เป็นความจริงที่องค์กรจ้างเราเข้าทำงานโดยจ่ายเงินเดือนแลกกับเวลาทำงานไม่ต่ำกว่าแปดชั่วโมงตามกฎหมายและย่อมอยากได้ผลลัพธ์จากการทำงานอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยต่างตอบแทนกลับมา
มนุษย์เงินเดือนคนใดที่ทำงานได้ครบชั่วโมงโดยไม่เสียเวลาไปทำเรื่องอื่นใดที่ไร้คุณค่า
จึงมักจะได้รับการยกย่องชื่นชมในสายตาของคนรอบข้างเสมอ
แต่ลองสังเกตดูสิครับว่าในแต่ละวันเราใช้เวลาไปแบบไม่กิดประโยชน์มากน้อยเพียงใดและในเรื่องใดบ้าง
บางคนชอบเดินไปคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นวันละหลาย ๆ รอบ
บางคนสอบแต่สอดส่ายสายตาหาเรื่องมาเม้าท์เอามันส์คนอื่น บางคนบ่ายมาสอดสายตาหาแต่ขนม เดินขึ้นลงอาคารสำนักงานกับร้านค้าปากซอยกันให้วุ่น
บางคนก็อยู่ในไลน์ออกไปเดินเที่ยวเตร่ที่ไหนไม่ได้ก็เหม่อลอยไปเรื่อย บ้างก็ใช้เวลาไปสูบบุหรีอวันละหลายคราวนับแต่วันละหลายมวนยิ่งกว่าชั่วโมงการทำงานกินเงินเดือนแต่ละวันเสียด้วยซ้ำ เป็นต้น
มองจากใจของฝั่งนายจ้างหรือองค์กร
แม้เขาจะพอรับได้ในระดับหนึ่งว่าในแต่ละวันจะยอมสูญเสียเวลาที่ไม่ทำให้เกิดผลิตภาพ
(หรือที่เรียกว่า Allowance
Time) จำนวนหนึ่ง เช่นวันละ 45 นาทีหรือหนึ่งชั่วโมง
ก็ตาม
แต่หากเอาเวลาที่ยอมให้สูญเสียไปนี้คูณเข้ากับจำนวนพนักงานและวันทำงานในแต่ละปี
ก็น่าสนใจยิ่งว่าองค์กรยอมเสียผลิตภาพหรือมูลค่าอะไรบางอย่างมหาศาลจากการจ้างงานพนักงาน
ซึ่งนั่นก็น่าเห็นใจไม่น้อยในมุมขององค์กร
ในฐานะคนทำงานกินเงินเดือนก็ควรต้องรู้จักบริหารเวลางานในช่วงที่หัก
Allowance
Time นี้แล้วให้เกิดผลงานให้มากที่สุด
ลองสังเกตดูเรามักจะพบว่าเหตุที่ทำให้เราเสียเวลาไปอย่างน่าเสียดายนั้นได้แก่การขาดระบบการทำงานที่ดีพอ
ขาดการวางแผนและกำหนดขั้นตอนที่รัดกุมเพียงพอ บ้างก็เพราะจัดลำดับความสำคัญของงานไม่ดี
ไม่รู้จะทำอะไรก่อนหลังจนเสียเวลาที่มีคุณค่าไปอย่างน่าเสียดาย
ซึ่งผมจะไม่ชวนคุยเรื่องนี้
แต่อยากจะกล่าวถึงเหตุหนึ่งก็คือเรื่องการเสียเวลาไปกับกิจกรรมอื่นใดที่ไม่ใช่งานรับผิดชอบเช่นที่พูดถึงไปย่อหน้าก่อน
ๆ ซึ่งว่าไปแล้วส่วนมากเป็นเรื่องของพฤติกรรมการทำงานที่ไม่เหมาะสมนัก
ถึงเวลาแล้วล่ะครับที่ต้องใคร่ครวญและใช้ประโยชน์จากเวลาในแต่ละวันให้มีคุณค่าสูงสุด
ดีกว่าที่จะมานั่งบ่นแต่ว่าตัวเองไม่มีเวลาพอที่จะพาความรู้เพิ่มเติมกับงานที่ทำ
หรือขาดเวลาที่จะนำไปปรับปรุงงาน
ไม่ยากไปใช่มั้ยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น