เป็นธรรมดาอยู่เองที่มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายต่างคาดหวังการเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงาน
ซึ่งสะท้อนได้เป็นรูปธรรมจากการได้ขึ้นเงินเดือนประจำปีและการได้รับปรับตำแหน่ง (Promotion) ไปสู่หน้าที่ใหม่ที่สูงขึ้น
แต่แทบทุกปี จะมีมนุษย์เงินเดือนในองค์กรกลุ่มหนึ่งที่สมหวัง
กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ผิดหวังจากการไม่ได้รับปรับตำแหน่งดังคาดไว้
ก็น้อยใจว่าหัวหาไม่แฟร์ พอถามหัวหน้าไปเพื่อขอคำอธิบายว่ามีเกณฑ์การพิจารณาอย่างไร หัวหน้าบางคนก็อึกอักแล้วไปอ้างความเหมาะสม
หรืออ้างว่ามีอำนาจพิจารณา ความคลุมเครือเช่นนี้ อาจจะส่งผลให้พนักงานจำนวนหนึ่งเสียความรู้สึก
เปลี่ยนนามสกุลเป็น “หลีกกันไกล” คือห่างหน้าหายตาไปจากหัวหน้าไปเลย
จากที่เคยตั้งใจทำงาน มีผลงานนำเสนอก็กลายเป็นไม่ใส่ใจงาน เช้าชามเย็นชาม
ทำงานแบบขอไปที ถามคำตอบคำ นัยว่าอยากตอบแทนหัวหน้าให้สาสม (หรือเปล่า 555....)
ซึ่งเรื่องทำนองนี้จะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องระแวดระวังกันให้มาก
ในองค์กรที่กำหนดเส้นทางการเติบโตในสายอาชีพไว้อย่างเป็นระบบหน่อย
ปัญหาตัวอย่างที่ผมกล่าวถึงก็คงไม่พบเจอกัน เพราะมักจะมีเงื่อนไขกำกับการใช้ดุลยพินิจของหัวหน้าตามสมควร
แต่กับองค์กรที่ไม่ค่อยมีระบบและหลักเกณฑ์หลักการเป็น guideline ชัดเจน การต้องพึ่งพาดุลยพินิจของหัวหน้าก็เป็นเรื่องปกติที่พอเห็นกันได้เสมอ
ความไม่สบายใจของพนักงานที่เก่งแต่ชเลียร์ไม่เป็นก็จะมีสูงยิ่ง
ส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของคนทำงานไม่น้อย
แต่ผมจะไม่ชวนคุยเรื่องนี้หรอกครับ
เพราะน่าจะเป็นงานที่ HR ต้องว่ากันไป
โดยอยากจะชวนท่านที่พลาดโอกาสปรับตำแหน่งมาคิดในมุมใหม่
ปรับใจและทำอะไรบางอย่างเพื่อรอไว้รอบหน้าฟ้าใหม่ เชื่อว่าน่าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
มาลองติดตามกันครับ
เมื่อท่านพลาดโอกาสปรับตำแหน่ง
ไม่ว่าจะด้วยหัวหน้า “no see head” (555...) ยกตำแหน่งให้คนอื่น
หรือว่าองค์กรไม่มีนโยบายปรับตำแหน่งในปีนั้นก็ตาม ขอให้ท่านตั้งสติอย่าคิดโทษหรือทำร้ายตัวเองด้วยการเปลี่ยนทัศนคติไปคิดลบ
หรือว่าเปลี่ยนนิสัยไปทำอะไรแย่ ๆ ออกมา ทั้งไม่ควรไปดูเบาจนทอนความมั่นใจในตัวเอง
และต้องไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์หัวหน้ากับบุคคลที่สาม เช่น “ใช่สิ ฉันไม่ใช่ลูกน้องสุดรักนี่” เพราะเรื่องแบบนี้มักมันส์สสสสปาก
แต่ไม่เข้าท่าเลย
และสะท้อนให้เห็นว่าเรายังขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือยัง
“นิ่งไม่พอ”
สุดท้ายคนที่ได้รับผลลัพธ์แบบไร้ความสุข
ขาดสีสัน จิตตก
หรืออะไรทั้งหลายจากการคิดและปฏิบัติเช่นนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเราเอง
ลองเอาใหม่สิครับ !!!
