ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าชีวิตคนเรานั้น
ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการทางาน นับจากที่แต่งตัวออกจากบ้าน
ใช้เวลาเดินทางไปกลับไม่ว่าจะด้วยยานพาหนะส่วนตัว รถรับส่งของบริษัท
หรือรถขนส่งมวลชนประเภทต่าง ๆ ไปจนถึงเวลาที่เรานั่ง (หรือยืน) ทางานในสถานที่ทางาน
รวมเวลาแล้วแทบจะไม่ต่ากว่า 12 ชั่วโมงในเมืองใหญ่
หากตัดเวลาพักผ่อนนอนหลับไปสักวันละ 6 ชั่วโมง ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า
ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่นั้นในแต่ละวัน (ที่ไม่นับวันหยุดงาน)
พัวพันกับงานอย่างแยกไม่ออกเลยทีเดียว
ยิ่งหลายคนต้องทางานซ้า
ๆ กันตาม Job Description วันแล้ววันเล่าก็ยังทาแบบนี้
จะหาโอกาสไปทางานอย่างอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงไม่ให้ชีวิตเข้าใกล้สภาวะไม่ตากซากก็ยาก
เหตุหนึ่งเพราะตัวเองกลับว่าการเปลี่ยนไปทางานอื่นจะทาไม่ได้
หรือหัวหน้าเองไม่ให้โอกาสเพราะเกรงมอบหมายให้ทาแล้วก็ทาไม่ได้ ก็เลยต้องทนทางาน
ผมนึกเห็นภาพสมัยที่ผมทางานราชการอยู่สังกัดสานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เห็นพี่พี่หลายคนทางานลงรับและเดินเอกสารซ้าแล้วซ้าเล่ามามากกว่า 20 ปี เห็นน้อง ๆ
อีกหลายคนที่สาละวนอยู่กับการพิมพ์เอกสารในบทบาทหน้าที่ “เจ้าหน้าที่พิมพ์ดีด” คอยตอบสนองการพิมพ์งานของเจ้าหน้าที่คนอื่น
โดยเฉพาะผู้มากอาวุโสพิมพ์งานไม่เป็น ไม่ get เรื่องคอมพิวเตอร์
จินตนาการความเบื่อหน่ายในงานไม่ออกเลยทีเดียวครับ
เมื่อคนเราไม่ประสงค์ให้มีทุกข์ไม่ว่าจะในห้วงเวลาใดของชีวิตฉันใด
คนเราก็ย่อมไม่อยากทางานแล้วเกิดทุกข์ ไม่สบายใจ ทางานแล้วรู้สึกไม่สนุกกับงาน
ไม่อยากทางานไปร้องไห้ไปเพราะโดนกดดันบีบคั้นจากหัวหน้าและ/หรือเพื่อนร่วมงานที่มากอาวุโสกว่าฉันนั้น
ความสุขและสนุกในการทางาน
จึงเป็นสองสิ่งง่าย ๆ ในชีวิตประจาวันที่คนทางานค้นหา
โดยไม่ต้องไปคุยกันไกลในเรื่อง Engagement หรือ
Loyalty ของพนักงานกับองค์กรให้มากความ (แม้จะต้องทาก็ตาม)
บทความนี้จะนาเสนอเคล็ดลับของการทางานให้สนุกครับ
1.
