วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

One-on-one Monday Morning Brief งานเริ่มต้นของเช้าวันจันทร์

ในบทบาทของการเป็นหัวหน้างาน ไม่ว่าจะมีตำแหน่งผู้จัดการ หรือผู้อำนวยการหน่วยงานระดับใด การวางแผน มอบหมายและติดตามงานนับว่าเป็นภาระงานหนึ่งที่หัวหน้าทั้งหลายจะต้องเรียนรู้จักเทคนิค เครื่องมือ วิธีปฏิบัติหรือแนวปฏิบัติ และลงมือบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ


เรื่องที่อยากชวนคุยในวันนี้คือ ทำอย่างไรดีหัวหน้าจึงจะติดตามงานที่ได้มอบหมายลูกน้องในทีมหรือในหน่วยงานไปแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลายองค์กรกำหนดให้ติดตามงานกันด้วยการประชุมทุกเช้าทุกวันหรือที่คุ้นเคยกันว่า “Morning Brief” ให้ลูกน้องได้มา update งานที่ทำในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานสำคัญและงานเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายกันไปในวันที่ผ่าน ๆ มา
หลายองค์กรกำหนดวันต่างออกไปเป็นทุกวันศุกร์เช้า (Friday Morning Talk) เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน
โดยความต้องการเดียวกับที่ผ่านมา สำหรับผมเลือกใช้ทุกวันจันทร์เช้า (Monday Morning Brief) ที่เป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ทำงานแล้วให้แต่ละหัวหน้าหน่วยงาน (ผู้จัดการแผนก) ในสังกัดมา Update ความคืบหน้าของงาน โดยตีกรอบ Agenda ไว้เลยว่า สิ่งที่ผู้จัดการ (อาจจะนำหัวหน้าส่วน) เข้ามาพูดคุยกันด้วยได้ประกอบด้วยงานที่ปิด Job  เสร็จไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และงานที่ยังค้างและต้องทำต่อให้จบในสัปดาห์นั้นและสัปดาห์ต่อไป พร้อมกับให้สะท้อนประเด็นปัญหา ข้อติดขัด และการแก้ไขที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
โดยเหตุที่ผมโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบในเทคนิคการโค้ชงาน (Coaching) อย่างมากและผมก็พยายามที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการโค้ชงานและการแนะนำให้คำปรึกษางานกับลูกทีมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ประกอบกับผมตั้งเป้าส่วนตัวที่จะพัฒนาลูกทีมในระดับรองลงไปให้มีฝีไม้ลายมือแข็งแกร่งเติบโตมาทำหน้าที่ในตำแหน่งงานที่ผมรับผิดชอบได้ในอนาคต ผมจึงกำหนดให้ผู้จัดการเข้ามาพูดคุยกับผมแบบตัวต่อตัว (One-on-one Meeting) หน่วยงานละไม่เกิน 20 นาที
และมีข้อแม้ให้ผู้จัดการแต่ละหน่วยงานต้องเตรียม Presentation มานำเสนอกับผมด้วย ตาม Agenda ที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น  
ทุกเช้าวันจันทร์ ผมจะเริ่มต้นด้วยการเชิญผู้จัดการเรียงรายคนเข้าไปพูดคุยกันในห้องประชุม โดยเรียงจากแผนก HRM  -> แผนก HRD -> แผนก Office Management   และปิดท้ายด้วยหน่วยงานความปลอดภัย (SHE Unit) ที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลด้วยตามลำดับ
ในเวลาที่จำกัด นอกจากการโค้ชงานในบางงานที่ลูกทีมมีปัญหา ผมยังใช้โอกาสนี้เพื่อชมเชยและให้คำแนะนำบางสิ่งที่ควรต้องปรับปรุงในมุมมองของผม โดยเฉพาะในบางงานที่ผมเองได้รับ Feedback ลงมาจากผู้บริหารระดับเหนือกว่า
