เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์การรับฟังผลการประเมินการปฏิบัติงานสองต่อสองกับหัวหน้างาน
ผมขอแนะสิ่งที่ท่านน่าจะต้องคิดและทำ ดังนี้ครับ.....
1. อ่านและทำความเข้าใจผลประเมินให้ดี
ปกติแล้ว
หัวหน้างานเค้าจะมีใบประเมินผลการทำงานและส่วนมากแล้วเค้าก็จะเตรียมจดประเด็นที่จะให้ข้อมูลผลการทำงานของท่านไว้แล้ว
และมักพบอีกว่า
หัวหน้าจะถ่ายสำเนาผลการปฏิบัติงานที่ได้ประเมินไว้มาให้กับท่านด้วย
เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียเวลานั่งอ่านให้ฟังทีละเรื่อง ท่านก็ควรต้องอ่านแบบประเมินผลการปฏิบัติงานให้ถ้วนทั่ว
ดูว่ามีข้อมูลใดหรือเปล่าที่ระบุถึงจุดที่ท่านสามารถทำผลงานได้ดี
และสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา
2.
ไม่หลงไปกับการวิพากษ์วิจารณ์
บางครั้งอาจจะเป็นไปได้ว่า
ท่านอาจจะเผลอไปตีความเอาว่าการแจ้งผลงานที่หัวหน้างานบอกนั้น
เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ท่านให้เสียหายหรือได้รับความอับอาย
แทนที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง
ปัญหาหรืออุปสรรคที่ส่งผลกระทบให้ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าที่ควรจะเป็น
กลับไปนั่งไม่พอใจกันไปเสียเลย
สุดท้ายการประเมินผลงานก็คือตัวก่อหรือกระพือความไม่สบายใจในการทำงานระหว่างกันขึ้น
ผมจึงแนะนำให้ฝ่ายหัวหน้างาน แจ้งผลการประเมินการทำงานของลูกน้องในทางสร้างสรรค์
ไม่เอาสาระกับเรื่องบุคลิกภาพ
ซึ่งเป็นอะไรที่เป็นส่วนตัวและอ่อนไหวที่คนทำงานจะรู้สึกไม่พอใจ ในขณะที่มุมลูกน้อง ก็ต้องคอยกระทุ้งให้หัวหน้าแจ้งผลที่ไม่ก้าวล่วงไปในเรื่องบุคลิกภาพส่วนบุคคล
เว้นแต่บุคลิกภาพนั้น จะเป็นอะไรที่ส่งผลกระทบต่องานบริการของท่านอย่างมาก
อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ
3.
ยอมรับความจริงว่า “เป็นธรรมดาที่คนทำงานทั้งหลาย
จะมีช่องว่างที่ต้องพัฒนากันทั้งนั้น”
คนทำงานที่ขึ้นชื่อว่าเป็น
“คนเก่ง” นั้น
เค้ามักจะมีทัศนคติต่อการให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงผลการทำงานจากหัวหน้างานอย่างเปิดกว้างและเปิดใจรับนะครับ เจ้านายที่ผมนับถือ
ท่านเคยสอนให้คนทำงานอย่างผม ทำตัวเป็นเสมือนหนึ่ง “แก้วน้ำที่วางไว้กลางสายฝน”
คือสามารถรับความรู้หรือเรื่องราวดีดีจากภายนอกได้มากมาย
แม้จะล้นเกินไปบ้างเพราะสารสนเทศความรู้นั้นมีมหาศาลแต่ก็จะมีน้ำฝนหยดใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นเสมอ
ไม่ปิดรับโอกาสที่จะพัฒนาผลการทำงานที่หัวหน้างานจะหยิบยื่นให้ ดังนั้น
ขอให้ท่านผู้อ่านกระตือรือร้นที่จะรับโอกาสการพัฒนาจากหัวหน้างาน
สอบถามเวลาที่ต้องการจะให้ทำการเรียนรู้
ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่จะไปมัวแต่นั่งคิดว่าเมื่อไรจะได้ไปฝึกอบรม เพราะแท้จริงนั้น
การพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงานนั้น
มักจะไม่ได้อะไรมากมายนักจากการไปฝึกอบรม
การทำงานจริงสิครับได้ผลยิ่งกว่า เพราะเรียนรู้จากปัญหาและสถานการณ์การทำงานที่สัมผัสได้จริง
4.
ยอมรับผลการประเมินด้วยท่าทีให้เกียรติ
บางครั้งการแจ้งผลการทำงานก็ไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านผู้อ่านเป็นเสียทั้งหมด
โดยเฉพาะหากหัวหน้าเผลอไผลไปวิจารณ์ (แนะนำ) ในเรื่องการปรับบุคลิกภาพ คนทำงานที่เป็นมืออาชีพ
จะไม่ถือเอาเรื่องเช่นนี้มาทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองหรอกนะครับ
จงรับฟังสิ่งที่หัวหน้าพูดด้วยท่าทีที่ให้เกียรติ
ชี้แจงกลับในประเด็นหรือเรื่องราวที่ไม่ใช่ ด้วยท่าทีและสีหน้าที่สุภาพ
และให้ความเคารพ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่ดีระหว่างกันมากกว่าครับ
5.
