วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

One-on-one Monday Morning Brief งานเริ่มต้นของเช้าวันจันทร์

ในบทบาทของการเป็นหัวหน้างาน ไม่ว่าจะมีตำแหน่งผู้จัดการ หรือผู้อำนวยการหน่วยงานระดับใด การวางแผน มอบหมายและติดตามงานนับว่าเป็นภาระงานหนึ่งที่หัวหน้าทั้งหลายจะต้องเรียนรู้จักเทคนิค เครื่องมือ วิธีปฏิบัติหรือแนวปฏิบัติ และลงมือบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพ


เรื่องที่อยากชวนคุยในวันนี้คือ ทำอย่างไรดีหัวหน้าจึงจะติดตามงานที่ได้มอบหมายลูกน้องในทีมหรือในหน่วยงานไปแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลายองค์กรกำหนดให้ติดตามงานกันด้วยการประชุมทุกเช้าทุกวันหรือที่คุ้นเคยกันว่า “Morning Brief” ให้ลูกน้องได้มา update งานที่ทำในแต่ละวัน โดยเฉพาะงานสำคัญและงานเร่งด่วนที่ได้รับมอบหมายกันไปในวันที่ผ่าน ๆ มา
หลายองค์กรกำหนดวันต่างออกไปเป็นทุกวันศุกร์เช้า (Friday Morning Talk) เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน
โดยความต้องการเดียวกับที่ผ่านมา สำหรับผมเลือกใช้ทุกวันจันทร์เช้า (Monday Morning Brief) ที่เป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์ทำงานแล้วให้แต่ละหัวหน้าหน่วยงาน (ผู้จัดการแผนก) ในสังกัดมา Update ความคืบหน้าของงาน โดยตีกรอบ Agenda ไว้เลยว่า สิ่งที่ผู้จัดการ (อาจจะนำหัวหน้าส่วน) เข้ามาพูดคุยกันด้วยได้ประกอบด้วยงานที่ปิด Job  เสร็จไปแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา และงานที่ยังค้างและต้องทำต่อให้จบในสัปดาห์นั้นและสัปดาห์ต่อไป พร้อมกับให้สะท้อนประเด็นปัญหา ข้อติดขัด และการแก้ไขที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
โดยเหตุที่ผมโดยส่วนตัวแล้วชื่นชอบในเทคนิคการโค้ชงาน (Coaching) อย่างมากและผมก็พยายามที่จะใช้เวลาให้คุ้มค่ากับการโค้ชงานและการแนะนำให้คำปรึกษางานกับลูกทีมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ประกอบกับผมตั้งเป้าส่วนตัวที่จะพัฒนาลูกทีมในระดับรองลงไปให้มีฝีไม้ลายมือแข็งแกร่งเติบโตมาทำหน้าที่ในตำแหน่งงานที่ผมรับผิดชอบได้ในอนาคต ผมจึงกำหนดให้ผู้จัดการเข้ามาพูดคุยกับผมแบบตัวต่อตัว (One-on-one Meeting) หน่วยงานละไม่เกิน 20 นาที
และมีข้อแม้ให้ผู้จัดการแต่ละหน่วยงานต้องเตรียม Presentation มานำเสนอกับผมด้วย ตาม Agenda ที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้น  
ทุกเช้าวันจันทร์ ผมจะเริ่มต้นด้วยการเชิญผู้จัดการเรียงรายคนเข้าไปพูดคุยกันในห้องประชุม โดยเรียงจากแผนก HRM  -> แผนก HRD -> แผนก Office Management   และปิดท้ายด้วยหน่วยงานความปลอดภัย (SHE Unit) ที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลด้วยตามลำดับ
ในเวลาที่จำกัด นอกจากการโค้ชงานในบางงานที่ลูกทีมมีปัญหา ผมยังใช้โอกาสนี้เพื่อชมเชยและให้คำแนะนำบางสิ่งที่ควรต้องปรับปรุงในมุมมองของผม โดยเฉพาะในบางงานที่ผมเองได้รับ Feedback ลงมาจากผู้บริหารระดับเหนือกว่า
