใยให้เสียเวลา  และมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้หัวหน้างานก้าวข้ามความคิดทางลบไปได้ นั่นคือ ต้อง “คิดใหม่ในทางบวก”  และตั้งใจมุ่งมั่นปรับตนเองอย่างต่อเนื่องในหลายเรื่องต่อไปนี้

o ไม่เชื่อมั่นว่าปัญหาทุกเรื่องแก้ไขได้  -  โดยข้อเท็จจริงแล้วปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมแก้ไขได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่ต้องใช้เวลาและแรงกายแรงใจทุ่มเทลงไป และต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูกต้องกับสถานการณ์และเวลา ไม่วิ่งหนีหรือปล่อยให้ปัญหาลุกลาม  โดยต้องไม่ลืมที่จะค้นหาสาเหตุของปัญหาเช่น ความไม่เรียบร้อยของบริการที่ให้กับลูกค้าตามที่ยกตัวอย่างไป จากนั้นจึงมีค้นหาวิธีการแก้ไขทั้งจากงานของเราเองและจากงานของบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งมักจะเป็นไปได้ว่า ปัญหาที่กระทบกับลูกค้าเรื่องหนึ่ง มักจะมีคนที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ซึ่งต้องมาระดมสมองช่วยกันแก้ไขให้รอบคอบและรอบด้าน

นอกจากนี้ เราต้องตระหนักเสียก่อนว่า ปัญหาหรือสถานการณ์หลายเรื่องนั้นอาจจะนำมาซึ่งความขัดแย้งทางความคิดและวิธีการทำงานของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะต่างฝ่ายอาจจะถือเป้าหมายความสำเร็จและวิธีการที่อาจจะขัดแย้งกันในทีก็ได้  แต่หัวหน้างานก็ต้องไม่ลืมว่า แม้ปัญหาจะเป็นเรื่องเดิม ๆ ที่เคยปรากฎมาก่อน  แต่ก็ยังต้องการการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ของสถานการณ์ที่อาจจะต้องเจอในวันข้างหน้า หรือสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อธุรกิจ  จึงควรต้องปลูกฝังนิสัยท้าทายสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวอยู่เสมอ โดยคิดนอกกรอบการทำงานหรือแนวคิดเดิมๆ บ้าง

o กลัวที่จะท้าทายสิ่งใหม่  -  บางครั้งความคิดที่เราเสนอไปทั้งตนเองและเพื่อนร่วมทีม อาจจะเจอปัญหาขัดแย้งกับความเชื่อ เมื่อเพื่อนร่วมทีมอาจจะเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ท้าทายกับสถานการณ์ หรือมีความเสี่ยงต่อธุรกิจ บางครั้ง เมื่อลองเสนอลูกค้าดู ปรากฎว่า ความคิดแบบท้าทายนั้นใช้ได้ผล แม้จะดูว่าโดยรวมแล้วสมใจคงไม่เหมาะกับนิสัยชอบความท้าทาย แต่ HR ก็ขอให้เธอคิดนอกกรอบเดิมๆ และลองไอเดียใหม่ ๆ บ้าง

o ไม่ยอมรับการตัดสินใจของบุคคลอื่น -  บางครั้งข้อเสนอหรือไอเดียของเราอาจจะไม่โดนใจหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่เราก็คิดว่าดีที่สุดในจุดที่มันเป็นแล้ว และกลับโดนวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานที่เห็นต่างออกไป  จนกระทั่งไอเดียของเราไม่ได้นำไปใช้  กรณีเช่นนี้ก็ขอให้เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปรกติที่ไม่ควรเก็บเอามาบ่มเพาะเป็นความไม่พอใจระหว่างกัน  และควรมองว่าความเห็นที่แตกต่างจากเรานั้น อาจจะช่วยเสริมเติมแต่งให้ความคิดของเราบรรเจิดขึ้นก้อได้ แต่หากเกิดอคติกันแล้วย่อมไม่มีใครอยากฟังกัน ซึ่งนั่นนับว่าไม่ดีกับงานที่ต้องขับเคลื่อนร่วมกันแต่อย่างใดเลย

