ทักษะการสื่อสาร (Communication
Skills)
เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่จะต้องหมั่นฝึกฝนให้ดีคงหนีไม่พ้นการฟัง
(Listening)
บางท่านอาจจะบอกว่าเรื่องแบบนี้ได้ฟังมาบ่อยครั้งแล้ว ซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้น
แต่ก็น่าสนใจว่า
ทั้งที่การฟังเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยแต่ทำไมเรายังฟังคนอื่นได้ไม่ค่อยดีเพียงพอนัก
แถมหลายครั้งพอฟังกันไปก็ชวนให้ขัดข้องหมองใจกันตามหลัง
ตัวอย่างเช่นขณะที่ฟังเราก็ยังพูดขัดจังหวะอีกฝ่ายที่ยังพูดไม่จบ
การฟังที่ดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย
เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
ธรรมดาของคนเราที่ไม่ค่อยได้ฝึกฝนทักษะการฟังอย่างจริงจังมีกจะชอบประกาศความคิดตัวเองออกมาให้คนอื่นรู้ด้วยการพูดเป็นหลัก ธรรมชาติของคนจึงอยากที่จะพูดมากกว่าอยากที่จะฟังทั้งที่คนเรามีหูสองข้างเอาไว้ฟัง
และมีปากเพียงหนึ่งเอาไว้พูด แสดงว่าธรรมชาติสร้างมาให้เราฟังมากกว่าพูด ซึ่งเราก็รู้ข้อดีกันดี
บางคนเข้าใจไปว่ายิ่งตัวเองพูดมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่ามีความรู้มากเท่านั้น
บางคราวคนอื่นพูดมายังไม่ทันทีก็สวนตอบกลับไปแบบไม่สนใจสารที่เขาสื่อออกมาแม้แต่น้อย
บรรยากาศการพูดคุยแบบนี้ คงอ่อนเพลียละเหี่ยใจน่าดูนะครับ
ผมได้เรียนรู้มาว่าเวลาที่คนเราพูดสิ่งใดออกมานั้น
หมายถึงเขากำลังจัดระเบียบความคิดอ่านของตัวเองเพื่อนำเสนอออกมาเป็นการพูด
การรับฟังอย่างตั้งใจของเราจึงช่วยให้เขาได้นำเสนอความคิดอ่านออกมาจนครบถ้วนกระบวนความ
เมื่อเป็นเช่นนี้ การพูดสวนขัดจังหวะขณะคนอื่นพูด
จึงเป็นอะไรที่ไม่ดีทั้งในแง่การเสียมรรยาทและทำลายการเรียบเรียงและนำเสนอความคิดของคนอื่นที่พูดกับเราอย่างที่ไม่น่าจะทำ
ผมมีประสบการณ์กับตัวเองว่าการฟังอย่างเงียบ
ๆ และตั้งอกตั้งใจ จึงเป็นอะไรที่ไม่เพียงทำให้เราได้สารครบถ้วนจึงทั้งเนื้อสารและความรู้สึกที่แฝงมากับสาร
กิริยาอาการและภาษากายที่ผู้พูดแสดงออกมาระหว่างนั้น
แต่ยังเป็นเสมืองหนึ่งการส่งผ่านความรู้สึกดีดีจากเราไปยังคนฟังอีกทางด้วย
นอกจากบทความสั้น ๆ นี้ ผมแนะนำให้ท่านได้ลองอ่านบทความเรื่อง “ฟังอย่างไรให้ได้สารครบถ้วน” ที่ผมเขียนไว้ในหนังสือชื่อ “60
เคล็ด (ไม่) ลับ UP ผลงาน” ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพชรประกายเพิ่มเติมนะครับ
รับรองว่าจะได้แง่คิดที่น่าสนใจของการฟังอีกเรื่องหนึ่งมาประดันสมองแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น