ช่วงต้นปีใหม่เช่นเวลาที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้
หลายบริษัทได้จ่ายเงินรางวัลตามผลประกอบการและผลงาน (Bonus)
กับทั้งปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี (Merit Increase) ไปแล้ว
ส่วนหลายองค์กรที่ยังพอมีผลกำไรอยู่พอที่จะเจียดจ่ายให้กับพนักงานอยู่บ้างก็เตรียมที่จะทำจ่ายนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป
แตกต่างกันตามแต่เหตุผลของแต่ละองค์กร
บ้างบางองค์กรก็เพราะต้องการปิดบัญชีจากผลประกอบการเต็ม
12 เดือนเสียก่อน หรือบ้างก็ต้องการชะลอการจ่ายออกไปเพื่อบรรเทาปัญหาพนักงานลาออกหลังรับโบนัส
โดยเชื่อว่าหากจ่ายโบนัสให้เนิ่นออกไปหน่อยก็อาจจะดึงให้คนที่คิดจะลาออกรู้สึกเสียดายหลายเดือนจากต้นปีที่ทำงานมา
หรือบางคนที่ทนไม่ไหวหรือเพราะได้ข้อเสนอที่ดีกว่าจากองค์กรอื่นที่หางานใหม่ไว้ก็ลาออกไปก่อน
เท่ากับตัดเม็ดเงินที่จะต้องจ่ายโบนัสและที่ใช้ปรับขึ้นเงินเดือนไปได้อีกมากโข
แน่นอนที่ในช่วงนี้เองจะมีคนที่สมหวังและผิดหวังกับตัวเลขการปรับขึ้นเงินเดือนและอัตราจ่ายโบนัสที่ได้รับเมื่อเทียบกับที่คาดไว้
คนที่ได้รับเกินคาดหมายก็ยิ้มแก้มปริ เพราะผลงานที่ทำไปในปีที่ผ่านมา
สะท้อนผลตอบแทนมาแล้วก็งวดนี้
แต่กับคนที่ผลงานมีแต่ทรงกับทรุดก็คงได้แต่ทำใจแล้วรับมันให้ได้
สำหรับคนกลุ่มหลังที่ยังต้องเดินหน้าทำงานกับองค์กรต่อไป
ก็อย่ามัวแต่นั่งทุกข์ระทมใจไปเปล่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนของเรายังต้องดำเนินต่อไปอีกไกล
ขอให้นึกถึงหลายองค์กรที่เตรียมโปรแกรมปรับลดพนักงานหรือต้องเลิกจ้างพนักงานให้เหลือกำลังคนพอเหมาะกับเศรษฐกิจที่ขาขึ้น
(คือขาขึ้นก่ายหน้าผากและกูรูหลายท่านบอกเล่าไว้ว่าจะยังมีผลต่อเนื่องในปี 2559
อีกด้วย)
สถานการณ์ขององค์กรเช่นนี้นับว่าแย่กว่าที่ท่านอาจจะเจอมากนัก
เพราะอย่างว่าแต่โบนัสจะไม่ได้เลย เงินเดือนจะได้รับหรือไม่ยังไม่มั่นใจนัก
ให้เขาเหล่านั้นแลกกับท่าน
ท่านก็คงตอบทันทีว่าไม่เอาแน่นอน จริงมั้ยครับ ?
หากคิดได้แบบนี้ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีแล้ว
ขอให้ท่านพยายามสวิงความรู้สึกหดหู่กลับมาสู่โหมดความแจ่มใสและก้าวต่อไป
ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อเราไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนหรือจ่ายโบนัสอย่างที่คาดคิดไว้
เรามีทางเลือกสองทางเสมอ สั้น ๆ คือ “อยู่ต่อไป” หรือจะ “หางานใหม่” ทุกอย่างก็เท่านี้
ผมจะไม่พูดกรณีทางเลือกที่สอง
เพราะอยู่ที่มุมมองและการตัดสินใจของแต่ละท่าน
แต่จะขอเจาะจงใช้พื้นที่บทความนี้ให้มุมมองและเสริมกำลังใจให้ท่านที่เลือกทางแรกคือทำงานต่อไป
ไม่ว่าท่านจะเลือกทางนี้เพราะเสียมิได้ด้วยอายุมากจนยากจะหางานใหม่ได้
หรือเพราะไม่อยากเสี่ยงปรับตัวกับงานและองค์กรใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยแบบใด !!!!
เมื่อตั้งสติได้แล้ว เราน่าจะหาทางเติมพลังใจให้สู้งานต่อด้วยการค้นหาและทบทวนสิ่งดีดีที่อยู่ในงานของเรา
ด้วยเพราะบางทีความคุ้นชินกับพื้นที่เก่า ๆ และงานประจำที่ทำจนเข้าข่ายน่าเบื่อเสียแล้ว
อาจจะทำให้ท่านมองข้ามไปว่าแท้จริงแล้วท่านยังทำอะไรสนุก ๆ กับสิ่งตรงหน้าได้
โดยขอให้ลองคิดและทำอะไรสักสามอย่างที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้
เรื่องแรก คิดว่าที่เรายังคงทำงานกับองค์กรที่เราร่วมงานอยู่นี้ต่อไปก็เป็นผลมาจากการเลือกที่เราชั่งน้ำหนักดีแล้ว
(ในมุมของเรา)
เรื่องที่สอง
ปรับสภาพแวดล้อมทางภายภาพโดยเฉพาะโต๊ะทำงานที่เราจัดแต่งในสไตล์เก่า ๆ ของเราให้น่านั่งทำงานมากขึ้นด้วยการจัดระเบียบข้างของบนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย
ซื้ออุปกรณ์เก๋ไก๋มาตกแต่งโน่นนี่สักหน่อย พร้อมกับทำความสะอาดให้ดี
เท่านี้ก็สร้างความสดใสกับสิ่งข้างกายได้มากแล้ว
เรื่องที่สาม
คือมองหาจุดที่เราจะปรับปรุงงานในหน้าที่รับผิดชอบของเราให้ดีขึ้น โดยยังไม่ต้องมองไปไกล
หรือไปคิดติดว่าเราปรับของเราไม่ได้เพราะคนอื่นไม่ปรับให้ เช่น ปรึกษาหารือกับหัวหน้าเพื่อลดขั้นตอนการทำงานบางอย่างลง
หรือหาเครื่องมือใหม่ ๆ มาช่วยเสริมประสิทธิภาพงานจากเดิมที่เคยทำแล้วผ่านมา
ที่สำคัญนั้นไม่ใช่แค่คิด
แต่ต้องวางแผนสักหน่อยแล้วลงมือทำครับ
ทำสามอย่างนี้แล้วท่านจะพบว่างานมันช่างสนุปเสียนี่กระไร
หากทำได้ดีตลอดทั้งปี
ไม่เป็นไฟไหม้ฟางที่วูบมาแล้วก็หาย มีหรือปีหน้าฟ้าใหม่ท่านจะไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนหรือโบนัสอย่างน่าจะพอใจ
สนุกและสบายใจแล้วก็ลงมือลุยกันเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น