เชื่อว่าหลายท่านจะคุ้นเคย
หรืออย่างน้อยก็ต่องผ่านประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงมาบ้าง หากไม่เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงในงานที่ทำ
หรือในองค์กรที่ร่วมงาน ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันที่ว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยจะหยุดนิ่งตามภาวะสภาพแวดล้อมภายนอก แน่นอนครับว่า
การที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้สำเร็จผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้แต่น้อย
ด้วยเพราะเหตุปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงนั้นหลายคราวที่มากมายรายรอบเกินกว่าที่คิด
บางปัจจัยก็ซับซ้อนเพราะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของคนที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง นำมาซึ่งการต่อต้านเพื่อรักษาสถานภาพ (status quo)
ไม่ให้กระทบในทางลบต่อตัวเองหรือกลุ่มที่สังกัด
การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงหรือ
Change
Management จึงเป็นองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ศึกษากันมากเริ่มตั้งแต่ในชั้นเรียนจนถึงการทดลองรับมือภายในองค์กรที่ต้องประสบอยู่จริง
บทความนี้จะขอนำเสนอความคิดเห็นเล็ก
ๆ ในฐานะคนหนึ่งในพบเจอและผ่านประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมา
ซึ่งน่าเชื่อว่าจะมีประโยชน์ในแง่เป็นคำแนะนำสำหรับการเตรียมใจและเตรียมความคิดสำหรับการเปลี่ยนแปลง
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความล้มเหลวมาเยือนและอยากชวนเชิญให้ท่านผู้อ่านได้ทดลองนำไปปรับใช้ในการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่กำลังทำดังนี้ครับ
(1) เร่งร้อนที่จะเปลี่ยน – หากยิ่งเร่งที่จะเปลี่ยนแปลงโดยขาดการวางแผนและคาดการณ์ความเสี่ยงที่จะกระทบต่อคนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
มักจะนำมาซึ่งความปั่นป่วนเสมอ เปรียบเสมือนการปลูกไม้ผล
หากเร่งให้ปุ๋ยเร่งฉีดยาเพื่อกระตุ้นผลผลิตอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ผลสุดท้ายอาจพบวา
ไม้ผลล้มตายหรือแคระแกรนไม่ออกดอกออกผลอย่างที่ใจร้อนอยากได้
ในองค์กรก็เช่นเดียวกัน หากเร่งร้อนให้เกิดผลโดยไม่คิดให้รอบคอบ
ผลอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงกระทั่งส่งผลให้คนเก่งถอดใจเพราะรับไม่ไหวกับความเร่งร้อนแบบไม่คิดคาดผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบให้รอบคอบ
(2) ลืมเตรียมทีมงาน
– จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงจะราบรื่นในทุกจังหวะหรือคิดอยากจะเปลี่ยนอะไรก็ได้ผลอย่างคาดเสมอ ตรงกันข้าม
การเปลี่ยนแปลงเรื่องใดมักจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันของคนจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับภาระงานหลายอย่างที่ต้องทำให้สอดคล้องต้องกันไป
และย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเตรียมทีมงานเฉพาะกิจ (ad hoc)
มาจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนั้น
ยิ่งเปลี่ยนแปลงในเรื่องใหญ่ที่กระทบกับหลายฝ่าย
ยิ่งต้องระดมทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องมาร่วมจัดการ พร้อมกับสื่อสารทำความเข้าใจเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการจากการเปลี่ยนแปลงให้ตรงกัน
สอดประสานไปในทิศทางที่องค์กรพึงประสงค์
อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยอมรับในทีว่าบางครั้งการริเริ่มของบางบุคคลก่อนส่งต่องานให้ทีมก็เป้นสิ่งจำเป็น
เพราะการเริ่มต้นงานโดยทีมมักมีปัญหาเรื่องความล่าช้าของการขับเคลื่อนในระยะแรก
สถานการณ์เช่นนี้จึงต้องอดทนและมองในเชิงรุกด้วยการเตรียมทีมไว้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เนิ่น
จากนั้นก็ขับเคลื่อน อดทนและรอคอยผล
(3) ทำครั้งเดียวจบ
– หลายครั้งที่เราคิดและทำอย่างเร็ว
ๆ แล้วใจร้อนอยากให้เกิดผลตามมาทันทีแต่ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเราก็ท้อแท้เสียกำลังใจ
อย่างที่ผมบอกไป
การเปลี่ยนแปลงมักจะต้องอดทนรอให้เห็นผลในระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งต้องอาศับการกระทำทั้งหลายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างคงเส้นคงวา เช่น
สื่อสารการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ได้รับผลกระทบเข้าใจและร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อเค้าอย่างต่อเนื่อง
ไม่ทำเป็นแบบไฟไหม้ฟาง คือทำพรึ่บพรับแล้วก็เงียบหายไป
โดยมองการเปลี่ยนแปลงเป็นวงครเริ่มจากการวางแผน เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ จากนั้นก็ลงมือเพื่อทำการเปลี่ยนแปลง
ตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่ทำการเปลี่ยนแปลงเทียบกับเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา
จากนั้นก็มักจะต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนสิ่งที่ลงมือทำจนกว่าจะบรรลุผลตามเป้าที่ตั้งไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น