วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

จะตอบอย่างไรดี เวลาหัวหน้าแจ้งผลประเมินการทำงาน

 
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์การรับฟังผลการประเมินการปฏิบัติงานสองต่อสองกับหัวหน้างาน ผมขอแนะสิ่งที่ท่านน่าจะต้องคิดและทำ ดังนี้ครับ.....  
1.  อ่านและทำความเข้าใจผลประเมินให้ดี
ปกติแล้ว หัวหน้างานเค้าจะมีใบประเมินผลการทำงานและส่วนมากแล้วเค้าก็จะเตรียมจดประเด็นที่จะให้ข้อมูลผลการทำงานของท่านไว้แล้ว และมักพบอีกว่า หัวหน้าจะถ่ายสำเนาผลการปฏิบัติงานที่ได้ประเมินไว้มาให้กับท่านด้วย เพื่อที่จะไม่ต้องมาเสียเวลานั่งอ่านให้ฟังทีละเรื่อง ท่านก็ควรต้องอ่านแบบประเมินผลการปฏิบัติงานให้ถ้วนทั่ว ดูว่ามีข้อมูลใดหรือเปล่าที่ระบุถึงจุดที่ท่านสามารถทำผลงานได้ดี และสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา  
2. ไม่หลงไปกับการวิพากษ์วิจารณ์   
บางครั้งอาจจะเป็นไปได้ว่า ท่านอาจจะเผลอไปตีความเอาว่าการแจ้งผลงานที่หัวหน้างานบอกนั้น เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ท่านให้เสียหายหรือได้รับความอับอาย แทนที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง ปัญหาหรืออุปสรรคที่ส่งผลกระทบให้ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าที่ควรจะเป็น กลับไปนั่งไม่พอใจกันไปเสียเลย สุดท้ายการประเมินผลงานก็คือตัวก่อหรือกระพือความไม่สบายใจในการทำงานระหว่างกันขึ้น ผมจึงแนะนำให้ฝ่ายหัวหน้างาน แจ้งผลการประเมินการทำงานของลูกน้องในทางสร้างสรรค์ ไม่เอาสาระกับเรื่องบุคลิกภาพ ซึ่งเป็นอะไรที่เป็นส่วนตัวและอ่อนไหวที่คนทำงานจะรู้สึกไม่พอใจ  ในขณะที่มุมลูกน้อง ก็ต้องคอยกระทุ้งให้หัวหน้าแจ้งผลที่ไม่ก้าวล่วงไปในเรื่องบุคลิกภาพส่วนบุคคล เว้นแต่บุคลิกภาพนั้น จะเป็นอะไรที่ส่งผลกระทบต่องานบริการของท่านอย่างมาก อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ   
3. ยอมรับความจริงว่า “เป็นธรรมดาที่คนทำงานทั้งหลาย จะมีช่องว่างที่ต้องพัฒนากันทั้งนั้น”
คนทำงานที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “คนเก่ง” นั้น  เค้ามักจะมีทัศนคติต่อการให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงผลการทำงานจากหัวหน้างานอย่างเปิดกว้างและเปิดใจรับนะครับ  เจ้านายที่ผมนับถือ ท่านเคยสอนให้คนทำงานอย่างผม ทำตัวเป็นเสมือนหนึ่ง “แก้วน้ำที่วางไว้กลางสายฝน” คือสามารถรับความรู้หรือเรื่องราวดีดีจากภายนอกได้มากมาย แม้จะล้นเกินไปบ้างเพราะสารสนเทศความรู้นั้นมีมหาศาลแต่ก็จะมีน้ำฝนหยดใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้นเสมอ ไม่ปิดรับโอกาสที่จะพัฒนาผลการทำงานที่หัวหน้างานจะหยิบยื่นให้  ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านกระตือรือร้นที่จะรับโอกาสการพัฒนาจากหัวหน้างาน สอบถามเวลาที่ต้องการจะให้ทำการเรียนรู้ ซึ่งไม่จำเป็นเลยที่จะไปมัวแต่นั่งคิดว่าเมื่อไรจะได้ไปฝึกอบรม เพราะแท้จริงนั้น การพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการทำงานนั้น มักจะไม่ได้อะไรมากมายนักจากการไปฝึกอบรม  การทำงานจริงสิครับได้ผลยิ่งกว่า เพราะเรียนรู้จากปัญหาและสถานการณ์การทำงานที่สัมผัสได้จริง        
4. ยอมรับผลการประเมินด้วยท่าทีให้เกียรติ
บางครั้งการแจ้งผลการทำงานก็ไม่ตรงกับสิ่งที่ท่านผู้อ่านเป็นเสียทั้งหมด โดยเฉพาะหากหัวหน้าเผลอไผลไปวิจารณ์ (แนะนำ) ในเรื่องการปรับบุคลิกภาพ  คนทำงานที่เป็นมืออาชีพ จะไม่ถือเอาเรื่องเช่นนี้มาทำให้อารมณ์ขุ่นเคืองหรอกนะครับ  จงรับฟังสิ่งที่หัวหน้าพูดด้วยท่าทีที่ให้เกียรติ ชี้แจงกลับในประเด็นหรือเรื่องราวที่ไม่ใช่ ด้วยท่าทีและสีหน้าที่สุภาพ และให้ความเคารพ สิ่งเหล่านี้จะสร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่ดีระหว่างกันมากกว่าครับ 
5. ตอบสนองเมื่อจำเป็น (เท่านั้น)
จงเก็บอาการให้อยู่  ไม่มีความจำเป็นและไม่ควรอย่างมากที่ท่านจะต้องไปตอบโต้ในสิ่งที่หัวหน้างานชี้แจงผลการประเมินการทำงาน และให้คำแนะเพื่อการปรับปรุงผลงานในอนาคต เว้นแต่ข้อมูลที่หัวหน้าได้รับมาไม่เป็นธรรม และไม่จริง อันเกิดจากความผิดพลาดของหัวหน้างานเอง อย่างนี้ก็ต้องมานั่งชี้แจงทำความเข้าใจกัน ด้วยท่าทีเช่นที่ผมพูดถึงในเรื่องก่อนหน้า พร้อมกันนี้ ผมยังอยากแนะนำให้ท่านผู้อ่าน แสดงเจตนายอมรับว่าแท้จริงแล้วตนก็มีข้อบกพร่องในสิ่งที่หัวหน้าเจตนาดีต้องการให้ได้รับการพัฒนา เพราะนั่นถือว่าเป็นโอกาสที่เปิดไว้เพื่อให้ท่านได้กลับมานั่งทบทวนว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ และโดยส่วนตัวผมเองก็ไม่คิดว่ามีอะไรเสียหายที่หัวหน้าจะทำโปรแกรมการพัฒนาเพื่อให้ทำงานได้เยี่ยมยอดขึ้น เรื่องจากไม่ว่าอย่างไร องค์กรก็ต้องลงทุนกับเรา แต่ความรู้ ทักษะประสบการณ์ทั้งหลาย ไม่ได้ฝากธนาคารไว้นี่ครับ ตกอยู่กับตัวท่านต่างหาก จริงมั๊ยครับ ? 
