การวิพากษ์วิจารณ์ในที่ทำงานนั้น
นับได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นเสมอ ไม่จำกัดว่าเป็นองค์กรประเภทใด
ไม่ได้หมายความว่าองค์กรที่ทำงานด้านสาธารณกุศลจะปราศจากเรื่องเหล่านี้เลย
หรือแม้ว่างานบางอย่างที่ทำจะประสบความสำเร็จลงได้อย่างงามก็ตาม
ก็มักจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามติดมาให้ได้ยินกันเป็นเรื่องปกติ
ด้วยเพราะจริตมนุษย์นั้น น้อยคนนักที่จะยอมเห็นคนอื่นมีความสำคัญเหนือกว่าตนเอง
หรือแม้จะยอมรับว่าดีกว่าในบางจุด
มนุษย์ก็ยังจะเที่ยวมองหาข้อด้อยในบางด้านของคนอื่นเพื่อมาสนับสนุนว่าตนเองเหนือกว่าเสมอ
ผู้รู้จึงพร่ำเตือนให้เราเห็นว่า
การมีปฏิสัมพันธ์ในงานและโนโลกแห่งชีวิตจริง ก็ควรจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสร้างสรรค์
(constructive
criticism) ในทำนอง “ติเพื่อก่อ”
อันจะช่วยให้เกิดมุมมองใหม่ที่แตกต่างออกไป
และจะนำมาซึ่งประโยชน์สำหรับการพัฒนาปรับปรุงงานให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ในบทความนี้ ผมจะไม่นำท่านผู้อ่านไปลงรายละเอียดว่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์นั้นคืออะไร
และจะต้องทำอย่างไรกันดี
แต่จะชวนเชิญท่านผู้อ่านมาช่วยกันคิดและทำความเข้าใจถึงวิธีการรับมือการวิพากษ์วิจารณ์ที่ท่านอาจจะพบในที่ทำงาน การทำความเข้าใจ
ยอมรับและปรับปรุงอย่างที่ผมจะได้กล่าวถึงต่อไปนี้ เชื่อว่าจะช่วยให้ท่านปลดเปลื้องทุกข์และเกิดความสุขจากการวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นที่ท่านก็มักจะเลี่ยงหลบไม่ได้
แม้อยากจะทำเพียงใดก็ตาม
เรื่องที่ 1 ยอมรับเสียเถอะว่าเราไม่ใช่ผู้ที่สมบูรณ์แบบ
หากท่านมองและเชื่อว่าสิ่งที่ท่านทำนั้นไม่มีวันผิดพลาด
ก็นับว่าท่านเข้าใจอะไรผิดอย่างมหันต์แล้ว การทำอะไรผิดพลาดไปบ้างนั้น
แท้จริงเป็นเรื่องปกติของการทำงาน สิ่งสำคัญอยู่ที่เมื่อมีข้อผิดพลาด
ท่านได้เรียนรู้อะไรจากมันต่างหาก
เรื่องที่ 2 ตรวจสอบงานให้ดี
วิธีที่จะแก้ไขข้อวิพากษ์วิจารณ์ในงานที่ผิดพลาดอย่างหนึ่งที่ทำแล้วมักได้ผลก็คือต้องพยายามปิดช่อง
ปิดโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดซ้ำหลังจากที่งานเสร็จลงและส่งงานให้กับหัวหน้าแล้ว
ให้ได้
ควรอย่างยิ่งที่ท่านจะสละเวลาอีกสักเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบทบทวนงานที่ทำอย่างรอบคอบ
ว่าตรงตามแนวปฏิบัติที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานงานหรือไม่
และผลลัพธ์เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของงานที่วางไว้จริงหรือเปล่า
การตรวจทานให้ถี่ถ้วนนี้ จะช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจจะมี
และจะทำให้ท่านมั่นใจมากขึ้นว่าหัวหน้างานจะไม่มาจี้จุดผิดพลาด เพราะท่านได้ปิดมันหมดแล้วนั่นเอง
เรื่องที่ 3 การวิจารณ์ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ในงานก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับงาน
ไม่ได้หมายถึงคนที่วิจารณ์ท่านจะไม่ชอบหน้าหรือไม่พอใจท่านแต่อย่างใด