แรก ๆ ที่ทำ One-on-one Monday Morning Brief นี้ ก็ดูเงอะเงอะงะงะ ลูกทีมมากันแบบงง ๆ ไม่ค่อยได้เตรียมอะไรมาคุยมากนัก แถมบางคนเดินเข้ามาคุยกับผมแบบนักเรียนถูกครูเรียก  ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมก็ตระหนักดีและพยายามโน้มนำให้เห็นคุณค่าของการที่ทำกำลังทำกันอยู่นี้  แต่แม้จะติดขัดไปมาก ผมก็ไม่เคยลดละที่จะพยายามทำในสิ่งที่คิดว่าไม่ได้เป็นพิษภัยเช่นนี้กับลูกทีม
อีกเรื่องที่ผมคิดว่าเกิดประโยชน์มากจากการคุยกับแบบตัวต่อตัวนี้คือ ผู้จัดการคนที่เข้ามาพูดคุย รวมทั้งน้องหัวหน้าส่วนที่มาคุยด้วยจะได้นำเสนออะไรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องเกรงใจว่าจะกระทบกับอีกหน่วยงานหนึ่ง เพียงแต่ต้องอยู่ในกรอบการติติงกันอย่างสร้างสรรค์ เช่นบางคราวทีม HRD เล่าให้ฟังว่าทีม Recruit ที่อยู่ฝั่ง HRM ส่งข้อมูลรายชื่อพนักงานเริ่มงานใหม่มากระชั้นชิดจนจัดปฐมนิเทศพนักงานใหม่ไม่ทันรอบต้นเดือน ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเพราะเหตุผลใด  ผมจะขอให้ทีม HRD บอกว่าจะแก้ไขประเด็นนี้อย่างไร มากกว่าที่จะบอกว่ามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้
เพราะความที่ผมไม่เคยคิดจะ “แบ่งแยกแล้วปกครอง (Divide & Rule)” การคุยกันแบบตัวต่อตัวเช่นนี้ของผม จึงไม่สู้จะมีปัญหามากนัก ที่มีอยู่บ้างก็คงเป็นปัญหาที่ผมไม่สามารถสื่อสารทุกเรื่องไปยังทุกคนได้  ซึ่งผมก็จะหาทางแก้ไขกันต่อไป
หนักกว่านั้นในช่วงแรก    ผมต้องทำหน้าที่นั่งรอให้ลูกทีมเข้ามาพบ ไม่ว่าจะเพราะความไม่คุ้นเคยหรือไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ผมก็รู้ดีว่าหากผมพับฐานกลับบ้าน ถอดใจไม่ทำเรื่องเช่นนี้แล้ว  เรื่องใหญ่กว่านี้ก็คงจะไม่มีใครใส่ใจเป็นแน่
สำหรับหัวหน้าบางท่าน การรอลูกน้องมารายงานงานที่ทำนี้ ช่างเป็นอะไรที่สุดแทนจะหงุดหงิดหัวใจเหลือเกิน แต่กับผมแล้วถือว่าไม้ใช่เรื่องที่เรา feedback กันไม่ได้ โดยประโยคที่ผมมักจะใช้พูดคุยกับน้อง ๆ ผู้จัดการแผนกเสมอคือ หากเราไม่ทำเป็นตัวอย่างที่คงเส้นคงวาไว้ วันข้างหน้าเราก็จะคาดหวังความคงเส้นคงวาแบบนี้กับน้องรุ่นถัดมาลำบากเหมือนกัน
คิดแบบนี้ได้ สบายใจมากกว่าที่จะไปนั่งหงุดหงิดตะขิดตะขวงใจ จริงมั้ยครับ !!!!
มีหลายคราวที่ผมก็คิดว่าหากเราเดินจะไปคุยกับน้องที่โต๊ะทำงานเลยน่าจะเหมาะกว่า อนแรกผมเองคิดจะใช้วิธีเดินไปคุยที่โต๊ะของเขาเลยเพื่อความเป็นกันเอง แต่วิธีนี้ก็มีจุดอ่อนตรงที่ไม่มีความเป็นส่วนตัว จนอาจจะทำให้พูดเรื่องบางเรื่องไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องใช้วิธีนั่งรอในห้องประชุมนี่แหละ
ผมไม่เคยรีรอที่จะใช้โอกาสดีดีแบบนี้ช่วยแนะนำการจัดลำดับความสำคัญของงานงานน้องในทีมกับผมให้ SYNC กันให้มากที่สุด และผมก็มักจะได้จังหวะดีดีกับการ SYNC งานของผมจากงานของน้อง กับสิ่งที่เจ้านายมอบหมายมาด้วย เรียกว่า ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวเลยครับ
ลองนำไปทำดูสิครับ เพียงแต่ด้วยความที่หน่วยงานของผมไม่ใหญ่มาก (ตามประสางาน HR คงมีคนเยอะเหมือนกับหน่วยงานสนับสนุนอื่นเช่นบัญชี หรือ IT ไม่ได้) หากหน่วยงานของท่านมีลูกทีมเยอะมาก ก็อาจจะต้องใช้วิธีการประชุมพร้อม ๆ กันไปเลยจะเหมาะสมกว่า  
เรื่องดีดีแบบนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ใครที่เป็นหัวหน้าทีมและมีลูกน้องไม่เยอะมาก จะลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูก็ได้นะครับ

วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เลิก 7 อย่างเพื่อความเบิกบานของชีวิต


 
ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที (ว่าไปจริง ๆ แล้วก็อีกแค่วันสองวันเท่านั้น หุหุ.....) คนเรามักต้องการให้ได้มาหรืออยากจะปลดเปลื้องออกไป  บางสิ่งบางอย่างในชีวิตเราก็ต้องการให้มีเพื่อให้มีความสุขหรือประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน เช่น ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนร่วมงานที่อัธยาศัยใจคอดี มีน้ำใจช่วยเหลือกัน เป็นต้น  แต่ก็มีอีกหลายอย่างเราเองต้องรู้จักที่จะลดมันลงให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นการดำเนินชีวิตทั้งในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวของเราอาจอับเฉาไปได้
 
ไม่แปลกเลยที่จะบอกว่า หากเราอยากได้สิ่งดีดีเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ก็ต้องรู้จักลดละเลิกสิ่งที่ไม่ดีกับชีวิตออกไปให้มากที่สุดควบคู่กันไป     
 
วันนี้ ผมอยากจะแชร์คำแนะนำเพื่อให้ท่านได้ทบทวนและพยายาม “เลิก 7 อย่าง” ต่อไปนี้ให้ได้
 
(1)  เลิกโทษตัวเอง / โทษคนอื่น
 
หมายถึงเลิกโทษคนอื่นที่ทำให้งานหรือชีวิตของตัวเองไม่ประสบความสำเร็จเสียที เพราะคนอื่นมีบทบาทกับเราก็เพียงในระดับหนึ่งซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดเป็นแน่ และถึงแม้เราจะโทษเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ทำให้อะไรต่าง ๆ หวนกลับมาดีขึ้นเหมือนเดิมได้ ซึ่งจะยังทำให้เราคิดแต่หวังพึ่งในสิ่งอื่นใดที่ไม่ควรพึ่ง โดยเฉพาะไม่พึ่งตัวเอง ยิ่งโทษแต่คนอื่นนานเข้าเราก็จะเข้าข่ายกลายเป็นพวกไร้ความสามารถไปเสียอีก ไม่ดีแน่เลยจริงมั้ยครับ
 
