วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แนวทางการเป็น "เพื่อนร่วมงาน" ที่ดี


หนึ่งในปัจจัยที่นำไปสู่ความพึงพอใจ (Job Satisfaction) และความสุขในการทำงาน (Work Happiness) นั้น ได้แก่การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทำงานกับเพื่อนร่วมออฟฟิศรายรอบ นอกเหนือจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีและเหมาะสมกับหัวหน้างาน และปัจจัยอื่น ๆ อันได้แก่สภาพแวดล้อมทางกายภาพ  ค่าตอบแทนที่จ่ายให้ตามค่างานกับผลงานที่อยากได้ และงานที่ท้าทายความสามารถ ไม่น่าเบื่อจำเจ  เหตุที่เพื่อนร่วมงานมีอิทธิพลอย่างมากต่อระดับความสุขในการทำงานนั้นก็มักเป็นเพราะคนทำงานทั้งหลายมักจะทำงานใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานทั้งในช่วงวัยและต่างช่วงวัยเสียเป็นหลัก  แม้เลขานุการจะทำงานกับเจ้านายเสียมากในแต่ละวัน แต่เขามักจะใช้ชีวิตกับเพื่อนร่วมงานภายในหน่วยงานหรือต่างหน่วยงานในชีวิตปกติด้วย  หากบรรยากาศความสัมพันธ์ระหว่างคนทำงานกับเพื่อนร่วมงานไม่ดีก็คงดูอึมครึมไม่น้อย  บางทีอาจจะเป็นชนวนพนักงานบางคนต้องตัดสินใจลาออกไปเสียเลยก็มี และที่เป็นปัญหาก็เพราะว่าคนลาออกนั้นมักเป็นคนเก่งคนมีฝีมือที่ทำงานได้  ส่วนที่ยังอยู่ก็ฝีมืองั้น ๆ นั่นก็เพราะคนเก่งมีทางเลือกกับการทำงานที่ใหม่ที่มากกว่า และเค้ามักจะเป็นที่ต้องการของหลายองค์กรนั่นเองครับ

ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำสำหรับการทำงานแบบสานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานซึ่งจะได้ทั้งใจและได้ทั้งงานไปพร้อมกัน

(1)  มีกิริยามารยาทที่เหมาะสม  ผมหมายถึงการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานไม่ว่าจะต่างช่วงวัยหรือในช่วงวัยเดียวกัน อายุไล่เลี่ยกันก็ควรต้องเน้นความไพเราะเสนาะโสต ไม่พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ                                        ยิ่งหากเพื่อนร่วมงานนั้นเป็นรุ่นพี่ ยิ่งต้องวางตัวให้มีสัมมาคารวะและรู้จักเกรงใจกัน อย่าสบถบ่นด่าคนอื่นให้เพื่อนร่วมงานได้ยิน เพราะเค้าอาจจะคิดว่า วันหนึ่งข้างหน้า เราก็ต้องบ่นด่าเค้าบ้าง บรรยากาศความสัมพันธ์ก็จะแปลกไป (แม้ว่าจะสนิทสนมกันอย่างดีก็ตามแต่)

ผมเชื่อว่าคนไทยนั้น เรายังมีโมเมนต์ของกิริยามารยาทระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง  ผุ้ใหญ่ผู้น้อยที่มักจะเรียกกันว่า “สัมมาคารวะ” หรือรู้จัก “กาละเทศะ” อยู่เสมอ แต่คนที่รู้จักวางตัวให้เหมาะสมแก่สถานการณ์ เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ และรู้จักการวางตัวเมื่อต้องอยู่กับผู้ใหญ่ เคารพพี่ที่อาวุโสในงานโดยไม่จาบจ้วง ก็จะกลายเป็นน้องที่น่ารัก

(2)  หยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นเท่าที่ทำได้ เมื่อสบจังหวะที่ดีที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานได้ ก็อย่ารีรอที่จะแสดงให้เห็นถึงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เช่น สละเวลาเปิดประตูให้เพื่อนร่วมงานที่เดินตามมาแต่ถือขอพะรุงพะรัง  หรือช่วยหยิบกาแฟไปเผื่อให้ที่โต๊ะ  ช่วยไปยกของที่เบิกมากจากฝ่ายพัสดุ  แต่คงไม่ต้องถึงขนาดใช้เวลางานของตัวไปทำงานให้กับเพื่อนร่วมงานเสียหมดจนกระทั่งงานของตัวเองก็ติดขัดหรือทำไม่เสร็จ   ในบทความก่อนหน้า ผมแนะนำท่านให้รู้จักปฏิเสธให้เป็น ไม่ตอบรับช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานคนอื่นไปเสียทุกเรื่องเพราะจะกลายเป็นท่านจะลำบากในงานที่ทำเสียเอง  การช่วยเหลือผู้อื่นนั้น นอกเหนือจากน้ำใจแล้วก็ต้องประเมินด้วยว่าทำไหวหรือไม่ มีความเชี่ยวชาญพอที่จะทำหรือเปล่า  เพราะไม่ว่างานของเราหรืองานที่เค้าอยากให้ช่วยก็ต่างต้องการความสำเร็จทั้งนั้นครับ  