หรือไม่ได้หมายถึงท่านไม่ดีพอสำหรับงานใดงานหนึ่งนั้นเลย เป็นไปได้ว่า
เพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าที่วิจารณ์ออกมา
มีทัศนคติหรือเจตนาเพียงแต่ให้ท่านได้ใคร่ครวญตรวจสอบให้งานออกมาดีที่สุด แต่ก็จะมีเพื่อนร่วมงานอีกจำพวกหนึ่งที่อาจจะพร้อมใส่สีตีข่าวให้ท่านต้องรู้สึกเศร้าหมอง
การที่ท่านไม่ยอมรับเอาข้อวิจารณ์ในงานมาเป็นปัญหาส่วนตัวนั้น
เท่ากับท่านได้ปลดพันธนาการแห่งความทุกข์ลงไปได้มากทีเดียว
เรื่องที่ 4 ฟังคำวิจารณ์อย่างระมัดระวัง
หากท่านเพิกเฉยกับข้อเสนอแนะและคำวิจารณ์
เป็นไปได้ที่ท่านจะวนเวียนกลับไปทำงานที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขอให้ท่านทั้งหลายจดบันทึกและเตือนตนเองอยู่เสมอว่าท่านจะต้องรับมือและแก้ไขปัญหาให้ลุล่วงไป
สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก และยุ่งยากไม่น้อยเลยนะครับ
เพราะเมื่อรู้จุดที่ต้องแก้ไขแล้วแต่ไม่ทำการปรับปรุง
ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดตามมาเช่นกัน
เรื่องที่ 5 ถามตัวเองว่าได้เรียนรู้อะไรบ้าง
หากท่านเกิดความรู้สึกไม่พอใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนร่วมงาน
หรืออาจจะมีอารมณ์โกรธถึงขนาดนั่งนับเลข 1 ถึง 100 แล้วหลายรอบก็ยังไม่ดีขึ้น ก็จะยิ่งทำให้จิตใจว้าวุ่น
ควรหมั่นเตือนตนเองเสมอว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีนั้น
ช่วยให้ท่านได้เรียนรู้ประสบการณ์บางอย่าง
ซึ่งไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ถือว่ามีคุณค่าที่หาได้ยาก จริงมั๊ยครับ ?
เรื่องที่ 6 เห็นพ้องกับคำวิจารณ์บางส่วน
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์
คนส่วนมากมันเป็นการให้ข้อมูลการทำงานในทางลบ
(negative
feedback) ซึ่งหากท่านไม่แก้ไขปัญหา โดยปล่อยให้มันผ่านไป
ก็เท่ากับท่านสูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ จากการวิพากษ์วิจารณ์นั้น ทางที่ดี
หากท่านเห็นด้วยกับคำวิพากษ์วิจารณ์บางส่วน แต่ไม่ต้องทั้งหมด
ก็เท่ากับเป็นการเปิดโลกของการเรียนรู้ขึ้นแล้ว ผู้เชียวชาญท่านบอกว่า การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์
จะช่วยสร้างเสริมประสบการณ์การทำงานเป็นทีมได้เป็นอย่างดี
เรื่องที่ 7 อย่าได้หัวเสีย
การโวยวายหรือแสดงท่าทางหัวเสียหลังจากได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์
มักจะส่งผลกระทบต่องานในปัจจุบันของท่านไม่มาก็น้อย โปรดจำไว้ว่า
ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นมีเหตุที่มา หากท่านพบว่า เพื่อนร่วมงานบางคน
ไม่ตอบรับขับสู้ท่านเท่าที่ควร หรือหัวหน้างานจัดให้ท่านเป็นบุคคล (ผลงาน)
ยอดแย่แห่งเดือน
นั่นก็หมายถึงการเปิดโอกาสให้ท่านได้พิเคราะห์ข้อวิพากษ์วิจารณ์เพื่อนำมาปรับปรุงตัว
ป่วยการที่จะไปหัวเสียหรือไม่พอใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์นั้น สู้หันกลับมาแก้ไข
และรับผิดชอบให้การทำงานเกิดผลดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จะดีกว่าอย่างมาก
อีกประการหนึ่งที่ผมอยากฝากไว้ก็คือ
