ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับการมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน โดยชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่า ทัศนคติทางบวกในการทำงานนั้น
เป็นเรื่องสำคัญ และหากดูรูปแบบของทัศนคติที่หลายองค์กรมองว่าดีแล้ว ก็พบว่า
ส่วนใหญ่นั้นจะหนีไม่ไกลจากเรื่องการมีความรู้สึกภาคภูมิใจในงาน และองค์กร มีความทะเยอทะยานที่จะทำงานให้สำเร็จผลตามเป้าหมาย
รวมทั้งมีความปรารถนาอันแรงกล้า ในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ด้วยเพราะสิ่งนั้นมีคุณค่า
แม้แต่ในเวลาที่ยากลำบากก็จะผลักดันให้เรื่องนี้บรรลุผลให้ได้ อีกทั้งยังพบว่า การที่คนทำงานจะสร้างความปรารถนาอันแรงกล้าได้นั้น
เค้าจะต้องความเชื่ออย่างแข็งแกร่งในสิ่งที่เค้าเห็นว่ามีคุณค่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งานการที่รับผิดชอบก็สำเร็จลงได้ไม่ยากนัก
สรุปความแล้ว
ท่านผู้อ่านก็คงจะเห็นไม่ต่างจากผมว่าทัศนคตินั้น
เป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ก็จริง
แต่กลับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากกับการสร้างผลผลิตในงาน
และผลการทำงานตามหน้าที่รับผิดชอบ ยิ่งการมีทัศนคติทางบวกมากเท่าใด
โอกาสที่จะทำงานให้สำเร็จผล และคนทำงานร่วมกันอย่างเป็นสุขก็มีมากขึ้นตามลำดับ ในทางตรงข้ามกัน การมีทัศนคติที่แย่ ๆ คิดอะไรแต่แบบลบๆ
จะไหว้วานงานใดก็ตั้งท่าทำไม่ได้ไว้ก่อน
ย่อมยากที่จะทำงานให้เกิดผลิตภาพที่ดีได้ ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็ย่ำแย่ตามไปด้วย
และนี่เองคือเหตุผลที่หัวหน้างานทั้งหลาย
ไม่ว่าในองค์กรใด ต่างก็ต้องการคนทำงานที่มีทัศนคติทางบวกทั้งนั้น
แต่ก็มีคำถามตามมาว่า แล้วหัวหน้างานจะทำอย่างไรดี
เพื่อให้ลูกน้องมีทัศนคติอย่างที่ต้องการ?
ในบทความนี้
ผมยกให้เป็นคิวที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ทำงานกับหัวหน้างานทั้งหลาย
ที่อาจจะได้รับคำสั่งจากเจ้านายเบื้องบน ให้มาทำงานที่สุดแสนยากเย็นคือการปรับทัศนคติเพื่อให้คนทำงานในสังกัด
แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก หากเราจะทำมันอย่างมีแบบแผนและหลักการตามสมควร ซึ่งผมไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ครับ.....
1.
อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังของการมีทัศนคติที่ไม่ดีของลูกน้อง
ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มี story กันเสมอ
ดังนั้น
เรื่องแรกที่หัวหน้าทั้งหลายจะต้องหาให้ได้คือ
สาเหตุพื้นฐานที่ทำให้ลูกน้องมีทัศนคติที่ไม่ดีในการทำงาน หากลองไตร่ตรองให้ดี เรียกลูกน้องมาพูดคุยแบบกันเองและเปิดใจ
ก็อาจจะพบว่า เค้าอาจจะระทมทุกข์กับเงื่อนไขการทำงานบางอย่างที่หัวหน้าอาจจะปรับเปลี่ยน
หรือให้ความช่วยเหลือได้ แต่เค้าไม่กล้าบอก
เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นมนุษย์เจ้าปัญหา
2. ทำการเปลี่ยนแปลงเท่าที่จำเป็น
เมื่อทัศนคติไม่ดีของลูกน้อง
เป็นสิ่งที่ท่านในฐานะหัวหน้างานต้องปรับเปลี่ยน และทราบแล้วว่า
อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังของการมีทัศนคติทางลบหรือทัศนคติที่ไม่เอื้อต่อการสร้างผลงาน
(counter-productive
attitude) จากนั้น
ท่านก็ต้องเริ่มมาวางแผนในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติอย่างเป็นขั้นเป็นตอนพอสมควร
โดยเริ่มจากการหาแนวทางว่าจะลดสิ่งที่เป็นสาเหตุนั้นได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น
ท่านอาจจะพบว่า ที่ลูกน้องคิดอะไรแบบลบๆ เป็นเพราะงานประจำวันของเค้าหนักมาก
วันวันเอาแต่นั่งทะเลาะกับหน้าจอคอมพิวเตอร์
กลับบ้านตอนเย็นยังเผลอละเมอมาตอบเมล์ลูกค้า (อันนี้หนักเข้าขั้น)
ก็เลยพาลให้แต่ละวันไม่กล้ารับงานหรือเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
สิ่งที่ท่านสามารถช่วยเหลือลูกน้องได้ก็คือ การช่วยจัดลำดับความสำคัญของงาน
และกระจายงานให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นบ้างตามความเหมาะสม หากเป็นไปได้
ก็อาจจะต้องกำหนดมาตรการให้ลูกน้องนอนหลับให้สนิทเวลาอยู่ที่บ้าน
(เอ..จะรู้ได้ยังงัยล่ะ) หรือแนะนำให้ลูกน้องรู้จักพักสายตา ด้วยการงีบเล็ก ๆ (take
a nap) ในระหว่างเวลาพักกลางวัน
เพื่อเรียกความสดใสกลับคืนมาในการทำงานช่วงบ่ายของวัน แต่อยากเน้นว่า ท่านที่เป็นหัวหน้างาน
ควรเริ่มทำการปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างเท่าที่จำเป็นก่อน ไม่ลุยปรับมันซะหมด
เพราะอาจจะทำให้คนตกใจกับความเปลี่ยนแปลง กระทั่งกลัวๆ กล้า ๆ ที่จะเปิดใจคุยกับท่าน
ที่สำคัญอีกเรื่องที่ผมอยากฝากหัวหน้างานทั้งหลายไปดูให้ดี
และควรทำเพื่อให้การเปลี่ยนทัศนคติเป็นผลก็คือ
การใส่ความท้าทายในงานลงไปอีกสักนิด
หากลูกน้องทำงานเยอะอยู่แล้ว แต่ละวันก็มือเป็นระวิง
แทบจะไม่มีเวลามาทำงานอื่น ก็อย่างเพิ่งตกใจ แนะนำให้ท่านลงไปดูจริงๆ
ว่าที่งานยุ่งนั้น เป็นงานที่จริงๆ แล้วต้องทำหรือเปล่า ลดกระบวนการหรือขั้นตอนได้มั๊ย การที่ยังมีขั้นตอนการทำงานเช่นในปัจจุบันนั้น
มิได้หมายความว่าขั้นตอนการทำงานนั้นดีที่สุดแล้วทั้งในปัจจุบันและอนาคต
งานที่ทำวันนี้ อาจจะไม่จำเป็นสำหรับวันข้างหน้า หากเราปรับขั้นตอนหรือใช้ IT เข้ามาช่วย
เมื่อปริมาณงานลด ความวุ่นวายในงานที่เคยเป็นก็จะเบาบางลง
เว้นเสียแต่ลูกน้องท่านติดพฤติกรรมงานยุ่งเสียแล้ว อันนี้ก็ปรับยากหน่อยล่ะครับ
3. เน้นสร้างวิธีคิดทางบวก
