วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยสำเร็จผล


เชื่อว่าหลายท่านจะคุ้นเคย หรืออย่างน้อยก็ต่องผ่านประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงมาบ้าง  หากไม่เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงในงานที่ทำ หรือในองค์กรที่ร่วมงาน ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันที่ว่าไปแล้วก็ไม่ค่อยจะหยุดนิ่งตามภาวะสภาพแวดล้อมภายนอก  แน่นอนครับว่า การที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้สำเร็จผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้แต่น้อย ด้วยเพราะเหตุปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงนั้นหลายคราวที่มากมายรายรอบเกินกว่าที่คิด  บางปัจจัยก็ซับซ้อนเพราะส่งผลกระทบต่อสถานภาพของคนที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง  นำมาซึ่งการต่อต้านเพื่อรักษาสถานภาพ (status quo) ไม่ให้กระทบในทางลบต่อตัวเองหรือกลุ่มที่สังกัด
การจัดการกับการเปลี่ยนแปลงหรือ Change Management จึงเป็นองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ศึกษากันมากเริ่มตั้งแต่ในชั้นเรียนจนถึงการทดลองรับมือภายในองค์กรที่ต้องประสบอยู่จริง
บทความนี้จะขอนำเสนอความคิดเห็นเล็ก ๆ ในฐานะคนหนึ่งในพบเจอและผ่านประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรมา ซึ่งน่าเชื่อว่าจะมีประโยชน์ในแง่เป็นคำแนะนำสำหรับการเตรียมใจและเตรียมความคิดสำหรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความล้มเหลวมาเยือนและอยากชวนเชิญให้ท่านผู้อ่านได้ทดลองนำไปปรับใช้ในการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่กำลังทำดังนี้ครับ
(1)  เร่งร้อนที่จะเปลี่ยน   หากยิ่งเร่งที่จะเปลี่ยนแปลงโดยขาดการวางแผนและคาดการณ์ความเสี่ยงที่จะกระทบต่อคนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว มักจะนำมาซึ่งความปั่นป่วนเสมอ เปรียบเสมือนการปลูกไม้ผล หากเร่งให้ปุ๋ยเร่งฉีดยาเพื่อกระตุ้นผลผลิตอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ผลสุดท้ายอาจพบวา ไม้ผลล้มตายหรือแคระแกรนไม่ออกดอกออกผลอย่างที่ใจร้อนอยากได้ ในองค์กรก็เช่นเดียวกัน หากเร่งร้อนให้เกิดผลโดยไม่คิดให้รอบคอบ  ผลอาจจะทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรงกระทั่งส่งผลให้คนเก่งถอดใจเพราะรับไม่ไหวกับความเร่งร้อนแบบไม่คิดคาดผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบให้รอบคอบ
(2)  ลืมเตรียมทีมงาน – จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องการเปลี่ยนแปลงจะราบรื่นในทุกจังหวะหรือคิดอยากจะเปลี่ยนอะไรก็ได้ผลอย่างคาดเสมอ  ตรงกันข้าม การเปลี่ยนแปลงเรื่องใดมักจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันของคนจากหลากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรองรับภาระงานหลายอย่างที่ต้องทำให้สอดคล้องต้องกันไป และย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเตรียมทีมงานเฉพาะกิจ (ad hoc) มาจัดการกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ยิ่งเปลี่ยนแปลงในเรื่องใหญ่ที่กระทบกับหลายฝ่าย  ยิ่งต้องระดมทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องมาร่วมจัดการ พร้อมกับสื่อสารทำความเข้าใจเป้าหมายของสิ่งที่ต้องการจากการเปลี่ยนแปลงให้ตรงกัน สอดประสานไปในทิศทางที่องค์กรพึงประสงค์  อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ยอมรับในทีว่าบางครั้งการริเริ่มของบางบุคคลก่อนส่งต่องานให้ทีมก็เป้นสิ่งจำเป็น เพราะการเริ่มต้นงานโดยทีมมักมีปัญหาเรื่องความล่าช้าของการขับเคลื่อนในระยะแรก สถานการณ์เช่นนี้จึงต้องอดทนและมองในเชิงรุกด้วยการเตรียมทีมไว้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เนิ่น จากนั้นก็ขับเคลื่อน อดทนและรอคอยผล  
(3)  ทำครั้งเดียวจบ – หลายครั้งที่เราคิดและทำอย่างเร็ว ๆ แล้วใจร้อนอยากให้เกิดผลตามมาทันทีแต่ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเราก็ท้อแท้เสียกำลังใจ อย่างที่ผมบอกไป  การเปลี่ยนแปลงมักจะต้องอดทนรอให้เห็นผลในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งต้องอาศับการกระทำทั้งหลายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างคงเส้นคงวา เช่น สื่อสารการเปลี่ยนแปลงให้ผู้ได้รับผลกระทบเข้าใจและร่วมมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อเค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ทำเป็นแบบไฟไหม้ฟาง คือทำพรึ่บพรับแล้วก็เงียบหายไป โดยมองการเปลี่ยนแปลงเป็นวงครเริ่มจากการวางแผน เพื่อกำหนดเป้าหมายที่ต้องการ  จากนั้นก็ลงมือเพื่อทำการเปลี่ยนแปลง  ตรวจสอบผลที่เกิดขึ้นในระหว่างทางที่ทำการเปลี่ยนแปลงเทียบกับเป้าหมายในแต่ละช่วงเวลา จากนั้นก็มักจะต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนสิ่งที่ลงมือทำจนกว่าจะบรรลุผลตามเป้าที่ตั้งไว้ 
นี่เป็นมุมมองเล็ก ๆ ของผมเท่านั้น  ไม่อาจเคลมได้ว่า หากท่านไม่ลืมทั้งสามเรื่องที่ผมเอ่ยถึงไปแล้วท่านจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ท่านต้องการด้วยเพราะการจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลนั้นต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายอย่างประกอบ เช่น การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่องของผู้บริหารทุกฝ่าย  หรือกระทั่งทัศนคติที่พร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงของทุกฝ่ายที่ต้องรับผลกับการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ 
จึงชวนให้ท่านคิดให้รอบ มองการเปลี่ยนแปลงในทางบวกเข้าไว้ ไม่นานความสำเร็จะมาเยือนครับ !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น