วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

“ตกงาน” อย่าตกใจ ปล่อยให้จิตตก

คนทำงานอย่างท่านและผม มักคับข้องใจอยู่เสมอว่าองค์กรธุรกิจที่เราร่วมงานหรือทำงานให้ทุกวันนี้ จะก้าวเดินไปอย่างตลอดรอดฝั่งหรือไม่  ยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจตกสะเก็ด  อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโงหัวไม่ขึ้น  ซ้ำร้ายกลุ่มหลากสียังจ้องเคลื่อนไหวทางการเมืองกดดันสารพัดเรื่องให้กระทบกับคนทำงาน  การค้าการลงทุนยิ่งย่อยแย่บลงไปตามส่วน นานวันเข้าก็รุมเร้าให้องค์กรโซเซ ไม่มั่นใจว่าจะเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปไหวหรือไม่  คนทำงานก็อาจจะเสี่ยงกับการ “ตกงาน”  ชวนให้ตกใจและจิตตกไปตามกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไร  การตกงานแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตนเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่าอาจมาถึงตัวเราแบบไม่ทันได้ตั้งตัว  หรือในสถานการณ์ที่องค์กรต้องควบรวมกิจการกับคนอื่นเขา แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่าดีแล้ว เพราะ HR บอกล่วงหน้ากันมาระดับหนึ่ง แต่พอจะถึงวันที่ต้องจากกันไป โดยเฉพาะคนทำงานที่อายุมากแล้ว  แถมตำแหน่งหน้าที่การงานก็ยังไม่ถึงระดับบริหารเสียทีก็ย่อมตกใจมากขึ้น
หากต้องตกงานแล้ว  ท่านควรจะคิดอย่างไรดี  บทความนี้มีคำตอบครับ
(1) ตั้งสติให้มั่น -  การมีสติเป็นบ่อเกิดของปัญญาซึ่งจะช่วยให้เรารู้จักคิดและนำไปสู่การหาคำตอบของการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเรามัวแต่สติแตกเราก็จะไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้ ทางออกหรือการแก้ปัญหาของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่สถานะของแต่ละคน เช่น สถานะการเงิน ภาระหน้าที่ในการผ่อนชำระหนี้สิน และ ค่าใช้จ่ายรายเดือน ดังนั้นการวิเคราะห์สถานะการเงินและค่าใช้จ่ายรายเดือนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่จะต้องรู้เพื่อที่คุณจะสามารถใช้ในการวิเคราะห์ในขั้นตอนต่อไปซึ่งก็คือการบริหารจัดการการเงินของคุณระหว่างที่รองานใหม่ ถ้าค่าใช้จ่ายของคุณมากเกินไปคุณจำเป็นที่จะต้องลดค่าใช้จ่ายค่าใช้โดยแยกค่าใช้จ่ายชองคุณเป็นสองประเภท คือ “need” หรือ “want”  Need หมายถึงสิ่งที่จำเป็นที่ในชีวิตประจำวันขาดไม่ได้เช่น อาหาร น้ำ เป็นต้น Want หมายถึงสิ่งของที่คุณอยากได้เช่นรถยนต์ราคาแพง อาหารหรูๆ เสื้อผ้าแพงๆ ถ้าค่าใช้จ่ายรายเดือนตกอยู่ในประเภท Want คุณควรจะตัดค่าใช้จ่ายเหล่านั้นเพื่อลดภาระหนี้สิน
(2) อย่าอับอายหรืออับจนหนทาง  -  ชีวิตคนเรานั้นไม่สุขเสมอไปหรอกครับ  ย่อมสุขเศร้าเหงารักคละเคล้ากันไปทั้งนั้น  เรามักจะได้ยินบ่อยครั้งว่าคนที่ตกงานมักจะรู้สึกว่าตนเองแย่ ชีวิตไม่อยู่หรือน่าสมเพช หรืออะไรทำนองนั้น นี่เป็นวิธีคิดแบบลบ ๆ ที่ยิ่งจะชวนให้ตกบ่วงความทุกข์ระทมซึมลึกมากขึ้นทุกที คิดแบบนี้บ่อยครั้งเข้ายิ่งทำลายความมั่นใจ และกลายเป็นอุปสรรคในการสร้างความมุ่งมั่นเพื่อที่จะหางานใหม่
ลองติดตามข่าวการเลิกจ้างงานของประเทศอื่นสิครับ จะพบว่า เดี๋ยวก็มีข่าวบริษัทนั้นบริษัทนี้ โละคนงานหลายพันคน  บางองค์กรปลดคนเพราะภาวะเศรษฐกิจรัดตัวหลายหมื่นคน บางองค์กรลอยแพปิดตัวเพราะเดินหน้าทำธุรกิจต่อไปไม่ไหว เดือดร้อนลูกจ้างต้องมาห้องร้องกันถึงโรงถึงศาล  คนที่พบปัญหาที่ว่าเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเราในวันนี้ แล้วเราจะยอมแพ้ เดินเข้ามุม หรือมัวแต่ตีอกชกตัวทำไป  
(3)  มองมุมใหม่ ไม่เดินทางลบ –  เมื่อต้องตกงาน ก็ต้องคิดหาทางหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีทั้งความมุ่งมั่นในการหางานใหม่ และมุ่งมั่นกับการมองหาสิ่งที่ดีกว่าเดิมต่อเติมประสบการณ์ที่เคยผ่านมาให้มากขึ้น  อย่ามัวแต่คิดว่าเราแก่แล้ว หรือเรารู้น้อยองค์กรอื่นเค้าจะรับเข้าทำงานเหรอ  เพราะคิดลบลบแบบไหนก็ได้ผลตอบรับแบบลบ ๆ เช่นเดียวกัน  คิดลบมากหนักเข้าก็จะซึมเศร้าหันไปพึ่งพาทางลัดหาเงินจากการพนัน เสี่ยงโชคซึ่งมักจะนำนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างคาดไม่ถึง
(4)  เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส  -  ผมอยากชวนให้คิดว่า การตกงานครั้งนี้ คือการเปลี่ยนงานเพื่อหาประสบการณ์  หากท่านต้องตกงานแล้วได้เงินชดเชยตามกฎหมายก็ยิ่งดี เพราะได้เงินติดปลายนวมมาไว้ต่อทุนในการหางานใหม่ หาประสบการณ์และพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ให้ตัวเอง  แม้จะกระทบกับชีวิตที่คุ้นเคยบ้าง แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะทุกอย่างยิ่งต้องแลกมาด้วยสิ่งหนึ่งเสมอ  ไม่ต่างจากที่ผมนั่งเขียนบทความนี้ ก็ต้องแลกกับเวลาแทนที่จะต้องพักผ่อนกับครอบครัว  แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการฝึกปรือทักษะการคิดที่เฉียบคมมากขึ้น และมากขึ้นทุกวัน
สู้เอาเวลาคิดเรื่อลบ ๆ มาคิดหาทางพัฒนาทักษะในช่วงตกงานที่อาจจะนำเราไปสู่การได้รับโอกาสการทำงานใหม่ ๆ ที่ดีกว่า ตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนมากขึ้น จะไม่ดีกว่าหรือครับ
อย่าจิตตกเพราะตกงาน แต่ควรต้องรวบรวมสติเดินหน้าต่อไป และขอให้มองทุก ๆ วันของชีวิตคือประสบการณ์อันล้ำค่าที่ท่านต้องใช้มันอย่างรอบคอบครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น