คำว่าวิธีคิดนี้ก็คือ mindset มันหมายถึงภาพบางอย่างที่ปรากฏในการรับรู้และความรู้สึกของคนนั่นเอง
หากคนมีวิธีคิดว่า อะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมกระทบกับตัวเขา
เขาก็มักจะมีพฤติกรรมแสดงออกในทางต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนั้น
หากหัวหน้างานต้องการให้วิธีคิดของลูกน้องเป็นไปในเชิงบวก น่าจะลองคิดและทำเรื่องต่าง
ๆ ต่อไปนี้ครับ
·
ยอมรับกระบวนการ/ขั้นตอนงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของเรา
คิดเสียว่าเราต้องทำงานกับคนอื่น และมีอีกหลายคนที่ต้องทำให้กับเราเช่นกัน
·
ยอมรับเสียว่า
การขาดแรงจูงใจในการทำงานนั้นไม่ได้ทำให้ท่านทำงานไม่สำเร็จหรอก เหตุที่ท่านทำงานำไม่เป็นผลมักจะเกิดมาจากท่านไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้สำเร็จ
หรือท่านไม่อยากจะทำมัน หรือลักษณะของงานยากที่จะสำเร็จลงได้เป็นองค์ประกอบใหญ่ เรื่องของการขาดแรงจูงใจนั้น
เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่อาจจะชะลอให้ท่านทำงานให้เสร็จช้าลงเท่านั้น ท่านจึงต้องบอกกับน้องและเตือนท่านเองให้รู้ว่า
การเปลี่ยนทัศนคตินั้นเป็นหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันทำ และเริ่มจากคนทำงานเองเสมอ
ทำนองของแบบนี้ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง และจะให้ได้ผล คนก็ต้องมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยน
ไม่งั้นก็มองไม่เห็นความสำเร็จหรอกครับ
·
หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
เพราะคนอื่นที่เราอยากเปรียบเทียบนั้น
เค้ามักไม่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จหรือล้มเหลวในงานร่วมกันเรา
การที่ลูกน้องของท่านรู้สึกแบบนี้ ก็ยิ่งซ้ำเติมให้ระทมทุกข์ใจไปเปล่า ๆ เพราะในอีกมุมหนึ่ง เพื่อนร่วมงานก็อาจจะไม่ได้ happy อะไรกับงานที่ลูกน้องของท่าน
หรือแม้แต่ตัวท่านทำก็ได้
4. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ให้กับลูกน้อง
การที่จะปรับเปลี่ยนทัศนคติให้เป็นผล
สิ่งที่หัวหน้าจะต้องมองประกอบกันไปก็คือจุดแข็งและจุดอ่อนของลูกน้องเอง จุดแข็งคิดสิ่งที่ต้องพัฒนาให้เก่ง
เพื่อสร้างผลงานที่ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับจุดอ่อนหรือช่องว่างของฝีมือที่ควรต้องพัฒนาคู่ขนานกันไป ที่สำคัญ การพัฒนาก็ต้องทำในสิ่งที่ควรและทำอย่างมีทิศทาง ซึ่งวิธีการง่ายๆ
ก็คือการกำหนดเป้าหมายให้ลูกน้องรับรู้และทำให้ได้
ภายใต้การสนับสนุนที่เหมาะสม
กูรูหลายท่านบอกไว้ตรงกันว่า การมอบหมายงานให้ลองทำงานที่มุ่งเน้นตามเป้าหมายของงานที่กำหนด
และเป้าหมายนั้นเชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายส่วนตัวของคนทำงาน
นับว่าเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการปรับเปลี่ยนทัศนคติในงานของคนเลยนะครับ
5. ให้ลูกน้องได้ทำงานบางอย่างกับคนที่เป็นสร้างแรงบันดาลใจ
คนทำงานนั้น มักจะมี idol ในใจที่อยากจะทำให้เหมือน
ลูกน้องที่นับถือหัวหน้าเพราะหัวหน้าเป็นคนตั้งใจจริงและมุ่งมั่นกับงานมาก
ก็มักจะอยากทำงานใกล้ชิดด้วย เพราะอยากจะเติบโตไปแบบหัวหน้านั้นบ้าง