หากท่านรู้สึกผิดหวังอย่างมากจากการวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนร่วมงาน
ก็จงบอกให้เขารู้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ติดค้างคาใจระหว่างกัน
กันรังแต่จะทำให้เกิดความกินแหนงแคลงใจกันไปเปล่า ขอให้จำไว้อีกเช่นกันว่า
บ่อยครั้งที่การวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ (ติเพื่อก่อ)
กลับช่วยทำให้สัมพันธภาพของคนที่ติกับคนที่ถูกติดีขึ้นกว่าเดิม
·
แม้ท่านจะมั่นใจว่าท่านทำสิ่งใดดีที่สุดแล้ว
ก็เป็นเพียงการดีที่สุดในมุมของท่าน
ขอให้มองว่าคนที่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นได้ยากนั้น
ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแท้จริง
·
เมื่อมีโอกาส
จงถกเถียงพูดคุยถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้รับ กับคนที่ท่านไว้ใจเท่านั้น
คนที่ท่านไว้ใจอาจจะช่วยให้มุมมองใหม่กับข้อวิพากษ์วิจารณ์ และท่านก็อาจจะเข้าใจมากขึ้นว่า
มันก็เป็นแค่การวิจารณ์ที่ไร้สาระ
หรือมีเหตุมีผลที่ช่วยให้ท่านนำไปใช้ปรับปรุงอะไรบางอย่างได้
·
คิดเสมอ
ก่อนที่จะตอบโต้กับถ้อยคำวิพากษ์วิจารณ์
มันจะช่วยให้ท่านปลอดพ้นจากหลากหลายปัญหาที่จะตามมาในอนาคต
·
ขอให้ทำความเข้าใจว่า การวิพากษ์วิจารณ์นั้น
กระทำกับงานของท่าน ไม่ใช่กับตัวท่าน
ตัวอย่างเช่น
หากเพื่อนร่วมงานวิจารณ์ว่าภาษาหนังสือของท่านที่เขียนถ้อยความเพื่อดำเนินการทางวินัยกับพนักงานนั้น
ไม่เป็นภาษากฎหมาย นั่นหมายถึง เพื่อนร่วมงานกำลังวิจารณ์การทำงาน ไม่ใช่วิจารณ์ตัวท่าน
และไม่ได้หมายถึงว่าเค้าไม่พอใจหรือไม่ชอบท่านเป็นการส่วนตัว
·
ขอให้มองในมุมที่ว่า
การวิพากษ์วิจารณ์ที่ทำกับงานของท่านนั้น
มีความประสงค์ที่จะทำให้การทำงานของท่านมีการพัฒนาหรือปรับปรุงในทางที่ดีขึ้น
และเป็นการดีอย่างยิ่งที่มีคนอื่นมาช่วยชี้ให้เห็นในสิ่งที่บางครั้งเราเองก็มองไม่เห็น
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราทำมันเอง จึงคิดว่า ไร้ที่ติแล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว
จึงไม่มีประโยชน์หรือความจำเป็นใดเลยที่จะต้องโต้ตอบกับการวิพากษ์วิจารณ์เช่นที่ผมว่าไปแล้ว
·
หากท่านรู้สึกว่าท่านได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากการวิพากษ์วิจารณ์ของเพื่อนร่วมงาน
หัวหน้างานหรือบุคคลอื่นที่ทำงานเกี่ยวข้องกับท่าน ก็จงเก็บอีเมล์
บันทึกหรือข้อความใดที่วิพากษ์วิจารณ์มานั้นไว้เป็นหลักฐาน
แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ท่านตอบโต้ในเรื่องใด เว้นเสียแต่การวิพากษ์วิจารณ์นั้น
ปราศจากมูลความจริง หรือมุ่งเน้นการโจมตีส่วนตัวและทำให้เสียหาย
ทั้งแก่ท่านเองและทำให้ท่านต้องตกในที่นั่งลำบาก
เมื่อนั้นก็ควรปรึกษากับผู้บังคับบัญชาที่เหนือกว่าท่าน
คิดได้แบบที่ผมนำเสนอไป
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กับงานของท่าน
ก็มองได้ว่ามันคือเสียงสวรรค์ที่สะท้อนให้ท่านได้เห็นโอกาสอันใหม่ที่จะปรับปรุงงานที่ทำ
ดีกว่าที่ท่านจะต้องมองทุกเรื่องด้วยตนเองเป็นไหน ๆ จริงมั๊ยครับ ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น