ในชีวิตของคนทำงาน
ไม่ว่าท่านหรือผม ต่างก็เคยทำงานพลาด ทำงานผิด
ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์/แนวทางที่กำหนดหรือไม่ทำให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่อยากได้กันมาทั้งนั้น
เพียงแต่ความผิดพลาดนั้นอาจจะร้ายแรงหรือส่งผลกระทบต่อการทำงานที่ตอบสนองต่อองค์กรหรือไม่
และเพียงใดนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มนุษย์ทุกคนก็เป็นอย่างนี้ได้ ไม่ผิดปรกติอะไร
ดังที่คำผรั่งอ้างไว้ว่า “to
err is human” แปลเป็นไทยได้ว่า ผิดพลาดเป็นคน (ยากจนก็เพราะกินเหล้า
!....เอ อย่างหลังนี่ไม่เกี่ยวกันนะครับ)
เมื่อไม่มีใครจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในทุกสถานการณ์และทุกวัน
ความผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็อาจจะถูกส่งผ่านมาที่ท่านได้เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน
เพราะเรามักไม่ได้ทำงานคนเดียว หากงานของเรา ต้องทำต่อจากคนอื่น และมีประเด็นว่าต้นทางที่ทำงานมาส่งต่อถึงเราเกิดความผิดพลาด
หรือบกพร่องในเรื่องใด และเกินกว่าวิสัยที่เราจะรู้ได้แล้ว
มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทำงานอย่างเราจะต้องรับผิดชอบไปเสียทั้งหมด หนีให้พ้นก็คงยาก
ทำได้ก็เพียงลดผลกระทบทางลบที่เป็นความเสียหายอันอาจจะเกิดจากความผิดพลาดนั้นลงให้เหลือน้อยที่สุด
จากนั้นก็ตั้งต้นทำงานใหม่ในทิศทางและกระบวนวิธีที่ถูกต้อง
พร้อมกับระแวดระวังไม่ให้เกิดขึ้นมาใหม่ในภายหลัง
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านมองว่า
ความผิดพลาด (error) นั้น แท้จริงมันเป็นทั้งบทพิสูจน์ความแข็งแกร่งมุ่งมั่นในการทำงานของผม
และก็เป็นส่วนสำคัญสำหรับการปรับปรุงตนเอง (self-improvement)
ความผิดพลาดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ก็ช่วยให้ท่านได้รับประสบการณ์เป็นบทเรียน (lesson
learned) ในระดับหนึ่ง สุภาพบุรุษ/สุภาพสตรี ที่มีจิตใจมั่นคง
จะไม่ก้าวข้ามปัญหานี้ด้วยการไปโทษไปโยนความผิดให้คนอื่น ตรงกันข้าม เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น
ควรที่ท่านทั้งหลายจะคิดและทำหลายอย่างดังนี้ครับ....
1. ขอโทษและยอมรับความผิดพลาดเยี่ยงสุภาพบุรุษ
หากความผิดพลาดเป็นที่มาให้คนหลายคนต้องเจ็บตัว
และเจ็บใจ การขออภัยอย่างจริงจัง เป็นสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วน และขอให้คิดเสียเลยว่า
การขออภัยนั้น ไม่ได้ทำให้ใครต้องเสียหน้ามากมายหรอกครับ
เพราะไม่ได้เป็นการลดศักดิ์ศรีหรือคุณค่าความเป็นมนุษย์แม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อท่านเป็นฝ่ายทำผิดพลาดเสียเอง
การยอมรับความผิดพลาด และนำมาแก้ไข
หมายถึงท่านเป็นสุภาพบุรุษที่กล้าและพร้อมรับกับปัญหาทั้งหลาย
ในขณะที่การปฏิเสธไม่ยอมรับความผิด มีแต่ได้ชื่อว่า ขาดเขลา นานเข้าก็จะไม่มีใครคบ
เพราะไม่มีใครไว้ใจว่าวันใดจะโดนซัดทอดปัญหามาให้
เมื่อขอโทษและยอมรับแล้ว ก็จงไตร่ตรองและนำเสนอให้หัวหน้าเห็นว่า
จุดที่ทำให้เกิดปัญหาคือที่ใด
จะลดผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นได้อย่างไร
รวมทั้งมีสิ่งใดควรทำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ต่อไปในภายหน้า
หากท่านขออภัยด้วยใจจริง
ไม่ยากหรอกครับที่จะได้รับการให้อภัยจากคนอื่น
เพราะทุกคนก็เหมือนกับท่านที่รู้อยู่แล้วว่าความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
แต่ก็อย่าได้เหลิงไปด้วยเพราะผิดพลาดครั้งใด ชาวบ้านเขาก็ทนรับได้
จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ซ้ำสองและซ้ำสาม แบบนี้คนอื่นจะเข้าใจว่าเป็นการสะเพร่า
ไม่ใช่พลาดผิดเพราะไม่ตั้งใจครับ
2.
