วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เลิก 7 อย่างเพื่อความเบิกบานของชีวิต


 
ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที (ว่าไปจริง ๆ แล้วก็อีกแค่วันสองวันเท่านั้น หุหุ.....) คนเรามักต้องการให้ได้มาหรืออยากจะปลดเปลื้องออกไป  บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเราก็ต้องการให้มีเพื่อให้มีความสุขหรือประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เช่น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนร่วมงานที่อัธยาศัยใจคอดี มีน้ำใจช่วยเหลือกัน เป็นต้น  แต่ก็มีอีกหลายอย่างเราเองต้องรู้จักที่จะลดมันลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นการดำเนินชีวิตทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของเราอาจอับเฉาไปได้
 
ไม่แปลกเลยที่จะบอกว่า หากเราอยากได้สิ่งดีดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ก็ต้องรู้จักลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดีกับชีวิตออกไปให้มากที่สุดควบคู่กันไป     
 
วันนี้ ผมอยากจะแชร์คำแนะนำเพื่อให้ท่านได้ทบทวนและพยายาม “เลิก 7 อย่าง” ต่อไปนี้ให้ได้
 
(1)  เลิกโทษตัวเอง / โทษคนอื่น
 
หมายถึงเลิกโทษคนอื่นที่ทำให้งานหรือชีวิตของตัวเองไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะคนอื่นมีบทบาทกับเราก็เพียงในระดับหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดเป็นแน่ และถึงแม้เราจะโทษเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ทำให้อะไรต่าง ๆ หวนกลับมาดีขึ้นเหมือนเดิมได้ ซึ่งจะยังทำให้เราคิดแต่หวังพึ่งในสิ่งอื่นใดที่ไม่ควรพึ่ง โดยเฉพาะไม่พึ่งตัวเอง ยิ่งโทษแต่คนอื่นนานเข้าเราก็จะเข้าข่ายกลายเป็นพวกไร้ความสามารถไปเสียอีก ไม่ดีแน่เลยจริงมั้ยครับ
 
อีกอย่างที่ควรเลิกคือ “เลิกโทษตัวเองเสียที”  ตัวผมเองบ่อยครั้งเคยโทษตัวเองว่าเกิดมามีมันสมองไม่ดี เรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเหมือนกับคนอื่นที่มีโอกาสดีกว่า แต่จนแล้วจนรอด การนั่งโทษตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ผมกลับมามีชีวิตหรือหน้าที่การงานที่ดีขึ้น  ตรงกันข้าม ผมกลับจมดิ่งลงในวังวนของความคิดทางลบที่ไม่สร้างสรรค์ คือ พาลอิจฉาคนโน้นคนนี้สารพัด ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของผมเสียหน่อย ผมจึงกลับหลังหัน มองในมุมใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ให้ตัวเองดีขึ้นจะดีกว่า แล้วพมก็พบว่า โลกนี้มีอะไรให้ทำอีกมากมาย ซึ่งผมคิดไม่ได้ตอนที่มัวแต่นั่งโทษตัวเองหรือโทษคนอื่น    
 
(2)  เลิกบ่น
 
บางคราวที่เราคับข้องใจจากคนรอบข้างที่บ้านหรือที่ทำงานก็ตาม  ขอให้รู้จักควบคุมความคิดและมีสติไม่ให้หลุดแสดงอารมณ์หรือกิริยาใด ๆ ที่ไม่เหมาะสมออกมา หมั่นนึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ (Maturity) ที่เราคนโตทั้งหลายจะต้อง “มี” ไว้ให้มั่น  โดยเฉพาะอย่าได้เผลอไผลไปบ่นกระปอดกระแปดให้ใครฟัง เพราะไม่มีใคร แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดที่อยากฟัง “คำบ่น” ที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์จากเราหรอก  แม้เขาจะรับได้ ก็มิใช่เรื่องที่เขาจะต้องรับจากเราจริงมั้ยครับ หากไม่เลิกมันเสียแล้วเพื่อนบ่นสวนกลับมาว่า “ไม่มีอะไรดีดีจะพูดอีกแล้วหรืองัย”  นั่นหมายถึงเราใกล้เสียผู้ใหญ่มากเข้าไปทุกทีแล้วครับ  
 
(3)  เลิกตัดสิน
 
ผมว่าเราทุกคนต่างเคยตัดสินคนอื่น เช่นมองว่าคนอื่นไม่เก่งเท่าเรา  มองว่าเรามีบุคลิกภาพดีกว่าเขา หรือมีฐานะร่ำรวยกว่าเขา มาบ้าง มากน้อยต่างกันไปตามจริตในใจของแต่ละคน แต่ใครกันหรือที่อยากฟังคำตัดสินเช่นนั้นจากปากของเรา  ไม่มีใครที่ตื่นเช้าขึ้นมาส่องกระจกดูตัวเองแล้วบ่นด่าหน้าตาตัวเองว่าไม่หล่อไม่สวยเหมือนดาราฉันใด ก็ไม่มีใครที่อยากจะได้ยินการตัดสินตัวเองจากคนอื่นฉันนั้นล่ะครับ
 
สิ่งที่เราควรให้มากกว่าคือความรู้สึกเมตตา เห็นอกเห็นใจใครทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสหรือทรัพยากรเท่ากับเรา หากจะให้ดีควร “ให้” คนอื่นในสิ่งที่ตัวเองมีล้นเหลือบ้าง อย่างน้อยเพื่อจรรโลงให้การอยู่ด้วยกันมีบรรยากาศที่อภิรมย์มากขึ้น   
 