มองให้เห็นคุณค่าของงาน
การงานทุกอย่างถ้าไม่ใช่งานที่ต้องปล้นลักขโมยเขา
ล้วนแต่มีคุณค่าแฝงอยู่ทั้งนั้น
จะมากหรือน้อยก็แตกต่างกันตามความสาคัญหรือคุณค่าของผลผลิตจากงานที่มีให้กับองค์กร
ที่สาคัญ ทุกงานเป็นส่วนประกอบต่อเติมกันเพื่อทาให้ภาพขององค์กรชัดเจนขึ้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้จักมองให้เห็นคุณค่าของงานที่ท่านทา
คุณค่าที่ท่านนึกถึงได้นี้
จะคอยจรรโลงให้ท่านยังรักและรู้สึกสนุกกับงานที่ทาอยู่เสมอ
แม้ว่างานที่ทาจะน่าเบื่อหน่ายเพียงใดก็ตาม
ผู้รู้ท่านบอกให้เรามั่นใจในงานที่ทาว่าเป็นงานที่มี “คุณค่า” ความคิดเช่นนี้
จะเป็นพลังใจสาคัญทาให้เราอย่างมีความสุขเสมอ
สมมติว่าเราทางานรักษาความปลอดภัยที่ใครก็เรียกเหมือนดูแคลนว่า ยาม
(คนเป็นยามก็อยากให้เรียก รปภ. เพราะรู้สึกว่าเท่ห์ดูดีกว่ามากมาย)
ก็ควรต้องคิดว่า หากไม่มีเราองค์กรก็จะไม่มั่นคงปลอดภัยทันที
และที่สาคัญหากงานเราไม่สาคัญ เค้าคงไม่จ้างเราหรอกจริงมั้ยครับ
2.
กระตือรือร้นอยู่เสมอ
คนทีทางานอย่างมีความสุขจะแสดงออกถึงความกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา
ยิ่งสุขมากก็ยิ่งกระตือรือร้นมากตามไปด้วย ลองคิดดูว่าหากเราทางานแบบเนือย ๆ
ทางานเรื่อยเฉื่อยแบบรถไฟของประเทศไทยที่ไม่เคยไปถึงที่หมายตรงเวลา ยิ่งตอนนี้
ในหลายขบวนออกจากต้นทางยังแทบจะไม่ตรงเวลาด้วยซ้า
เราจะรู้สึกเหมือนขาดสีสันบางอย่างและงานก็จะไม่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดอย่างที่อยากให้เป็น
แต่หากเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ให้ทาอะไรว่องไวรวดเร็วแล้ว
เราจะรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับดิน และที่สาคัญยังได้ผลงานมากกว่าเป็นไหนๆ
3. ทำงานอย่างใจจดใจ่
ผมไม่ได้หมายถึงท่านจะต้องถึงกับไม่กระดุกกระดิกไปไหนหรอกครับ
ใจจดจ่อนั้นหมายถึงไม่วอกแว่ก ไม่ลุกลี้ลุกลนทาโน่นทีทานี่ที งานก็ไม่เดินหน้าไปถึงไหน
โดยเฉพาะงานสาคัญที่ต้องใช้สมาธิกับงานมาก
หรือต้องใช้ข้อมูลสารสนเทศหลากหลายมิติหลากหลายชุดประกอบการวิเคราะห์และสรุปเอาข้อมูลออกมา
ยิ่งต้องอาศัยความใจจดจ่อมากขึ้น
แนะนาให้ลองฝึกความสงบใจด้วยการทาสมาธิกับการทางานอาจจะใช้วิธีง่ายๆ คือครองสติให้อยู่กับตัว
ตั้งมั่นอยู่กับงานที่ทา ไม่คิดอะไรนอกเรื่องนอกราวในขณะทางาน เมื่อมีสมาธิดี
ก็จะคิดเห็นเรื่องงานได้อย่างรวดเร็ว ตรองหาวิธีการทางานได้ไม่ยากนัก ลองดูสิครับ
4.
ปรับปรุงงานอยู่เสมอ
การงานทุกอย่างมีเรื่องท้าทายอยู่ในตัวเองเสมอ
เพียงแต่ว่าเราจะมองเห็นช่องทางหรือโอกาสในการปรับปรุงให้งานนั้นมีคุณภาพดีขึ้นได้หรือไม่
ในแต่ละวันทางาน
ควรหมั่นสร้างความท้าทายด้วยการเฟ้นหาปัญหาในที่ทางานแล้วนามาลองฝึกคิดแก้ไขดู
เช่น คิดว่าจะทาอย่างไรให้งานรัดกุมมากขึ้น การประสานงานกับหน่วยงานอื่นดีขึ้น
หรือทาให้ทรัพยากรที่ใช้ลดลง ประหยัดเวลาหรือทางานเดิมได้เร็วขึ้น
งานเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น
ลองนาไปทำดูนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น