ไม่แปลกเลยที่จะบอกว่า หากเราอยากได้สิ่งดีดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ก็ต้องรู้จักลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดีกับชีวิตออกไปให้มากที่สุดควบคู่กันไป
วันนี้ ผมอยากจะแชร์คำแนะนำเพื่อให้ท่านได้ทบทวนและพยายาม “เลิก 7 อย่าง” ต่อไปนี้ให้ได้
(1) เลิกโทษตัวเอง / โทษคนอื่น
หมายถึงเลิกโทษคนอื่นที่ทำให้งานหรือชีวิตของตัวเองไม่ประสบความสำเร็จเสียที
เพราะคนอื่นมีบทบาทกับเราก็เพียงในระดับหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดเป็นแน่
และถึงแม้เราจะโทษเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ทำให้อะไรต่าง ๆ
หวนกลับมาดีขึ้นเหมือนเดิมได้ ซึ่งจะยังทำให้เราคิดแต่หวังพึ่งในสิ่งอื่นใดที่ไม่ควรพึ่ง
โดยเฉพาะไม่พึ่งตัวเอง ยิ่งโทษแต่คนอื่นนานเข้าเราก็จะเข้าข่ายกลายเป็นพวกไร้ความสามารถไปเสียอีก
ไม่ดีแน่เลยจริงมั้ยครับ
อีกอย่างที่ควรเลิกคือ “เลิกโทษตัวเองเสียที” ตัวผมเองบ่อยครั้งเคยโทษตัวเองว่าเกิดมามีมันสมองไม่ดี
เรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา
ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเหมือนกับคนอื่นที่มีโอกาสดีกว่า แต่จนแล้วจนรอด
การนั่งโทษตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ผมกลับมามีชีวิตหรือหน้าที่การงานที่ดีขึ้น ตรงกันข้าม
ผมกลับจมดิ่งลงในวังวนของความคิดทางลบที่ไม่สร้างสรรค์ คือ พาลอิจฉาคนโน้นคนนี้สารพัด
ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของผมเสียหน่อย ผมจึงกลับหลังหัน
มองในมุมใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ให้ตัวเองดีขึ้นจะดีกว่า แล้วพมก็พบว่า
โลกนี้มีอะไรให้ทำอีกมากมาย
ซึ่งผมคิดไม่ได้ตอนที่มัวแต่นั่งโทษตัวเองหรือโทษคนอื่น
(2) เลิกบ่น
บางคราวที่เราคับข้องใจจากคนรอบข้างที่บ้านหรือที่ทำงานก็ตาม
ขอให้รู้จักควบคุมความคิดและมีสติไม่ให้หลุดแสดงอารมณ์หรือกิริยาใด
ๆ ที่ไม่เหมาะสมออกมา หมั่นนึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ (Maturity)
ที่เราคนโตทั้งหลายจะต้อง “มี” ไว้ให้มั่น โดยเฉพาะอย่าได้เผลอไผลไปบ่นกระปอดกระแปดให้ใครฟัง
เพราะไม่มีใคร แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดที่อยากฟัง “คำบ่น”
ที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์จากเราหรอก
แม้เขาจะรับได้ ก็มิใช่เรื่องที่เขาจะต้องรับจากเราจริงมั้ยครับ
หากไม่เลิกมันเสียแล้วเพื่อนบ่นสวนกลับมาว่า “ไม่มีอะไรดีดีจะพูดอีกแล้วหรืองัย” นั่นหมายถึงเราใกล้เสียผู้ใหญ่มากเข้าไปทุกทีแล้วครับ
(3) เลิกตัดสิน
ผมว่าเราทุกคนต่างเคยตัดสินคนอื่น
เช่นมองว่าคนอื่นไม่เก่งเท่าเรา
มองว่าเรามีบุคลิกภาพดีกว่าเขา หรือมีฐานะร่ำรวยกว่าเขา มาบ้าง มากน้อยต่างกันไปตามจริตในใจของแต่ละคน
แต่ใครกันหรือที่อยากฟังคำตัดสินเช่นนั้นจากปากของเรา ไม่มีใครที่ตื่นเช้าขึ้นมาส่องกระจกดูตัวเองแล้วบ่นด่าหน้าตาตัวเองว่าไม่หล่อไม่สวยเหมือนดาราฉันใด
ก็ไม่มีใครที่อยากจะได้ยินการตัดสินตัวเองจากคนอื่นฉันนั้นล่ะครับ
สิ่งที่เราควรให้มากกว่าคือความรู้สึกเมตตา
เห็นอกเห็นใจใครทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสหรือทรัพยากรเท่ากับเรา หากจะให้ดีควร “ให้”
คนอื่นในสิ่งที่ตัวเองมีล้นเหลือบ้าง
อย่างน้อยเพื่อจรรโลงให้การอยู่ด้วยกันมีบรรยากาศที่อภิรมย์มากขึ้น
(4) เลิกเครียด / เลิกกังวล
หลายสิ่งในชีวิตของเรานั้นมันมีเงื่อนไขและเวลากำกับไว้
เช่นหากอยากให้เจ้านายขึ้นเงินเดือนมากมากก็ต้องพยายามทำงานให้สำเร็จ
พิสูจน์ฝีมือและฉายประกายศักยภาพในการทำงานของเราให้ปรากฎ เป็นต้น แทนที่จะกังวลและเครียดไปว่าหัวหน้าจะขึ้นเงินเดือนให้เท่าไรนะ
? หากขึ้นน้อยเราจะลาออกดีหรือเปล่า ? ก็ขอให้คิดและพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด
รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่ (งานได้ผล ตัวเองก็เป็นสุข) อย่าไปกังวลกับอะไรต่าง ๆ
ที่ยังมาไม่ถึงเพราะมันไม่ใช่เวลาของมัน
ขอให้ระลึกเสมอว่าความเครียดและความกังวลทั้งหลาย