ขณะที่บางคนอาจจะอยากทำงานกับเพื่อนร่วมงานอีกคนที่เขาทำงานแล้ว มีความสุข
มีการประสานงานที่ดี และคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ
ลองปรับเปลี่ยนให้ลูกน้องของท่านได้ทำงานกับคนที่ “ใช่” ในมุมของเค้าดู
อะไรก็อาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นก็ได้นะครับ
6. เปิดใจให้ลูกน้องมาปรึกษา
ผมคิดว่าเมื่อลูกน้องติดขัด
เดินหน้าทำงานต่อไปไม่ถูกหรือไม่แน่ใจแล้ว หากหัวหน้าปล่อยให้ฟันฝ่าไปเพียงลำพัง
นานไปและบ่อยครั้งเข้า ลูกน้องก็จะเคยชินกับพฤติกรรม
“หลีกเลี่ยงการปรึกษาและรายงาน” และมักจะคิดต่อเอาเองว่า หัวหน้าคงช่วยอะไรไม่ได้
หรือไม่สนใจงานของเรามากมายนัก
หากหัวหน้าต้องการจะปรับทัศนคติและเปลี่ยนพฤติกรรมให้ได้ผล
จึงควรเริ่มต้นด้วยการเปิดใจและเปิดประตู ให้ลูกน้องเข้ามาพบพูดคุย ปรึกษาหารือกับท่านได้เสมอ
ที่จริงแล้ว บทบาทของหัวหน้างานที่ท่านจะต้องไม่ลืมก็คือ การ support ให้ลูกน้องทั้งหลาย ทำงานให้สำเร็จผลตามเป้าหมายที่วางไว้
การลอบแพลูกน้องให้ก้มหน้าก้มตาทำงานตามมีตามเกิด
เปรียบเสมือนการบ่อนทำลายความไว้วางใจและความสัมพันธ์อันดีที่ควรมีในการทำงาน
และยังบั่นทอนแรงจูงใจที่ลูกน้องควรจะต้องมีเพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของเค้าเอง
7. ทบทวนการมอบหมายงาน
เมื่อหัวหน้างานรู้แล้ว
สาเหตุส่วนหนึ่งของการมีทัศนคติที่ไม่ดีกับงานนั้นเป็นเพราะคนทำงานมักไม่ได้ใช้ความสามารถหรือสิ่งที่ถนัดในการทำงานของเขา ลองเปลี่ยนงาน หมุนเวียนงาน
หรือทบทวนการมอบหมายงานให้ลูกน้องได้ลองทำในสิ่งที่เค้าอาจจะอยากทำมากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
ในชีวิตการทำงานของผม
พบทั้งลูกน้องที่มีไฟ และไฟใกล้มอด แต่ละคนก็จะทำงานในสไตล์ที่แตกต่างกันไป
หลายคนบ่นให้ฟังดัง ๆ ว่า “ขอเพียงให้ลูกเรียนจบก็จะลาออกไปแล้ว (หัวหน้า) อย่ายุ่งมากได้มั๊ย....” แต่ก็ลืมไปว่า ไม่เคยขอลดเงินเดือนให้คุ้มกับงานที่ทำน้อยลงทุกวันที่อายุงานมากขึ้น
การให้ลูกน้องได้ทำงานที่ตรงกับจุดแข็งที่เค้ามี
และรับกันได้กับเป้าหมายในอาชีพการงานของเขา
รวมทั้งการมอบหมายงานในหน้าที่นั้นให้กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่พร้อมรับงาน
และเจตนาจะทำมากกว่าลูกน้องคนเดิม เป็นทางออกอย่างหนึ่งที่หัวหน้าควรพิจารณาปรับ
เพื่อให้การเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่องานเป็นไปอย่างได้ผล
แง่คิดของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการทำงานของลูกน้องให้เป็นผลที่ผมนำเสนอไป
เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านที่เป็นหัวหน้างานในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผมก็มองว่า
ตำราที่มีเนื้อหาเขียนไว้เป็นคำแนะนำในการปรับทัศนคติจากทางลบไปเป็นทางบวกนั้น
มีให้ท่านผู้อ่านได้ค้นหาเพื่อเรียนรู้และนำมาปฏิบัติอีกมากมาย
ไม่ใช่สูตรสำเร็จตายตัวที่จะต้องทำตามความคิดความเห็นของใคร
เพราะหลายคนก็ต่างมุมมองกันออกไป
และที่สำคัญนั้น
คิดตามก็ไม่เท่ากับลงมือทำนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น