ลองหันมาวิเคราะห์ตัวเอง
ด้วยการตั้งคำถามง่าย ๆ ถึงเหตุที่ยังไม่ได้รับการปรับตำแหน่ง พร้อมกับเปิดใจตอบคำถามนั้นอย่างเป็นธรรมกับตัวเองในเรื่องต่อไปนี้ครับ
- เป็นเพราะเรายังทำงานได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรือตัวชี้วัดผลงานที่กำหนดไว้หรือเปล่า ?
- เป็นเพราะเรายังทำงานไม่ได้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Description) หรือไม่ ?
- เป็นเพราะเรายังขาดความรู้ ทักษะและพฤติกรรมหรือที่เรียกกันภาษา HR ว่า Competency ในเรื่องใด ข้อใดหรือไม่ ?
- เป็นเพราะเรามีจุดอ่อนที่กระทำกับงานหรือทำให้งานที่รับผิดชอบไม่เป็นไปตามเป้าหมายในเรื่องใดหรือไม่ ?
โดยเฉพาะคำถามข้อ 2)
นั้นเป็นคำถามที่ผมอยากให้ท่านได้มองช่องว่าง (gap) ของความสามารถของตัวเอง
หากจะให้ดีก็เปรียบเทียบกับคุณสมบัติทั้งหลายที่จำเป็นต้องมีตามตำแหน่งงาน
ซึ่งระบุไว้ในใบกำหนดหน้าที่งาน (Job Description) เพื่อจะได้มองตัวเองให้รอบคอบมากขึ้นครับ
อีกทางหนึ่งนั้นพึงมองว่าเรามีจุดแข็งหรือศักยภาพในเรื่องใดบ้างที่อาจจะนำไปใช้กับการทำงานแล้วได้คุณค่าและสร้างผลลัพธ์ที่ดีออกมาให้หน่วยงานและองค์กรในภายนี้และภายหน้า
เมื่อได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้อย่างถ้วนถี่แล้ว
ก็ให้มีจัดทำแผนพัฒนาตัวเอง (Self Development Plan) หรือที่ท่านอาจจะได้ยินว่า
แผนพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan)
โดยวางแผนให้ตอบครบทุกหัวข้อต่อไปนี้
- ความรู้ ทักษะและพฤติกรรมเรื่องใดที่ต้องการพัฒนา
- ความรู้ ทักษะและพฤติกรรมที่ต้องการพัฒนานั้นจะทำด้วยวิธีการใดจึงจะได้ผล และใครที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้บ้าง
- ใช้ระยะเวลาการพพัฒนาในแต่ละเรื่องของความรู้ ทักษะและพฤติกรรมนานเท่าใด
- ผลลัพธ์ที่ต้องการและตัวชี้วัดเพื่อสะท้อนความสำเร็จหรือการบรรลุผลลัพธ์ ที่ต้องการมีอะไรบ้าง
เมื่อวางแผนพัฒนาตัวเองแล้ว
ขั้นตอนที่ยากที่สุดและลำบากอย่างมากที่ท่านต้องผ่านมันไปให้ได้คือการ “ลงมือ”
พัฒนาตัวเองตามแผนที่กำหนดไว้ และทำมันอย่างสม่ำเสมอ
หากความรู้ที่ท่านต้องการเพิ่มเติมทำได้ด้วยการค้นคว้าอ่านหนังสือท่านก็ควรต้องตั้งมั่นและมีวินัยกับการอ่านหนังสือเพื่อให้รู้จริง
และหากทักษะที่ขาดไปนั้นเพิ่มพูนได้ด้วยการฝึกฝน (practicing)
ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน พร้อมกับขอรับคำแนะนำและสะท้อนกลับผลงาน (feedback) ก็ต้องทำเช่นนั้นอย่างคงเส้นคงวา จึงจะเกิดผลอย่างคาดหวังได้
สำคัญตรงที่อย่าท้อแล้วล้มเลิกการทำตามความตั้งใจดีดีไปกลางคัน
เพราะต้องยอมรับก่อนว่าการพัฒนาตัวเองให้ได้ผลต้องอาศัยการมีวินัยและความตั้งใจอย่างแรงกล้า
หากทำได้เช่นนี้ ตำแหน่งใหม่ที่ใหญ่ขึ้นในปีหน้า
ย่อมอยู่ไม่ไกลจะไปถึงครับ
ติดตามบทความอื่นที่น่าสนใจได้ใน http://chatchawal-ora.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น