แรก ๆ ที่ทำ One-on-one Monday Morning Brief นี้ ก็ดูเงอะเงอะงะงะ ลูกทีมมากันแบบงง ๆ ไม่ค่อยได้เตรียมอะไรมาคุยมากนัก แถมบางคนเดินเข้ามาคุยกับผมแบบนักเรียนถูกครูเรียก  ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมก็ตระหนักดีและพยายามโน้มนำให้เห็นคุณค่าของการที่ทำกำลังทำกันอยู่นี้  แต่แม้จะติดขัดไปมาก ผมก็ไม่เคยลดละที่จะพยายามทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ได้เป็นพิษภัยเช่นนี้กับลูกทีม
อีกเรื่องที่ผมคิดว่าเกิดประโยชน์มากจากการคุยกับแบบตัวต่อตัวนี้คือ ผู้จัดการคนที่เข้ามาพูดคุย รวมทั้งน้องหัวหน้าส่วนที่มาคุยด้วยจะได้นำเสนออะไรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงใจว่าจะกระทบกับอีกหน่วยงานหนึ่ง เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบการติติงกันอย่างสร้างสรรค์ เช่นบางคราวทีม HRD เล่าให้ฟังว่าทีม Recruit ที่อยู่ฝั่ง HRM ส่งข้อมูลรายชื่อพนักงานเริ่มงานใหม่มากระชั้นชิดจนจัดปฐมนิเทศพนักงานใหม่ไม่ทันรอบต้นเดือน ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะเหตุผลใด  ผมจะขอให้ทีม HRD บอกว่าจะแก้ไขประเด็นนี้อย่างไร มากกว่าที่จะบอกว่ามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้
เพราะความที่ผมไม่เคยคิดจะ “แบ่งแยกแล้วปกครอง (Divide & Rule)” การคุยกันแบบตัวต่อตัวเช่นนี้ของผม จึงไม่สู้จะมีปัญหามากนัก ที่มีอยู่บ้างก็คงเป็นปัญหาที่ผมไม่สามารถสื่อสารทุกเรื่องไปยังทุกคนได้  ซึ่งผมก็จะหาทางแก้ไขกันต่อไป
หนักกว่านั้นในช่วงแรก    ผมต้องทำหน้าที่นั่งรอให้ลูกทีมเข้ามาพบ ไม่ว่าจะเพราะความไม่คุ้นเคยหรือไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ผมก็รู้ดีว่าหากผมพับฐานกลับบ้าน ถอดใจไม่ทำเรื่องเช่นนี้แล้ว  เรื่องใหญ่กว่านี้ก็คงจะไม่มีใครใส่ใจเป็นแน่
สำหรับหัวหน้าบางท่าน การรอลูกน้องมารายงานงานที่ทำนี้ ช่างเป็นอะไรที่สุดแทนจะหงุดหงิดหัวใจเหลือเกิน แต่กับผมแล้วถือว่าไม้ใช่เรื่องที่เรา feedback กันไม่ได้ โดยประโยคที่ผมมักจะใช้พูดคุยกับน้อง ๆ ผู้จัดการแผนกเสมอคือ หากเราไม่ทำเป็นตัวอย่างที่คงเส้นคงวาไว้ วันข้างหน้าเราก็จะคาดหวังความคงเส้นคงวาแบบนี้กับน้องรุ่นถัดมาลำบากเหมือนกัน
คิดแบบนี้ได้ สบายใจมากกว่าที่จะไปนั่งหงุดหงิดตะขิดตะขวงใจ จริงมั้ยครับ !!!!
มีหลายคราวที่ผมก็คิดว่าหากเราเดินจะไปคุยกับน้องที่โต๊ะทำงานเลยน่าจะเหมาะกว่า อนแรกผมเองคิดจะใช้วิธีเดินไปคุยที่โต๊ะของเขาเลยเพื่อความเป็นกันเอง แต่วิธีนี้ก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่มีความเป็นส่วนตัว จนอาจจะทำให้พูดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีนั่งรอในห้องประชุมนี่แหละ
ผมไม่เคยรีรอที่จะใช้โอกาสดีดีแบบนี้ช่วยแนะนำการจัดลำดับความสำคัญของงานงานน้องในทีมกับผมให้ SYNC กันให้มากที่สุด และผมก็มักจะได้จังหวะดีดีกับการ SYNC งานของผมจากงานของน้อง กับสิ่งที่เจ้านายมอบหมายมาด้วย เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยครับ
ลองนำไปทำดูสิครับ เพียงแต่ด้วยความที่หน่วยงานของผมไม่ใหญ่มาก (ตามประสางาน HR คงมีคนเยอะเหมือนกับหน่วยงานสนับสนุนอื่นเช่นบัญชี หรือ IT ไม่ได้) หากหน่วยงานของท่านมีลูกทีมเยอะมาก ก็อาจจะต้องใช้วิธีการประชุมพร้อม ๆ กันไปเลยจะเหมาะสมกว่า  
เรื่องดีดีแบบนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครที่เป็นหัวหน้าทีมและมีลูกน้องไม่เยอะมาก จะลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูก็ได้นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น