อีกอย่างที่ควรเลิกคือ “เลิกโทษตัวเองเสียที”  ตัวผมเองบ่อยครั้งเคยโทษตัวเองว่าเกิดมามีมันสมองไม่ดี เรียนไม่เก่งเหมือนคนอื่นเขา ไม่ได้จบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเหมือนกับคนอื่นที่มีโอกาสดีกว่า แต่จนแล้วจนรอด การนั่งโทษตัวเองก็ไม่ได้ทำให้ผมกลับมามีชีวิตหรือหน้าที่การงานที่ดีขึ้น  ตรงกันข้าม ผมกลับจมดิ่งลงในวังวนของความคิดทางลบที่ไม่สร้างสรรค์ คือ พาลอิจฉาคนโน้นคนนี้สารพัด ทั้งที่เขาก็ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของผมเสียหน่อย ผมจึงกลับหลังหัน มองในมุมใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ให้ตัวเองดีขึ้นจะดีกว่า แล้วพมก็พบว่า โลกนี้มีอะไรให้ทำอีกมากมาย ซึ่งผมคิดไม่ได้ตอนที่มัวแต่นั่งโทษตัวเองหรือโทษคนอื่น    
 
(2)  เลิกบ่น
 
บางคราวที่เราคับข้องใจจากคนรอบข้างที่บ้านหรือที่ทำงานก็ตาม  ขอให้รู้จักควบคุมความคิดและมีสติไม่ให้หลุดแสดงอารมณ์หรือกิริยาใด ๆ ที่ไม่เหมาะสมออกมา หมั่นนึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ (Maturity) ที่เราคนโตทั้งหลายจะต้อง “มี” ไว้ให้มั่น  โดยเฉพาะอย่าได้เผลอไผลไปบ่นกระปอดกระแปดให้ใครฟัง เพราะไม่มีใคร แม้แต่เพื่อนสนิทที่สุดที่อยากฟัง “คำบ่น” ที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์จากเราหรอก  แม้เขาจะรับได้ ก็มิใช่เรื่องที่เขาจะต้องรับจากเราจริงมั้ยครับ หากไม่เลิกมันเสียแล้วเพื่อนบ่นสวนกลับมาว่า “ไม่มีอะไรดีดีจะพูดอีกแล้วหรืองัย”  นั่นหมายถึงเราใกล้เสียผู้ใหญ่มากเข้าไปทุกทีแล้วครับ  
 
(3)  เลิกตัดสิน
 
ผมว่าเราทุกคนต่างเคยตัดสินคนอื่น เช่นมองว่าคนอื่นไม่เก่งเท่าเรา  มองว่าเรามีบุคลิกภาพดีกว่าเขา หรือมีฐานะร่ำรวยกว่าเขา มาบ้าง มากน้อยต่างกันไปตามจริตในใจของแต่ละคน แต่ใครกันหรือที่อยากฟังคำตัดสินเช่นนั้นจากปากของเรา  ไม่มีใครที่ตื่นเช้าขึ้นมาส่องกระจกดูตัวเองแล้วบ่นด่าหน้าตาตัวเองว่าไม่หล่อไม่สวยเหมือนดาราฉันใด ก็ไม่มีใครที่อยากจะได้ยินการตัดสินตัวเองจากคนอื่นฉันนั้นล่ะครับ
 
สิ่งที่เราควรให้มากกว่าคือความรู้สึกเมตตา เห็นอกเห็นใจใครทั้งหลายที่ไม่มีโอกาสหรือทรัพยากรเท่ากับเรา หากจะให้ดีควร “ให้” คนอื่นในสิ่งที่ตัวเองมีล้นเหลือบ้าง อย่างน้อยเพื่อจรรโลงให้การอยู่ด้วยกันมีบรรยากาศที่อภิรมย์มากขึ้น   
 
(4)  เลิกเครียด / เลิกกังวล
 
หลายสิ่งในชีวิตของเรานั้นมันมีเงื่อนไขและเวลากำกับไว้ เช่นหากอยากให้เจ้านายขึ้นเงินเดือนมากมากก็ต้องพยายามทำงานให้สำเร็จ พิสูจน์ฝีมือและฉายประกายศักยภาพในการทำงานของเราให้ปรากฎ เป็นต้น แทนที่จะกังวลและเครียดไปว่าหัวหน้าจะขึ้นเงินเดือนให้เท่าไรนะ ? หากขึ้นน้อยเราจะลาออกดีหรือเปล่า ? ก็ขอให้คิดและพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด รับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้เต็มที่ (งานได้ผล ตัวเองก็เป็นสุข)  อย่าไปกังวลกับอะไรต่าง ๆ ที่ยังมาไม่ถึงเพราะมันไม่ใช่เวลาของมัน
 