นักวิชาการด้านจิตวิทยาบอกเอาไว้ว่าการที่คนเรานั้นมีความคิดทางลบก็เนื่องมาจากสาเหตุหลายประการพอสรุปได้สัก 4 อย่างได้แก่

o ความเชื่อผิด ๆ (Wrong Belief) เช่นมีความเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีคนจริงใจหรือคนที่สังคมชื่นชมคือคนที่เก่งในทุกเรื่อง ความเชื่อผิด ๆ นี้เป็นพื้นฐานส่วนตัวและนับว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากของการคิดทางลบ

o ครอบครัวไม่ดี (Negative Family)  โดยพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวนั้นจะเป็นตัวอย่างสำคัญต่อการถ่ายโอนความคิด อารมณ์การแสงออกให้แก่ลูก หากคนในครอบครัวมีการคิดทางลบ ลูกย่อมซึมซับและเลียนแบบการคิดทางลบจากคนในครอบครัว  นอกจากนั้นการขาดความรักความอบอุ่น ความยุติธรรมภายในครอบครัว จะหล่อหลอมความเชื่อและความคาดหวังที่ไม่ถูกต้องให้กับเด็ก ๆ ที่ส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและมีการรับรู้คุณค่าของตนเองต่ำ  อันกล่าวได้ว่าครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีการคิดทางลบนั่นเอง

o สิ่งแวดล้อมไม่ดี (Negative Environment)  บางคนพัฒนาการคิดทางลบขึ้นจากการที่เขามีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากสิ่งแวดล้อม เช่น การถูกกดขี่ข่มเหง การถูกเอารัดเอาเปรียบ การสูญเสียอำนาจ เป็นต้น

o เหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาในชีวิต (Unsatisfying Circumstance) เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นแม้จะเป็นความจริง เกิดจากการคิดจินตนาการหรือการตีความผิดพลาดเหล่านั้นอาจจะฝังใจทำให้บุคคลพัฒนาความคิดทางลบของตนเอง

และพอเกิดความคิดทางลบขึ้นมา  ย่อมส่งผลกับคนเราอบบประดังประเดตามมาไม่ว่าจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย เกิดความตึงเครียด และขาดความสุขในการดำเนินชีวิต การดูถูกและตำหนิตนเองอันเป็นผลมาจากความคิดทางลบนั้นยังปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง  และยังทำให้เกิดความทุกข์ใจด้วยการหมกมุ่นกับปัญหาหรือหลีกเลี่ยงที่จะจัดการกับปัญหา   หมกมุ่นอยู่กับกระทำหรือสถานการณ์ที่ไม่มีความสุข และเมื่อเกิดความล้มเหลวก็ย่อมบั่นทอนความรุ่งโรจน์และความสำเร็จในอนาคต  แถมในบางกรณีก็ทำลายบุคคลอื่น ปิดกั้นช่องทางการสื่อสารระหว่างบุคคล นำมาซึ่งการไม่ยอมรับและไม่เข้าใจกัน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบุคคลอันกระทบไปถึงประสิทธิภาพของการทำงานตามมา ทั้งนี้ยังไม่นับปัญหาเฉพาะหน้าที่มักจะทำให้ขาดสมาธิและเกิกอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ตามมาอันเป็นอุปสรรคี่สำคัญต่อการใช้ความคิดและสติปัญญาในการสร้างสรรค์ผลงาน

การเปลี่ยนความคิดทางลบ (Changing Negative Thinking)  แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่ายแต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินไปนัก เพียงแต่ขอให้พยายามเข้าใจ รับรู้และยอมรับว่าตนเองมีความคิดทางลบ แล้วพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาความคิดของตนเอง  ต้องทำทีละน้อยแต่เน้นการทำอย่างสม่ำเสมอ ผู้เชี่ยวชาญเช่น Hay กล่าวถึงแนวทางการเปลี่ยนแปลงความคิดทางลบไว้อย่างน่าสนใจซึ่งหัวหน้างานสามารถนำไปทดลองทำดูด้วยตัวเองได้ดังต่อไปนี้

o ตระหนักรู้ถึงความจำเป็นในการที่จะต้องเปลี่ยนความคิดให้ได้ โดยเริ่มจากทำความเข้าใจถึงผลกระทบของความคิดทางลบ เพราะความเข้าใจประการนี้จะช่วยให้เกิดความระมัดระวังในช่วงเวลาที่เกิดอารมณ์หรือความคิดไม่พึงประสงค์จากความคิดทางลบ

o ฝึกสติเพื่อให้ควบคุมความคิดของตนเองให้ได้ โดยรู้ว่าขณะนี้ตนกำลังคิดอะไร คิดอย่างไร เมื่อคิดแล้วเกิดอารมณ์ความรู้สึกอย่างไร และการกระทำที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