6. ถามคำถามกับสารสนเทศที่อยากรู้จากหัวหน้า
ผู้รู้ท่านแนะนำให้คนทำงานทั้งหลาย พยายามถามตัวเองกับผลการประเมินที่หัวหน้างานแจ้งมาให้ทราบ มากกว่าที่จะขุดคุ้ยหาเหตุผลว่าทำไมหัวหน้าจึงคิดว่าผลงานของผมเป็นแบบนั้น  สมัยผมยังอายุงานและประสบการณ์ไม่มากนัก ก็เผลอไปถามแบบเอาเรื่องเอาราวกับหัวหน้า พอโตขึ้นมาก็คิดได้ว่าเป็นอะไรที่ไม่ควร เพราะสะท้อนถึงการไม่ให้เกียรติเลย  เชื่อเถอะครับว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนมุมมองของผู้ประเมินที่มีกับเราได้  สู้เราเปลี่ยนมุมมองของตัวเองไปทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผู้ประเมินเค้ามองการทำงานของเราดีและง่ายกว่าเป็นไหน ๆ 
7.  ขอรับการฝึกอบรมในบางด้านที่ยังต้องเติม
ผมแนะนำให้เราควรจะสอบถามและชี้แจงเพียงว่าสิ่งที่เราต้องการได้รับการพัฒนาในงานนั้นเป็นเรื่องใดบ้าง เพื่อให้การทำงานมีผลิตภาพมากขึ้น  ซึ่งจะตรงกับที่หัวหน้าคิดไว้มากหรือน้อยเพียงใดนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องการฝึกอบรมเป็นการทำอะไรที่มีต้นทุนที่จะต้องจ่าย ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่าองค์กรต้องการลงทุนกับตัวของท่านมากน้อยเพียงใด  เพราะไม่เช่นนั้นหากประเมินผลการทำงานของพนักงานทุกคนในองค์กรมาแล้ว จะต้องไปเข้ารับการพัฒนาทุกคน  HR ก็เป็นอันไม่ต้องทำอะไรนอกจากจัดการเรื่องฝึกอบรมคนทำงาน  ความจริงแล้ว “คนที่ใช่” เท่านั้นเองนะครับที่องค์กรจะทุ่มเทเพื่อให้ไปพัฒนา และก็เป็นธรรมดาที่องค์กรจะคาดการณ์ว่าท่านจะต้องมาสร้างผลงานที่ดีตอบแทนสิ่งที่องค์กรลงทุนไป
8.  มองไปในอนาคต
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดจะเกิดขึ้นหากท่านไม่ตัดทิ้งอารมณ์และวิธีคิดทางลบกับการแจ้งผลการประเมินการทำงาน ตราบเท่าที่ยังคิดว่าไม่เป็นธรรม ก็จะไม่มีแม้แต่โอกาสจะมานั่งคุยกันเรื่องการพัฒนาผลงานหรอกนะครับ และเมื่อใดก็ตามที่ท่านยอมรับการชี้แจงแจ้งผลการประเมินแล้ว ก็อย่าหลงตกกับดักอารมณ์ทางลบอีก ผมขอแนะนำข้อความเด็ดที่ควรพูดกับหัวหน้า เพื่อสื่อถึงอะไรที่ดีกว่าการคิดแบบลบ ๆ เช่น “อะไรคือสิ่งที่ผมควรจะปรับปรุงผลงานในอนาคต” เป็นต้น  ดูดีกว่าเยอะมากเลยครับ    
คำแนะนำ 8 เรื่องสำหรับการตอบสนองต่อการแจ้งผลประเมินการปฏิบัติงานที่ผมเรียนรู้จากทั้งประสบการณ์และจากตำราที่ได้กลั่นมานำเสนอครั้งนี้  เชื่อว่าจะมีประโยชน์ที่ให้แง่คิดและมุมมองกับท่านผู้อ่าน ในบทบาทสมมติที่ผมขอให้ท่านเป็นลูกน้องที่จะต้องรับฟังการแจ้งผลการปฏิบัติงาน (Performance Feedback) จากหัวหน้างาน แต่หากท่านเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่แจ้งผลการปฏิบัติงานให้กับลูกน้องในสังกัดเอง มองมุมกลับ ก็จะใช้ประโยชน์จากบทความนี้ ด้วยการทำความเข้าใจสิ่งที่ลูกน้องอาจจะทำ  
ดังนั้น ไม่ว่าจะในบทบาทตามตำแหน่งใด ก็ใช้แง่คิดและแนวปฏิบัติจากบทความนี้ได้ทั้งนั้นครับ    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น