ขอให้ระลึกเสมอว่าความเครียดและความกังวลทั้งหลาย นอกจากจะบั่นทอนสุขภาพกายชวนให้เป็นโรคสารพัดแล้ว มันยังทำลายสุขภาพใจของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อใจไม่เต็มร้อย ก็คิดอ่านหาทางทำงานหรือแก้ไขปัญหาเรื่องใดก็สะดุดติดขัดไปเสียหมด  ขอให้ท่านเรียนรู้ที่จะละวางมัน หรือระลึกถึง “อุเบกขาธรรม” แล้วกลับไปทำในสิ่งที่สร้างสรรค์กับตัวเองเสียดีกว่า
 
(5)  เลิกอยากได้อยากมี
 
ความอยากได้อยากมีเป็นเรื่องปกติของคนเราที่ยังอยู่วังวนของโลกียะ (เรื่องทางโลก) จะตัดขาดไปได้ก็คงแต่พระอรหันต์ที่เพียรปฏิบัติอันชอบแล้วเท่านั้น แต่ความอยากได้อยากมีต้องอยู่บนพื้นฐานของการได้มาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม หรือไม่ลักขโมย หรือทำร้ายช่วงชิงเอามาจากคนอื่น และที่ยอดเยี่ยมคือการเพียรพยายามให้ได้มาด้วยกำลังกายและกำลังสติปัญญาของเราเอง เพราะนั่นย่อมคุ้มค่ากับความรู้สึกของเราที่สุดแล้ว   
 
ไม่ค่อยมีอะไรในชีวิตที่เพียงพอกับความต้องการของเราหรอกครับ มีแต่ความ “พอเพียง” เท่านั้นที่ทำให้เราอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข  ปุถุชนคนที่ร่ำรวยร้อยล้านพันล้าน ก็มักอยากได้อยากมีเป็นพันล้านหมื่นล้านอยู่นั่นเอง  แต่ถ้าเรารู้จักพอเพียงแล้ว มีมีเงินเหลืออยู่ร้อยบาท ก็ทำให้เรามีความสุขได้ตามกำลังที่มี   
 
(6)  เลิกฟุ้งซ่าน
 
เลิกคิดมากกับเรื่องเล็ก ๆ หรือเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียที อย่าหยายามตั้งคำถามกับสารพัดทุกเรื่องอย่างไม่หยุดหย่อน ผมไม่ได้บอกให้ท่านหยุดที่จะตั้งคำถาม แต่ควรเลือกตั้งคำถามที่มีคุณค่ากับการหาคำตอบ เช่น ไม่ต้องตั้งคำถามหรอกว่าเพื่อนจะรักเราหรือไม่รัก เพราะตราบที่เราเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ มีนิสัยใจคอและความประพฤติอันดีแล้ว ย่อมไม่มีมนุษย์ปกติคนไหนไม่รักเราเป็นแน่  หรือไม่เขาไม่รักเพราะเขาไม่รู้จัก เขาคนอื่นนั้นก็จะไม่มาทำอะไรที่เป็นผลร้ายกับเราเป็นแน่ ยกเว้น อุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจริง ๆ พร้อมกันนั้นก็อย่าพูดเล่นเสียทุกเรื่อง หรือเสียจนหาแก่นสาระของชีวิตไม่ได้ เพราะจะทำให้คนอื่นมองเราได้ว่าเป็นพวกไร้สาระ อันนี้ก็ไม่ดีครับ    
 
(7)  เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
 
การผลัดวันประกันพรุ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่ดีกับการใช้ชีวิตในการทำงานแต่อย่างใด  มีแต่ทำให้เราขาดความน่าเชื่อถือเพราะส่งมอบงานของเราให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องไม่เสร็จตามกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ ซ้ำร้ายยังทำให้เรารู้สึกติดค้างอะไรบ้างอย่างในใจอยู่ตลอด แทนที่จะสุขเพราะคิดว่าได้เก็บปัญหาไว้ใต้พรมแล้ว กลับทุกข์เพราะไม่รู้ว่าปัญหาจะปะทุขึ้นมาเมื่อใดและร้ายแรงขนาดไหน
 