อย่าได้คิดที่จะเป็นคนสมบูรณ์พร้อม
มีใครสมบูรณ์พร้อม
เป็นพวกที่เรียกว่า “perfectionist” หรือเปล่าครับ
? นางแบบชื่อดังก้องโลก ก็ยังถูกวิจารณ์ว่าผอมไปนิด
พระเองที่ค่าตัวแพงที่สุดในวงการจอเงิน จะจ้างแสดงหนังทั้งที ต้องจ้างด้วยค่าแรงเป็นทั้งเงินและเครื่องบินส่วนตัว
ก็ยังถูกวิจารณ์ว่าหน้าแก่ไปหน่อยกับการรับบทบาทในเรื่องนี้เรื่องนั้น
เราทั้งหลายเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้มีชีวิตอันเป็นอมตะ
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ทำอะไรผิดไปบ้าง มองจากมุมคิดแบบนี้
ท่านที่อยากจะทำอะไรให้เพอร์เฟคที่สุด
ก็จะลดแรงกดดันที่สร้างไว้กับตัวเองลงไปได้มาก อย่าได้คิดว่า
ท่านจะหลีกหนีความผิดพลาดได้ตลอดชีวิต เพราะแค่คิดก็เป็นไปไม่ได้แล้ว หันกลับมาอยู่ในโลกของความจริง
และพยายามระวังความคิดและพฤติกรรมจะช่วยผ่อนปรนตนเองมากกว่าครับ
3.
อย่ามัวเสียเวลากับการมานั่งตรวจสอบว่าการกระทำอะไรที่ทำให้เกิดความผิดพลาด
ปกติคนเรามักจะมองตัวเองว่าทำอะไรให้ผิดพลาดอยู่แล้ว
เว้นแต่บางคนที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ
จนไปโทษคนอื่นว่าเป็นต้นเหตุของความผิดและความเสียหาย หลายครั้งหลายคราวท่านก็อาจจะคิดว่า
เรื่องนั้นมันเกินกว่ามือที่จะต้องรับผิดชอบ
หรือไม่สามารถเข้าไปวางมาตรการป้องกันปัญหาได้ ยิ่งค้นหาคำตอบลึกลงไป
ก็ยิ่งมากความ จนไม่มีเวลามานั่งจัดการ และเตรียมรับมือกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
แล้วจะเสียเวลาไปนั่งสืบสาวราวเรื่องลงลึกกันทำไม ?
ความผิดพลาดบางครั้งก็สะท้อนถึงคุณธรรมในการทำงานของท่านได้เช่นกัน
ลองเปรียบเทียบระหว่างคนที่เกิดปัญหาแล้วเฉย ๆ เพราะกลับผลกระทบจะตกกับตนเอง
ก็เลยซุกปัญหาไว้ไม่ให้ใครเห็น กับอีกคนเมื่อเกิดปัญหาแล้ว แม้จะส่งผลกระทบร้ายแรง
แต่รีบแก้ไข เพราะไม่อยากให้ปัญหาลุกลามใหญ่ตัวในภายหน้า มองกันทีละ shot ปัญหาและความเสียหายที่เกิดจากคนหลังอาจจะเกิดในวันนี้
แต่การันตีในระดับหนึ่งได้ว่า
จะมีวิธีแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นมาในอนาคตได้อย่างรวดเร็วและอาจจะยกระดับมาตรการป้องกัน
(preventive measures)
รองรับโอกาสที่จะผิดพลาดในเรื่องอื่นได้ รวมทั้งอาจจะทำให้เกิดการปรับปรุงกระบวนการทำงานบางอย่างตามมาอีกด้วย
กับคนแรกที่ปัญหาวันนี้ไม่เกิน แต่มักจะบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคต
ผมคิดว่าคนแรกหากผิดแล้วต้องลงโทษให้หนักกว่าคนหลังครับ
4.