ตอบสนองเมื่อจำเป็น (เท่านั้น)
จงเก็บอาการให้อยู่
ไม่มีความจำเป็นและไม่ควรอย่างมากที่ท่านจะต้องไปตอบโต้ในสิ่งที่หัวหน้างานชี้แจงผลการประเมินการทำงาน
และให้คำแนะเพื่อการปรับปรุงผลงานในอนาคต
เว้นแต่ข้อมูลที่หัวหน้าได้รับมาไม่เป็นธรรม และไม่จริง
อันเกิดจากความผิดพลาดของหัวหน้างานเอง อย่างนี้ก็ต้องมานั่งชี้แจงทำความเข้าใจกัน
ด้วยท่าทีเช่นที่ผมพูดถึงในเรื่องก่อนหน้า พร้อมกันนี้
ผมยังอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่าน แสดงเจตนายอมรับว่าแท้จริงแล้วตนก็มีข้อบกพร่องในสิ่งที่หัวหน้าเจตนาดีต้องการให้ได้รับการพัฒนา
เพราะนั่นถือว่าเป็นโอกาสที่เปิดไว้เพื่อให้ท่านได้กลับมานั่งทบทวนว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่
และโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่คิดว่ามีอะไรเสียหายที่หัวหน้าจะทำโปรแกรมการพัฒนาเพื่อให้ทำงานได้เยี่ยมยอดขึ้น
เรื่องจากไม่ว่าอย่างไร องค์กรก็ต้องลงทุนกับเรา แต่ความรู้
ทักษะประสบการณ์ทั้งหลาย ไม่ได้ฝากธนาคารไว้นี่ครับ ตกอยู่กับตัวท่านต่างหาก
จริงมั๊ยครับ ?
6.
ถามคำถามกับสารสนเทศที่อยากรู้จากหัวหน้า
ผู้รู้ท่านแนะนำให้คนทำงานทั้งหลาย
พยายามถามตัวเองกับผลการประเมินที่หัวหน้างานแจ้งมาให้ทราบ
มากกว่าที่จะขุดคุ้ยหาเหตุผลว่าทำไมหัวหน้าจึงคิดว่าผลงานของผมเป็นแบบนั้น สมัยผมยังอายุงานและประสบการณ์ไม่มากนัก
ก็เผลอไปถามแบบเอาเรื่องเอาราวกับหัวหน้า พอโตขึ้นมาก็คิดได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่ควร
เพราะสะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติเลย
เชื่อเถอะครับว่า
เราไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของผู้ประเมินที่มีกับเราได้
สู้เราเปลี่ยนมุมมองของตัวเองไปทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้ประเมินเค้ามองการทำงานของเราดีและง่ายกว่าเป็นไหน
ๆ
7. ขอรับการฝึกอบรมในบางด้านที่ยังต้องเติม
ผมแนะนำให้เราควรจะสอบถามและชี้แจงเพียงว่าสิ่งที่เราต้องการได้รับการพัฒนาในงานนั้นเป็นเรื่องใดบ้าง
เพื่อให้การทำงานมีผลิตภาพมากขึ้น
ซึ่งจะตรงกับที่หัวหน้าคิดไว้มากหรือน้อยเพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องการฝึกอบรมเป็นการทำอะไรที่มีต้นทุนที่จะต้องจ่าย
ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่าองค์กรต้องการลงทุนกับตัวของท่านมากน้อยเพียงใด
เพราะไม่เช่นนั้นหากประเมินผลการทำงานของพนักงานทุกคนในองค์กรมาแล้ว
จะต้องไปเข้ารับการพัฒนาทุกคน HR ก็เป็นอันไม่ต้องทำอะไรนอกจากจัดการเรื่องฝึกอบรมคนทำงาน ความจริงแล้ว “คนที่ใช่”
เท่านั้นเองนะครับที่องค์กรจะทุ่มเทเพื่อให้ไปพัฒนา
และก็เป็นธรรมดาที่องค์กรจะคาดการณ์ว่าท่านจะต้องมาสร้างผลงานที่ดีตอบแทนสิ่งที่องค์กรลงทุนไป
8. มองไปในอนาคต
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดจะเกิดขึ้นหากท่านไม่ตัดทิ้งอารมณ์และวิธีคิดทางลบกับการแจ้งผลการประเมินการทำงาน
ตราบเท่าที่ยังคิดว่าไม่เป็นธรรม
ก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสจะมานั่งคุยกันเรื่องการพัฒนาผลงานหรอกนะครับ
และเมื่อใดก็ตามที่ท่านยอมรับการชี้แจงแจ้งผลการประเมินแล้ว ก็อย่าหลงตกกับดักอารมณ์ทางลบอีก
ผมขอแนะนำข้อความเด็ดที่ควรพูดกับหัวหน้า เพื่อสื่อถึงอะไรที่ดีกว่าการคิดแบบลบ ๆ
เช่น “อะไรคือสิ่งที่ผมควรจะปรับปรุงผลงานในอนาคต” เป็นต้น ดูดีกว่าเยอะมากเลยครับ
คำแนะนำ
8 เรื่องสำหรับการตอบสนองต่อการแจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานที่ผมเรียนรู้จากทั้งประสบการณ์และจากตำราที่ได้กลั่นมานำเสนอครั้งนี้
เชื่อว่าจะมีประโยชน์ที่ให้แง่คิดและมุมมองกับท่านผู้อ่าน
ในบทบาทสมมติที่ผมขอให้ท่านเป็นลูกน้องที่จะต้องรับฟังการแจ้งผลการปฏิบัติงาน (Performance
Feedback) จากหัวหน้างาน แต่หากท่านเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่แจ้งผลการปฏิบัติงานให้กับลูกน้องในสังกัดเอง
มองมุมกลับ ก็จะใช้ประโยชน์จากบทความนี้ ด้วยการทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกน้องอาจจะทำ
ดังนั้น
ไม่ว่าจะในบทบาทตามตำแหน่งใด ก็ใช้แง่คิดและแนวปฏิบัติจากบทความนี้ได้ทั้งนั้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น