o ฝึกความยืดหยุ่นในการตีความสิ่งที่มาสัมผัส ด้วยการมองหาสิ่งที่ดีทดแทนสิ่งที่ไม่ดี เมื่อทราบว่าตนเองกำลังคิดถึงสถานการณ์หรือเรื่องราวที่ไม่ได้ ต้องพยายามและรีบมองหาบางอย่างที่เป็นส่วนดีทดแทน การฝึกความยืดหยุ่นเช่นนี้จะช่วยควบคุมและผ่อนคลายความตึงเครียดทางอารมณ์ลงได้

o ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดความคิดทางลบ หากทราบว่าประสบการณ์เลวร้ายส่งผลให้เกิดความคิดทางลบก็ควรพายามทำใจยอมรับว่าเหตุการณ์นั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว พยายามลืม ไม่ติดกับอดีต รวมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี อย่างไรก็ตาม  การเปลี่ยนแปลงสภาพภายนอกเพื่อให้สอดคล้องกับตัวเรานั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและไม่อาจทำได้ทุกกรณี แต่การเปลี่ยนแปลงควรเริ่มต้นมาจากภายในตัวเราเอง

อีกอย่างหนึ่งคือ ความคิดทางบวก (Positive Thinking) เป็นความคิดที่มีหลักความเชื่อที่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง เป็นความคิดที่ให้เกียรติ เห็นคุณค่า ยอมรับตนเองและบุคคลอื่น มองโลกมองสถานการณ์ใดในทางที่ดีที่มีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อบุคคลอื่น  เพิ่มกำลังใจและแรงจูงใจการพัฒนาตนเอง  ความคิดทางบวกนี้มีผลดีหลายอย่างได้แก่ ช่วยให้คนเรามองโลกในแง่ดี (Optimism) ยอมรับตนเองตามความเป็นจริง และให้โอกาสแก่ตนเองในการเรียนรู้และพัฒนาความคิด ความสามารถและทักษะในการจัดการปัญหาในสถานการณ์ที่ยากลำบาก  ให้ความสำคัญกับการดูแลสุภาพทางกายและจิตใจ  ไม่ซ้ำเติมตนเองด้วยการหมกมุ่นอยู่กับปัญหาหรืออยู่แต่กับตนเอง รวมทั้งยอมรับ เข้าใจและรับรู้บุคคลอื่นหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ในทางสร้างสรรค์ รู้สึกไว้วางใจและไม่ต่อต้านบุคคลอื่น  ไม่ต่อต้านและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมากระทบกับตนเอง  คนที่มีความคิดทางบวกจึงเปลี่ยนแปลงตนเองเข้ากับสถานการณ์ได้ง่ายกว่า ช่วยลดความตึงเครียดทางอารมณ์ และสร้างความสงบแก่บุคคลอื่นที่อยู่รายรอบ   และแน่นอนว่าคนที่คิดทางบวกจะมีกำลังใจและสมาธิในการจัดการกับเรื่องราวและได้ผลงานที่ดีออกมา และยังสามารถจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าคนที่คิดทางลบ

อย่างไรก็ตาม แม้ความคิดทางลบจะส่งผลออกมาหลายอย่างเช่นที่กล่าวไปข้างต้นแต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าคนที่คิดทางลบจะผลงานต่ำ หรือมีผลงานยอดแย่ตามความคิด  เรามักพบว่าคนที่ชอบคิดลบบางคนเป็นคนเก่งที่ทำได้ผลงานดี แม้จะชอบบ่นหรือคิดน้อยใจสารพัดแต่จะแล้วจนรอดก็ทำงานจนเสร็จตามเป้าหมายได้ (เพราะอาจจะไม่มีทางเลือก) แต่ที่สุดแล้ว คนที่คิดแต่ทางลบก็คงยากที่จะเติบโตก้าวหน้าเพราะหัวหน้าเองนั่นล่ะที่คงไม่กล้าตัดสินใจอวยปรับตำแหน่งให้สูงขึ้นเพราะกลัวว่าจะไปสร้างปัญหาที่รังแต่จะทำให้วุ่นวายตามมา พอเจอสถานการณ์แบบนี้ คนเก่งที่คิดทางลบก็เลยคิดทางลบหนักขึ้น หาว่าเจ้านายไม่ยุติธรรมบ้าง หาว่าเจ้านายมืดบอดทางปัญหาบ้าง ออกแนวจาบจ้วงเจ้านายไปซะงั้น

อย่าลืมว่าทัศนคติหรือความคิดของเราจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นหน้าที่ทางตรงที่เราจะต้องหมั่นตรวจสอบ รับรู้และหาทางในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เป็นความคิดที่ดีและมีคุณค่าด้วยตัวเอง หากทำได้ผลดีแล้ว การเป็นหัวหน้างานแบบ AWESOME ก็ไม่ไกลแน่นอนครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น