วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

Power Harassment เรื่องที่หัวหน้าต้องระวัง


เวลาได้ไปเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการทำงานให้กับกลุ่มหัวหน้างานในหลักสูตรเทคนิคการทำงานอย่างพนักงานมืออาชีพ (Professional Working) เรื่องหนึ่งที่ผมมักจะได้รับซึ่งจะว่าเป็นคำถามก็ไม่ใช่ เป็นคำบ่นก็ไม่เชิงจากผู้เข้าอบรมบางท่านอยู่เสมอคือความว่าหลักสูตรนี้น่าจะให้หัวหน้าของผม/ดิฉันมาเข้าจังเลย 555 !!!! นัยว่าถ้าเค้า (หัวหน้า) ปฏิบัติได้อย่างเป็นมืออาชีพ ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ สั่งงานแบบเปลี่ยนเป้าหมายได้สามเวลาหลังอาหาร ไม่มอบหมายงานที่เกินความสามารถที่เขาซึ่งเป็นลูกน้องจะทำได้  ไม่ใช้อารมณ์วีนมากดดันเพื่อเอางานอย่างที่ตัวเองอยากจะได้ หรือไม่ดุด่าตำหนิกันแบบไม่รู้ไปโกรธใครมาทำหน้าทบึ้งตึง เป็นต้น ก็คงไม่มีความขุ่นเคืองใจของพนักงานระดับปฏิบัติการอย่างเช่นท่านที่เอ่ยมาเป็นแน่

การปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมของหัวหน้ากับลูกน้องดังตัวอย่างเล็กน้อยที่ผมยกมานี้ ตามกฎหมายแรงงานของบางประเทศเช่น ประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ลูกจ้างได้รับความคุ้มครองเลยนะครับ เค้าเรียกเรื่องนี้ว่า การข่มเหงรังแกกันในที่ทำงาน (Power Harassment)

ท่านที่คุ้นเคยกับคำว่าการข่มเหงกันทางเพศ (Sexual Harassment) ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมกล่าวขวัญถึงกันอย่างมาก ก็น่าจะต้องรู้จักเรื่องการข่มเหงรังแกกันในที่ทำงาน (Power Harassment) ไว้อีกสักเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะท่านที่เป็นหัวหน้าที่มีอำนาจในการบังคับบัญชาแต่ไม่ค่อยใช้อำนาจบังคับบัญชาที่มีในทางที่สร้างสรรค์มากนักนั้น

ผู้รู้ท่านบอกเอาไว้ว่า  การข่มเหงรังแกกันในที่ทำงาน (Power Harassment) เป็นการกลั่นแกล้งรังแก หรือการทำให้ผู้อื่น เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ รำคาญใจ ลำบากใจถึงขั้นไม่เป็นอันทำการทำงานอย่างปกติสุขเลย   

โดยความหมายแบบนี้ การข่มเหงรังแกกันจึงเกิดขึ้นได้ทั้งในกรณีที่หัวหน้าทำกับลูกน้องที่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา หรือกรณีที่พนักงานระดับอาวุโส กระทำกับพนักงานที่อ่อนอาวุโสกว่า หรือกับน้องใหม่ที่เข้ามาทำงาน

สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็นการข่มเหงรังแกกันในที่ทำงานนั้นได้แก่

  • กดดันการทำงานจนเกิดความเครียดรุนแรง
  • กลั่นแกล้งมอบหมายงานที่ลูกน้องหรือลูกทีมทำให้สำเร็จไม่ได้  
  • กลั่นแกล้งด้วยกายหรือวาจาจนทำให้ลูกน้องหรือลูกทีมเกิดความอัยอายประชาชี เช่น ใช้ถ้อยคำเสียดสี ดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรง ทั้งที่ลูกน้องทำงานผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • การสอบถามเรื่องส่วนตัวในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น สอบถามว่าลูกน้องหญิงมีสามีหรือยัง หากรู้ว่ายังก็ทำทีเกี้ยวพาราสี เป็นต้น (ในบางประเทศทางตะวันตกประเด็นนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเลย หรือแค่แซวเล่นกันก็เป็นเรื่องให้ฟ้องร้องกับแล้วนะครับ)
  • ข่มขู่ลูกน้องว่าหากทำงานที่มอบหมายไม่ได้จะโดนลดตำแหน่งหรือลดเงินเดือน เป็นต้น