จงเข้าใจว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดในงานขึ้น จะต้องไม่มีซ้ำสอง
คนคนหนึ่ง
ทำให้เกิดสิ่งผิดพลาดได้ด้วยหลายเหตุผล
หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำสอง
สิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจและวิเคราะห์ให้ได้คือสาเหตุปฐมฐาน
หรือรากเหง้าที่มาของความผิดพลาด ยกตัวอย่างเช่น
บางกรณีท่านผู้อ่านอาจจะพูดจาดหยาบคายเวลาที่มีอารมณ์ผิดหวังอย่างรุนแรง
หรือเกลียดใครบางคนจนถึงจุด “จี๊ด” ท่านก็ต้องคิดเสียก่อนว่า
อะไรที่ทำให้เกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน และทำไมคนบริสุทธิ์ที่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับท่าน
จะต้องมารับรู้หรือมาฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังของท่านเลย
การตั้งคำถามกับตัวเองเช่นที่ว่า ท่านอาจจะพบคำตอบได้แก่ นอนน้อยไปนิดนึง
(เพราะดูบอลคู่โปรด หรือรายการทีวีที่คอยมานาน...ฯลฯ....) เครียดจัดถึงขนาดเก็บความกดดันไม่ได้ หรือยอมรับว่าตนเองเป็นคน “ปากไว”
รวมทั้งอาจจะมีอาการเจ็บป่วยทางกาย (หากเจ็บป่วยทางบุคลิกภาพ
สงสัยจะต้องคิดกันให้มากสักหน่อย) เป็นต้นนี้
จะช่วยให้ท่านระมัดตนและระวังปาก ไม่ให้เผลอไปสร้างปัญหาให้กับใคร
และยังช่วยธำรงรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างท่านกับเพื่อนร่วมงานได้อีกด้วยนะครับ
5.
คิดเสียว่า ความผิดพลาดเป็นครู จงเรียนรู้มันซะ
ความผิดพลาดเป็นโอกาสหนึ่งที่สร้างประสบการณ์ให้เราได้เรียนรู้ว่างานที่ทำเรื่องใดถูก
เรื่องใดที่ยังทำแล้วไม่ส่งผลให้เป้าหมายบรรลุได้ เมื่อเกิดเหตุอะไรที่ไม่ตรงเจตนา
ก็อย่าได้ปล่อยให้โอกาสของการเรียนรู้เพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องเสียเปล่าไป ปราชญ์ท่านบอกว่า
เรามักจะได้ประสบการณ์และภูมิปัญญาอันดี จากความผิดพลาดเสมอ
ขอเพียงแต่เราทำความรู้จักมัน
และพิเคราะห์เพื่อหามุมมองของการแก้ไขภายใต้วิธีคิดที่ถูกต้อง
และอย่างที่ผมบอกไปแล้ว
ความผิดพลาดมักทำให้เกิดกระบวนการปรับปรุงงานและปรับปรุงตัวแบบทางด่วน (fast-track
self-improvement and process improvement) ตามมา คิดให้ได้แบบนี้
ชีวิตการทำงานก็ happy ครับ
โลกการทำงานที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น
ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม งานหนึ่งงานมักจะไม่ได้เกิดจากคนคนเดียวคือตัวเราทำเองเสมอไป
เมื่อคนต่างที่มา ร้อยพ่อหมื่นแม่
พันวิธีคิด ก็มักจะทำงานอะไรบางอย่างในแง่มุมหรือวิธีการที่แตกต่างกันไป ส่งผลให้เกิดปัญหาติดตามมาบ้างเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่ท่านทั้งหลายซึ่งต้องการทำงานแบบมืออาชีพ
พึงต้องเข้าใจและยอมรับคือหลายสิ่งที่ผมได้นำเสนอไปข้างต้น มองทางหนึ่งนั้น
มันคือการเริ่มต้นทบทวนตนเองจากวิธีคิด
ตามติดมาด้วยภาคปฏิบัติที่ท่านทั้งหลายจะต้องสร้างสมดุลของมันให้ลงตัว
หากจัดการได้อย่างมีสติและรอบคอบ
เชื่อว่าท่านทั้งหลายจะกลายเป็นบุคคลที่มีความสุขกับการทำงาน
และย่อมสร้างผลงานที่ดีได้ไม่ยากเย็นเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น