ทางที่ดีลงมือทำมันเสียเลยดีกว่า
 
เพื่อฝึกอุปนิสัยลงมือทำและลดการผลัดวันประกันพรุ่ง นอกเหนือจากการรู้จักจัดระเบียบงาน การจัดลำดับความสำคัญของงานแล้ว ผมขอแนะนำให้ท่านลองทำตาม “กฎ 2 นาที” ของ David Allen คนเขียนหนังสือเรื่อง “Getting Things Done  ซึ่งจะช่วยให้เราตัดสินใจที่จะทำอะไรได้ง่ายขึ้น โดยกฎข้อนี้แนะนำให้พิจารณาว่าหากงานใดที่ต้องใช้เวลาน้อยกว่าสองนาทีก็ให้ลงมือทำไปเลยเพราะยังไงก็ไม่ได้เสียแรงเสียเวลาอะไรมากมายนักอยู่แล้ว และจะช่วยลดภาวะ “เอาไว้ก่อนหรือ “เดี๋ยวก่อน” ลงได้อย่างมาก และพอเราเริ่มทำมันบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสามารถเอาชนะความเฉื่อยทั้งหลายที่เคยฉุดเราไว้ และทำงานอะไรได้นานขึ้นเรื่อยๆ  
 
หากเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ รับรองชีวิตส่วนตัวและการงานเบิกบานแน่นอนครับ  

ระวังพนักงานมือดีจากไปเพราะ “หัวหน้ามือไม่ถึง”



เคยได้ยินคำว่า “People don’t leave their companies, they leave their bosses”  (หรือที่แปลกันเป็นภาษาไทยอย่างง่ายๆ  ได้ว่าคนทำงานนั้นไม่ได้ลาออกจากบริษัทหรอก แต่ลา (หนี) จากหัวหน้าต่างหาก) กันไหมครับ  


ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายจะคุ้นเคยเป็นแน่ และผมเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งบทเรียนสำคัญของคนที่ทำงานเป็นหัวหน้าจะต้องพึงระวังและตระหนักให้มากเข้าไว้  


คราวก่อนที่ผมได้ไปเป็นวิทยากรให้กับบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่ง (ไม่ขอเอ่ยชื่อนะครับ) เรื่องเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานอย่างพนักงานมืออาชีพ (Enhance your Work Result by Working Like Professional)  มีน้องผู้เข้าอบรมคนหนึ่งพูดว่า ทุกวันนี้เขาทำงานอย่างไม่ค่อยสบายใจ และพอใกล้เที่ยงเมื่อไรก็จะหาเวลา “หางานใหม่” ไปเรื่อย ๆ ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ค่อยเหมาะ แต่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกที่ไม่อยากทำงานที่บริษัทนี้อีกต่อไป  


ผมซักไปว่า หากวันหนึ่งน้องลาออก น้องลาออกเพราะองค์กรไม่เหมาะหรือเหตุอื่นใด


คำตอบจากปากของน้องท่านนี้ที่ว่า “แม้เงินเดือนน้อยงานหนักก็จะทน สภาพแวดล้อมที่ทำงานไม่ค่อยหรูหราก็ยังพอรับไหว แต่หากได้ลาออกไปจริง ก็เพราะหัวหน้ามากกว่าน่ะครับ ! ได้ยินแล้วน่าสนใจยิ่งนัก


ผมได้โอกาสชวนคุยต่อว่า “หากเราเลือกหัวหน้าได้ น้องอยากได้หัวหน้าแบบไหน?”