นอกจากจะบั่นทอนสุขภาพกายชวนให้เป็นโรคสารพัดแล้ว มันยังทำลายสุขภาพใจของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อใจไม่เต็มร้อย ก็คิดอ่านหาทางทำงานหรือแก้ไขปัญหาเรื่องใดก็สะดุดติดขัดไปเสียหมด ขอให้ท่านเรียนรู้ที่จะละวางมัน หรือระลึกถึง “อุเบกขาธรรม”
แล้วกลับไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองเสียดีกว่า
(5) เลิกอยากได้อยากมี
ความอยากได้อยากมีเป็นเรื่องปกติของคนเราที่ยังอยู่วังวนของโลกียะ
(เรื่องทางโลก) จะตัดขาดไปได้ก็คงแต่พระอรหันต์ที่เพียรปฏิบัติอันชอบแล้วเท่านั้น
แต่ความอยากได้อยากมีต้องอยู่บนพื้นฐานของการได้มาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
หรือไม่ลักขโมย หรือทำร้ายช่วงชิงเอามาจากคนอื่น และที่ยอดเยี่ยมคือการเพียรพยายามให้ได้มาด้วยกำลังกายและกำลังสติปัญญาของเราเอง
เพราะนั่นย่อมคุ้มค่ากับความรู้สึกของเราที่สุดแล้ว
ไม่ค่อยมีอะไรในชีวิตที่เพียงพอกับความต้องการของเราหรอกครับ
มีแต่ความ “พอเพียง” เท่านั้นที่ทำให้เราอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข ปุถุชนคนที่ร่ำรวยร้อยล้านพันล้าน ก็มักอยากได้อยากมีเป็นพันล้านหมื่นล้านอยู่นั่นเอง แต่ถ้าเรารู้จักพอเพียงแล้ว
มีมีเงินเหลืออยู่ร้อยบาท ก็ทำให้เรามีความสุขได้ตามกำลังที่มี
(6) เลิกฟุ้งซ่าน
เลิกคิดมากกับเรื่องเล็ก ๆ
หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียที
อย่าหยายามตั้งคำถามกับสารพัดทุกเรื่องอย่างไม่หยุดหย่อน
ผมไม่ได้บอกให้ท่านหยุดที่จะตั้งคำถาม แต่ควรเลือกตั้งคำถามที่มีคุณค่ากับการหาคำตอบ
เช่น ไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่าเพื่อนจะรักเราหรือไม่รัก เพราะตราบที่เราเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์
มีนิสัยใจคอและความประพฤติอันดีแล้ว
ย่อมไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนไม่รักเราเป็นแน่
หรือไม่เขาไม่รักเพราะเขาไม่รู้จัก
เขาคนอื่นนั้นก็จะไม่มาทำอะไรที่เป็นผลร้ายกับเราเป็นแน่ ยกเว้น อุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจริง
ๆ พร้อมกันนั้นก็อย่าพูดเล่นเสียทุกเรื่อง หรือเสียจนหาแก่นสาระของชีวิตไม่ได้
เพราะจะทำให้คนอื่นมองเราได้ว่าเป็นพวกไร้สาระ อันนี้ก็ไม่ดีครับ
(7) เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
การผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่ดีกับการใช้ชีวิตในการทำงานแต่อย่างใด
มีแต่ทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือเพราะส่งมอบงานของเราให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เสร็จตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้
ซ้ำร้ายยังทำให้เรารู้สึกติดค้างอะไรบ้างอย่างในใจอยู่ตลอด แทนที่จะสุขเพราะคิดว่าได้เก็บปัญหาไว้ใต้พรมแล้ว
กลับทุกข์เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะปะทุขึ้นมาเมื่อใดและร้ายแรงขนาดไหน
ทางที่ดีลงมือทำมันเสียเลยดีกว่า
เพื่อฝึกอุปนิสัยลงมือทำและลดการผลัดวันประกันพรุ่ง
นอกเหนือจากการรู้จักจัดระเบียบงาน การจัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว ผมขอแนะนำให้ท่านลองทำตาม
“กฎ 2 นาที” ของ David Allen คนเขียนหนังสือเรื่อง “Getting
Things Done”
ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจที่จะทำอะไรได้ง่ายขึ้น โดยกฎข้อนี้แนะนำให้พิจารณาว่าหากงานใดที่ต้องใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ให้ลงมือทำไปเลยเพราะยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรมากมายนักอยู่แล้ว
และจะช่วยลดภาวะ “เอาไว้ก่อน” หรือ “เดี๋ยวก่อน” ลงได้อย่างมาก
และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสามารถเอาชนะความเฉื่อยทั้งหลายที่เคยฉุดเราไว้
และทำงานอะไรได้นานขึ้นเรื่อยๆ
หากเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ รับรองชีวิตส่วนตัวและการงานเบิกบานแน่นอนครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น