(3)  อย่าโทษกันไปมา   คนเราน่ะทำงานผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นล่ะครับ  แม้ว่าเราจะเก่งหรือจะเชี่ยวชาญมากเพียงใดก็ตาม ขอเพียงแต่ให้พยายามลดความผิดพลาดโดยเฉพาะความผิดพลาดที่จะกระทบต่อลูกค้าโดยตรง  และที่สำคัญนั้น หากงานของเราที่ผิดพลาดจะส่งผลกระทบต่องานของเพื่อนคนอื่นให้ผิดพลาดตามไปด้วยยิ่งต้องระวัง  ผมอยากบอกไว้ว่า ในชีวิตการทำงานนั้น ความไว้วางใจได้สำคัญเสมอ  เมื่อใดก็ตามที่เราทำงานพลาดไป สิ่งที่มักตามมาก็คือความไว้ใจจากคนอื่นที่ต้องทำงานกับเราจะลดลงไปตามส่วน  อย่างไรก็ตาม หากเกิดปัญหาทำงานผิดไปบ้าง ก็ไม่ต้องถึงขนาดต้องมาด่าทอมาเสียดสีกันสามวันสามคืน และต้องไม่พยายามปกปิดเพราะเหตุเพื่อนร่วมงานที่รักใคร่กันมาก พร้อมกับอย่าโยนความผิดไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดสงครามขึ้นในออฟฟิศเลยก็ได้

(4)  ทำตัวให้สมกับวัย  คนทำงานย่อมมีประสบการณ์ชีวิตมาไม่มากก็น้อย  แต่ประสบการณ์ชีวิตก็ไม่ได้บอกว่าคนคนนั้นจะมีความเป็นผู้ใหญ่เสมอไปหรือครับ บางคนก็วุ่นวายเพราะ “เยอะ” ไปเสียทุกเรื่อง  คิดมากสารพัดทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว  บางคนก็งอแงเป็นเด็ก แทนที่โดนลูกค้าติติงมาจะเก็บประเด็นไว้เป็นช่องทางในการพัฒนาตัวเอง กลับไปเที่ยวโพนทะนาด่าเพื่อนร่วมงานต่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับงานของตัวเองว่าเป็นเหตุให้โดนลูกค้าตำหนิมา แบบนี้ แม้จะทำงานเก่งแต่ไม่น่ารัก และก็มักจะไม่มีคนคบ ทำงานที่ไหนก็ลำบากครับ  

โดยเฉพาะกับรุ่นพี่  ยิ่งต้องแสดงให้น้อง ๆ ในทีมในหน่วยงานเห็นว่าตัวเองมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ หรือที่เรามักได้ยินบ่อยว่าต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ให้มากเข้าไว้ เพราะในข้อเท็จจริงนั้น น้องใหม่มักจะทำตามแบบอย่างไม่ว่าจะทางลบทางบวกอย่างที่ท่านไม่คาดคิดเลยทีเดียว

เอาไว้เรามาคุยกันเรื่องความฉลาดทางอารมณ์คราวหน้าว่าเจ้าความฉลาดทางอารมณ์นี้มันคืออะไร ผลกระทบจากความไม่ฉลาดทางอารมณ์เป็นอย่างไร และท่านผู้รู้ได้ให้ข้อเสนอแนะในการจัดการกับอารมณ์อย่างไรเพื่อให้ชีวิตการทำงานราบรื่นก้าวหน้าไปได้ดีอย่างไรบ้าง รับรองน่าสนใจครับ  

หลายเรื่องที่ผมว่าไปนั้น เป็นแนวทางการครองตัวและครองความคิดเวลาที่ท่านจะต้องทำงานกับคนอื่น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม  ควรที่ท่านจะต้องตระหนักไว้เสมอว่างานของเรานั้น เกี่ยวข้องกับงานของคนอื่นไม่มากก็น้อย ดังนั้นปฏิกิริยาที่เรามี ความสัมพันธ์ที่เราสร้างจะเป็นไปเช่นใดสุดท้ายนั้นก็อยู่ที่เราจะทำมันขึ้นมา  และอยากให้แง่คิดกับท่านไว้ว่า ไม่มีใครที่จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างใจที่เราต้องการ เพราะเค้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองยังทำยากแล้วเราเป็นใครหรือที่จะไปเปลี่ยนเค้ามาให้เป็นอย่างที่เราอยากเห็นอยากให้เป็น  สู้มาปรับเลี่ยนที่วิธีคิดวิธีการทำงานของเราน่าจะได้ผลมากกว่า และในทำนองหนึ่งนั้นก็อยากให้ท่านคิดด้วยว่า ไม่มีคนใดที่จะทำให้เราต้องเจ็บช้ำใจได้หรอก นอกจากเราจะคิดให้มันเป็นเช่นนั้นเอง  ลองเอาแง่คิดนี้ ไปไตร่ตรองกับการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานของท่านดูนะครับ  เผื่อจะได้ประโยชน์บ้าง  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น