 

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า การข่มเหงรังแกกันในที่ทำงานตามตัวอย่างนี้ หลายกรณีเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับการปฏิบัติต่อกันเยี่ยงหัวหน้าลูกน้อง แต่หลายกรณีก็เป็นประเด็นที่อาจจะโดนลูกน้องแจ้งความอำเนินคดีทางอาญาได้ด้วยนะ

ผมคิดว่าการทำงานด้วยกันไม่ว่าจะระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องหรือระหว่างพนักงานระดับอาวุโส กระทำกับพนักงานที่อ่อนอาวุโสกว่าย่อมจะกระทบกระทั่งเพราะความเห็นไม่ตรงกัน ความคิดไม่ลงรอยกันหรือเพราะเหตุใดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ แต่เมื่อหัวหน้าหรือพนักงานอาวุโสมีบทบาทที่จะต้องดูแลพนักงานในทีมของตัวเองด้วยแล้ว การปฏิบัติต่อกันจึงต้องเป็นไปในแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างกันมากกว่าที่จะ “ลุย” กันโขมงโฉงเฉงไปหมด

เพราะสุดท้ายของมันจะลงเอยด้วยความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานและผลงานไม่เกิด ทำงานด้วยกันก็ไม่มีความสุข ประสิทธิภาพในการทำงานก็ลดน้อยถอยลง ลูกน้องที่อ่อนด้อยมากกว่ารับไม่ไหวก็จะลาออกไป โดยเฉพาะคนเก่งที่ทนเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยได้ก็จะตัดสินใจลาออกจากองค์กรไป ท้ายที่สุด เรื่องที่ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวแบบนี้ก็ส่งผลเสียให้ทุกฝ่ายพ่ายแพ้ และฝ่ายที่ย่อยแย่บมากที่สุดตัวหัวหน้าและองค์กรนั่นเองครับ

แม้กฎหมายคุ้มครองแรงงานในบ้านเราจะไม่ได้กำหนดเรื่องการข่มแหงรังแกกันในการทำงานไว้โดยตรง แต่ลูกน้องที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมเช่นนี้นอกเหนือจากจะหาทางออกด้วยการร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงกว่าได้แล้ว  ก็อาจจะใช้ช่องทางการร้องทุกข์ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานได้  ลองสังเกตดูนะครับ ในหมวดท้าย ๆ ของข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของทุกองค์กร มักจะระบุเรื่องการร้องทุกข์ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานมาตรา 108 (7) และมาตรา 109 ไว้

แต่ท้ายสุดเมื่อลูกน้องร้องทุกข์ตามกฎหมายแล้ว ปัญหาที่ตามติดมากับลูกน้องที่ร้องทุกข์ภายหลังก็ยังมีอยู่ดี เช่น ในกระบวนการจัดการข้อร้องทุกข์ซึ่งมักต้องมีการสอบสวนทั้งผู้ถูกกล่าวหา (หัวหน้า) และผู้ร้องทุกข์ (ลูกน้อง) นั้น หาก HR จัดการเรื่องนี้ไม่ละมุนละม่อม ท่านคิดว่าสองง่ายเค้าจะมอบหน้ากันติดหรือไม่  หรือหาก HR จะจัดการโอนย้ายพนักงานที่ร้องทุกข์ไปอยู่หน่วยงานอื่น ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่าจะไม่มีการ “เอาคืน” หรือหัวหน้าคนใหม่จะมองพนักงานที่ร้องทุกข์ว่าเป็น “ตัวปัญหา” 

และมักพบว่าแม้กระทำการที่ไม่เหมาะสมจริง ฝ่ายหัวหน้าก็มักจะไม่ได้รับการลงโทษทางวินัยอย่างรุนแรงถึงขึ้นปลดออกหรือให้ออก (ยกเว้นเรื่องนั้นผิดกฎหมายอาญาโจ๋งครึ่ม)

ทายสิครับว่า ใครที่จะได้รับผลกระทบหนักสุดจากกรณีนี้ ?

นี่เองครับที่มักเป็นเหตุให้พนักงานลาออกหนีหัวหน้าไปงัยล่ะครับ   

ติดตามบทความอื่นที่น่าสนใจได้ใน http://chatchawal-ora.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น