คำตอบก็น่าสนใจเช่นเคยว่า “หัวหน้าที่ทำให้เขาชื่นชมและศรัทธาในความสามารถและการปฏิบัติตัว”  


หลังฝึกอบรมผมกลับมานั่งนึกทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากน้องคนนี้ และที่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือประเด็นที่ว่าทุกวันนี้ องค์กรทั้งหลายได้รู้กันหรือเปล่าว่า ข้อความที่พนักงานที่ลาออกเขียนไว้ในการ Exit Interview ว่าได้งานใหม่ที่เงินเดือนหรือตำแหน่งดีกว่า หรือได้งานใหม่ที่มีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงานมากกว่า เป็นต้นนั้น เป็นสาเหตุหลักแท้จริงของการลาออกครั้งนั้นหรือไม่  ประสบการณ์ผมเองคิดว่า พนักงานน้อยคนนัก หากไม่ถึงจุดเดือดของหัวใจ ก็คงจะไม่ด่าหัวหน้าสั่งลาแน่นอน โดยเฉพาะในสังคมไทยที่เรื่องของการให้เกียรติและ “เกรงใจ” เป็นเรื่องใหญ่เสมอ  เหตุผลที่พนักงานเขียนถึงสาเหตุการลาออกของตัว แท้จริงแล้วจึงฟังได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น  


และที่ขาดไม่ได้คือควรพยายามหาให้ได้ว่าเหตุของการตัดสินใจลาออกจากงานของพนักงานคนหนึ่งใดนั้น มาจากหัวหน้าด้วยหรือไม่  ซึ่งหน้าที่เช่นนี้ HR และผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไปต้อง “หาให้ได้ เจาะใจให้พบ” นะครับ


ในอีกทำนองหนึ่ง ใครทั้งหลายที่เป็นหัวหน้างานเองก็ควรหมั่นสังเกตว่าวันนี้ ท่านปฏิบัติกับลูกน้องของท่านอย่างเหมาะสมในหลายเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้หรือยัง
  • ชัดเจนในเป้าหมายงาน
  • เลือกใช้คนให้ถูกกับงาน
  • สั่งงาน มอบหมายงานอย่างชัดเจน
  • ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกน้อง
  • รู้จักชื่นชมความสำเร็จ และติติงอย่างสร้างสรรค์เวลาที่งานไม่สำเร็จ
  • ไม่ตำหนิลูกน้องให้ได้เสียหน้า
เป็นต้น  


หากคำตอบคือยัง หรือทำสิ่งต่าง ๆ ตามตัวอย่างที่ผมเขียนไปนี้อยู่บ้างแต่น้อยมาก เห็นทีหัวหน้างานทั้งหลายต้องทบทวนตัวเองเสียหน่อย  เพิ่มความใส่ใจกับการปฏิบัติกับคนรอบข้างอีกสักนิด  หาโอกาสและลงมือทำจริงให้ได้


พร้อมกับอย่าลืมว่า ทุกวันนี้ คนทำงานที่จะทำงานให้ได้อย่างมืออาชีพนั้นมีไม่มากนักในตลาดแรงงาน ยิ่งภาวะเศรษฐกิจแบบขาขึ้น (คือขาขึ้นก่ายหน้าผาก) เช่นในปัจจุบันนี้ การรับคนใหม่เข้ามาทดแทนคนเก่าที่ลาออกไปอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่องค์กรอยากทำนัก และก็ไม่มีอะไรการันตีว่าหากได้คนใหม่มาแล้วจะทำงานได้เหมือนกับคนเก่าหรือไม่  


และที่น่าใจหายสำหรับหัวหน้าแบบ “มือไม่ถึง” นี้คือคนที่จากไปมักจะเป็นพวกที่ทำงานได้ดี เก่งและมีความสามารถ ซึ่งเค้าพร้อมจะไปร่วมงานกับองค์กรไหนก็ได้ (จริงมั้ยครับ) นานเข้านานเข้า คนที่ยังคงเหลือกับท่านก็จะเป็นคนทำงานแบบ “ไปวัน ๆ ”  อันนี้ยิ่งเสียหายกับองค์กรไปกันใหญ่


คงเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่น้อยเลยนะครับ หากเราต้องเสียพนักงานคนเก่งคนดีไป โดยที่หัวหน้าไม่ได้สำเหนียกแม้แต่น้อยเลยว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือส่วนหลักของสาเหตุของเรื่องนี้