วันเสาร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2559

อย่าปล่อยให้ความสนุกของการทำงานผ่านเลยไป


ช่วงต้นปีใหม่เช่นเวลาที่ผมกำลังเขียนบทความเรื่องนี้ หลายบริษัทได้จ่ายเงินรางวัลตามผลประกอบการและผลงาน (Bonus) กับทั้งปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี (Merit Increase) ไปแล้ว ส่วนหลายองค์กรที่ยังพอมีผลกำไรอยู่พอที่จะเจียดจ่ายให้กับพนักงานอยู่บ้างก็เตรียมที่จะทำจ่ายนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป แตกต่างกันตามแต่เหตุผลของแต่ละองค์กร
บ้างบางองค์กรก็เพราะต้องการปิดบัญชีจากผลประกอบการเต็ม 12 เดือนเสียก่อน หรือบ้างก็ต้องการชะลอการจ่ายออกไปเพื่อบรรเทาปัญหาพนักงานลาออกหลังรับโบนัส โดยเชื่อว่าหากจ่ายโบนัสให้เนิ่นออกไปหน่อยก็อาจจะดึงให้คนที่คิดจะลาออกรู้สึกเสียดายหลายเดือนจากต้นปีที่ทำงานมา หรือบางคนที่ทนไม่ไหวหรือเพราะได้ข้อเสนอที่ดีกว่าจากองค์กรอื่นที่หางานใหม่ไว้ก็ลาออกไปก่อน เท่ากับตัดเม็ดเงินที่จะต้องจ่ายโบนัสและที่ใช้ปรับขึ้นเงินเดือนไปได้อีกมากโข
แน่นอนที่ในช่วงนี้เองจะมีคนที่สมหวังและผิดหวังกับตัวเลขการปรับขึ้นเงินเดือนและอัตราจ่ายโบนัสที่ได้รับเมื่อเทียบกับที่คาดไว้ คนที่ได้รับเกินคาดหมายก็ยิ้มแก้มปริ เพราะผลงานที่ทำไปในปีที่ผ่านมา สะท้อนผลตอบแทนมาแล้วก็งวดนี้
แต่กับคนที่ผลงานมีแต่ทรงกับทรุดก็คงได้แต่ทำใจแล้วรับมันให้ได้
สำหรับคนกลุ่มหลังที่ยังต้องเดินหน้าทำงานกับองค์กรต่อไป ก็อย่ามัวแต่นั่งทุกข์ระทมใจไปเปล่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนของเรายังต้องดำเนินต่อไปอีกไกล
ขอให้นึกถึงหลายองค์กรที่เตรียมโปรแกรมปรับลดพนักงานหรือต้องเลิกจ้างพนักงานให้เหลือกำลังคนพอเหมาะกับเศรษฐกิจที่ขาขึ้น (คือขาขึ้นก่ายหน้าผากและกูรูหลายท่านบอกเล่าไว้ว่าจะยังมีผลต่อเนื่องในปี 2559 อีกด้วย) สถานการณ์ขององค์กรเช่นนี้นับว่าแย่กว่าที่ท่านอาจจะเจอมากนัก เพราะอย่างว่าแต่โบนัสจะไม่ได้เลย เงินเดือนจะได้รับหรือไม่ยังไม่มั่นใจนัก
ให้เขาเหล่านั้นแลกกับท่าน ท่านก็คงตอบทันทีว่าไม่เอาแน่นอน จริงมั้ยครับ ?
หากคิดได้แบบนี้ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีแล้ว ขอให้ท่านพยายามสวิงความรู้สึกหดหู่กลับมาสู่โหมดความแจ่มใสและก้าวต่อไป
ว่ากันตามจริงแล้ว เมื่อเราไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือนหรือจ่ายโบนัสอย่างที่คาดคิดไว้ เรามีทางเลือกสองทางเสมอ สั้น ๆ คือ “อยู่ต่อไป” หรือจะ “หางานใหม่”  ทุกอย่างก็เท่านี้
ผมจะไม่พูดกรณีทางเลือกที่สอง เพราะอยู่ที่มุมมองและการตัดสินใจของแต่ละท่าน
แต่จะขอเจาะจงใช้พื้นที่บทความนี้ให้มุมมองและเสริมกำลังใจให้ท่านที่เลือกทางแรกคือทำงานต่อไป ไม่ว่าท่านจะเลือกทางนี้เพราะเสียมิได้ด้วยอายุมากจนยากจะหางานใหม่ได้ หรือเพราะไม่อยากเสี่ยงปรับตัวกับงานและองค์กรใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยแบบใด !!!!
เมื่อตั้งสติได้แล้ว เราน่าจะหาทางเติมพลังใจให้สู้งานต่อด้วยการค้นหาและทบทวนสิ่งดีดีที่อยู่ในงานของเรา ด้วยเพราะบางทีความคุ้นชินกับพื้นที่เก่า ๆ และงานประจำที่ทำจนเข้าข่ายน่าเบื่อเสียแล้ว อาจจะทำให้ท่านมองข้ามไปว่าแท้จริงแล้วท่านยังทำอะไรสนุก ๆ กับสิ่งตรงหน้าได้
โดยขอให้ลองคิดและทำอะไรสักสามอย่างที่ผมจะแชร์ต่อไปนี้
เรื่องแรก คิดว่าที่เรายังคงทำงานกับองค์กรที่เราร่วมงานอยู่นี้ต่อไปก็เป็นผลมาจากการเลือกที่เราชั่งน้ำหนักดีแล้ว (ในมุมของเรา)
เรื่องที่สอง ปรับสภาพแวดล้อมทางภายภาพโดยเฉพาะโต๊ะทำงานที่เราจัดแต่งในสไตล์เก่า ๆ ของเราให้น่านั่งทำงานมากขึ้นด้วยการจัดระเบียบข้างของบนโต๊ะทำงานให้เรียบร้อย ซื้ออุปกรณ์เก๋ไก๋มาตกแต่งโน่นนี่สักหน่อย พร้อมกับทำความสะอาดให้ดี เท่านี้ก็สร้างความสดใสกับสิ่งข้างกายได้มากแล้ว
เรื่องที่สาม คือมองหาจุดที่เราจะปรับปรุงงานในหน้าที่รับผิดชอบของเราให้ดีขึ้น โดยยังไม่ต้องมองไปไกล หรือไปคิดติดว่าเราปรับของเราไม่ได้เพราะคนอื่นไม่ปรับให้ เช่น ปรึกษาหารือกับหัวหน้าเพื่อลดขั้นตอนการทำงานบางอย่างลง หรือหาเครื่องมือใหม่ ๆ มาช่วยเสริมประสิทธิภาพงานจากเดิมที่เคยทำแล้วผ่านมา
ที่สำคัญนั้นไม่ใช่แค่คิด แต่ต้องวางแผนสักหน่อยแล้วลงมือทำครับ
ทำสามอย่างนี้แล้วท่านจะพบว่างานมันช่างสนุปเสียนี่กระไร
หากทำได้ดีตลอดทั้งปี ไม่เป็นไฟไหม้ฟางที่วูบมาแล้วก็หาย มีหรือปีหน้าฟ้าใหม่ท่านจะไม่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนหรือโบนัสอย่างน่าจะพอใจ
สนุกและสบายใจแล้วก็ลงมือลุยกันเลยครับ     

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น