(4)  เลิกเครียด / เลิกกังวล
 
หลายสิ่งในชีวิตของเรานั้นมันมีเงื่อนไขและเวลากำกับไว้ เช่นหากอยากให้เจ้านายขึ้นเงินเดือนมากมากก็ต้องพยายามทำงานให้สำเร็จ พิสูจน์ฝีมือและฉายประกายศักยภาพในการทำงานของเราให้ปรากฎ เป็นต้น แทนที่จะกังวลและเครียดไปว่าหัวหน้าจะขึ้นเงินเดือนให้เท่าไรนะ ? หากขึ้นน้อยเราจะลาออกดีหรือเปล่า ? ก็ขอให้คิดและพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่ (งานได้ผล ตัวเองก็เป็นสุข)  อย่าไปกังวลกับอะไรต่าง ๆ ที่ยังมาไม่ถึงเพราะมันไม่ใช่เวลาของมัน
 
ขอให้ระลึกเสมอว่าความเครียดและความกังวลทั้งหลาย นอกจากจะบั่นทอนสุขภาพกายชวนให้เป็นโรคสารพัดแล้ว มันยังทำลายสุขภาพใจของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อใจไม่เต็มร้อย ก็คิดอ่านหาทางทำงานหรือแก้ไขปัญหาเรื่องใดก็สะดุดติดขัดไปเสียหมด  ขอให้ท่านเรียนรู้ที่จะละวางมัน หรือระลึกถึง “อุเบกขาธรรม” แล้วกลับไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองเสียดีกว่า
 
(5)  เลิกอยากได้อยากมี
 
ความอยากได้อยากมีเป็นเรื่องปกติของคนเราที่ยังอยู่วังวนของโลกียะ (เรื่องทางโลก) จะตัดขาดไปได้ก็คงแต่พระอรหันต์ที่เพียรปฏิบัติอันชอบแล้วเท่านั้น แต่ความอยากได้อยากมีต้องอยู่บนพื้นฐานของการได้มาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หรือไม่ลักขโมย หรือทำร้ายช่วงชิงเอามาจากคนอื่น และที่ยอดเยี่ยมคือการเพียรพยายามให้ได้มาด้วยกำลังกายและกำลังสติปัญญาของเราเอง เพราะนั่นย่อมคุ้มค่ากับความรู้สึกของเราที่สุดแล้ว   
 
ไม่ค่อยมีอะไรในชีวิตที่เพียงพอกับความต้องการของเราหรอกครับ มีแต่ความ “พอเพียง” เท่านั้นที่ทำให้เราอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข  ปุถุชนคนที่ร่ำรวยร้อยล้านพันล้าน ก็มักอยากได้อยากมีเป็นพันล้านหมื่นล้านอยู่นั่นเอง  แต่ถ้าเรารู้จักพอเพียงแล้ว มีมีเงินเหลืออยู่ร้อยบาท ก็ทำให้เรามีความสุขได้ตามกำลังที่มี   
 
(6)  เลิกฟุ้งซ่าน
 
เลิกคิดมากกับเรื่องเล็ก ๆ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียที อย่าหยายามตั้งคำถามกับสารพัดทุกเรื่องอย่างไม่หยุดหย่อน ผมไม่ได้บอกให้ท่านหยุดที่จะตั้งคำถาม แต่ควรเลือกตั้งคำถามที่มีคุณค่ากับการหาคำตอบ เช่น ไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่าเพื่อนจะรักเราหรือไม่รัก เพราะตราบที่เราเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ มีนิสัยใจคอและความประพฤติอันดีแล้ว ย่อมไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนไม่รักเราเป็นแน่  หรือไม่เขาไม่รักเพราะเขาไม่รู้จัก เขาคนอื่นนั้นก็จะไม่มาทำอะไรที่เป็นผลร้ายกับเราเป็นแน่ ยกเว้น อุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจริง ๆ พร้อมกันนั้นก็อย่าพูดเล่นเสียทุกเรื่อง หรือเสียจนหาแก่นสาระของชีวิตไม่ได้ เพราะจะทำให้คนอื่นมองเราได้ว่าเป็นพวกไร้สาระ อันนี้ก็ไม่ดีครับ    
 
(7)  เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
 
การผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่ดีกับการใช้ชีวิตในการทำงานแต่อย่างใด  มีแต่ทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือเพราะส่งมอบงานของเราให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เสร็จตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ ซ้ำร้ายยังทำให้เรารู้สึกติดค้างอะไรบ้างอย่างในใจอยู่ตลอด แทนที่จะสุขเพราะคิดว่าได้เก็บปัญหาไว้ใต้พรมแล้ว กลับทุกข์เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะปะทุขึ้นมาเมื่อใดและร้ายแรงขนาดไหน
 
ทางที่ดีลงมือทำมันเสียเลยดีกว่า
 
เพื่อฝึกอุปนิสัยลงมือทำและลดการผลัดวันประกันพรุ่ง นอกเหนือจากการรู้จักจัดระเบียบงาน การจัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว ผมขอแนะนำให้ท่านลองทำตาม “กฎ 2 นาที” ของ David Allen คนเขียนหนังสือเรื่อง “Getting Things Done  ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจที่จะทำอะไรได้ง่ายขึ้น โดยกฎข้อนี้แนะนำให้พิจารณาว่าหากงานใดที่ต้องใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ให้ลงมือทำไปเลยเพราะยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรมากมายนักอยู่แล้ว และจะช่วยลดภาวะ “เอาไว้ก่อนหรือ “เดี๋ยวก่อน” ลงได้อย่างมาก และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสามารถเอาชนะความเฉื่อยทั้งหลายที่เคยฉุดเราไว้ และทำงานอะไรได้นานขึ้นเรื่อยๆ  
 
หากเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ รับรองชีวิตส่วนตัวและการงานเบิกบานแน่นอนครับ  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น