ผมเชื่อว่า
ท่านผู้บริหารในแทบทุกองค์กร
ต่างเห็นพ้องกับผมว่าบรรดาทรัพยากรที่องค์กรมีที่สำคัญ
อันจะช่วยให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน
และการันตีความเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น คือทรัพยากรบุคคลหรือคนทำงาน
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน (ทั้งคนเก่ง คนที่ทำงานขยันปานกลาง และคนขี้เกียจ
ชอบสร้างปัญหาให้กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้าและองค์กร) หากแต่เป็นทรัพยากรบุคคลที่
“ใช่” หรือคือคนทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะในระดับบริหารชั้นกลาง ชั้นสูง
หรือพนักงานระดับปฏิบัติการ
ที่มีผลงานปัจจุบันในระดับมาตรฐานที่องค์กรและหน่วยงานยอมรับว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด
(แม้จะไม่ทั้งหมด 100% ก็ตาม)
และต้องเป็นคนทำงานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า
มีความสามารถในการเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะฝีมือ และประสบการณ์ในการทำงาน นี่ล่ะครับ คือคนที่ใช่ที่หลายองค์กรอยากได้
บทความนี้เราจะไม่คุยกันว่า
พนักงานที่สร้างผลงาน (ปัจจุบัน) หรือทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น จะเป็นอย่างไร
และต้องได้รับการพัฒนาอย่างไรดี เช่น ต้องทำงานแบบ SMART ไม่ใช้เพียงแค่ทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่หาผลงานที่โดดเด่นไม่ได้
แต่อยากจะชวนท่านผู้อ่านมาช่วยกันพิจารณาว่า คุณลักษณะของคนที่
“ใช่” ในกลุ่มที่สองคือ “คนทำงานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า”
ควรจะได้รับการพัฒนาอย่างไร ? ซึ่งผมเชื่อว่า คนกลุ่มนี้
อาจจะมีจำนวนราว 20% ของคนทำงานทั้งหมดในองค์กรของท่านด้วยซ้ำไป
และนั่นก็คือ หากองค์กรของท่านมีคนเก่งซัก 10-20% แล้วมี
“ว่าที่” คนเก่ง
หรือก็คือคนกลุ่มที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า
แล้ว องค์กรของท่านก็จะมีกลุ่มของบุคลากรที่เป็นกำลังหลักสำคัญมากถึง 30% หรือ 40% อันถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยนะครับ
ผมอยากชี้ให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดตั้งแต่เริ่มว่า
คุณลักษณะของคนทำงานที่องค์กรของท่านถือว่าเป็น “คนมีศักยภาพ” นั้น เป็นอย่างไร ? คนมีศักยภาพหมายถึงคนที่มีจุดแข็งที่นำมาใช้สร้างผลงานได้
หรือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเยี่ยม หรือเป็นคนที่รู้คิด มีความรู้มากมาย
ถึงพร้อมซึ่งความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำงาน
แต่ยังด้อยประสบการณ์ที่จะผลักดันกับการทำงานจริง เป็นคนที่ ‘can do
attitude’ หรือเป็นคนเยี่ยงไร ?
ลองมาไล่เรียงกันดูครับว่า
อะไรหรือที่จะช่วยทำให้คนทำงาน สามารถเพิ่มพูนศักยภาพเพิ่มมากขึ้นได้จริง ! จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบกับประสบการณ์ของผม
พอสรุปนำเสนอเป็น “ทิปเด็ดเจ็ดอย่าง” ที่ต้องฝึกฝน
สร้างเสริมและเติมเต็ม เพื่อให้พนักงานในองค์กรของท่าน
พัฒนาให้ถึงพร้อมซึ่งความมีศักยภาพระดับสูงในการทำงาน ดังนี้ครับ :
1. ฝึกทักษะการเป็นผู้นำ
– คนทำงานไม่ว่าตำแหน่งใด ต่างมุ่งหวังเติบโตไปทำงานเป็นผู้บริหารทั้งนั้นล่ะครับ หลายองค์กรชั้นนำ
จึงมุ่งเพิ่มพูนประสบการณ์และสร้างโครงการหรือกิจกรรมการพัฒนาเพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ทักษะของการเป็น
“ผู้นำ” ที่ดี ควบคู่ไปกับการเป็น “ผู้ตาม” ที่ดี โดยอย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้ว่า
ผู้นำในแบบที่องค์กรต้องการคืออะไร การนำทีม
และนำงานอย่างไร จึงจะทำให้งานเดินหน้าไปหาความสำเร็จได้ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป mindset ของคนเปลี่ยนตาม จึงหมดยุคที่จะแยกและ treat ผู้บริหารระดับสูงแบบ
“เจ้านายชั้นสูง” แต่มองพนักงานแค่ “คนทำงานชั้นล่าง” เพราะการจำแนกผู้นำให้สั่งเพียงอย่างเดียว
ไม่ได้การันตีว่าผู้นำจะทำตัวให้สมกับความเป็นผู้นำแต่อย่างใด องค์กรชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตในโลกของการแข่งขัน
จึงต้องคิดให้หนักในเรื่องการสร้างเสริมศักยภาพการเป็นผู้นำให้แก่พนักงาน ซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วยการให้เค้าเรียนรู้จักการนำ “ทีม”
ผ่านการมอบหมายโครงการพิเศษ ฝึกการนำเสนอ
การสื่อสารที่ได้ผล (คนเข้าใจ และได้งาน)
ฝึกการนำการประชุมให้มีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญสำหรับการเพิ่มผลิตภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคนเลยครับ
2. สื่อสารให้เป็น – ในบทบาทของผู้นำและผู้ตาม พนักงานทุกระดับล้วนต้องอาศัยการพูดคุยสื่อสารกันในชีวิตการทำงานปกติ
ไม่ว่าจะสื่อสารการประสานงานระหว่างกัน สื่อสารเป้าหมายงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย
เพื่อให้งานที่รับผิดชอบเดินหน้าไปได้ด้วยดี
การที่จะเป็นอย่างนี้ได้
ผมมองว่าต้องอาศัยการพูดคุยกันสองทาง และอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องเป้าหมาย
วิธีการทำงาน การให้ข้อเสนอแนะ การติดตามผล และแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การฟังความ
และเล่าความที่ไร้ประสิทธิภาพ
พิสูจน์ได้โดยไม่ต้องการหลักฐานว่ามีแนวโน้มที่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างคนทำงานด้วยกันมากกว่าจะทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างกัน
3. เสริมแรงการทำงาน
– องค์กรต้องไม่ลืมที่จะเสริมแรงการทำงานด้วยการให้พนักงานได้ทดลองทำงานที่ยาก
ซับซ้อนและต้องใช้ทักษะการลงแรงลงมือระดับสูงกว่าที่เขาคุ้นเคย
ด้วยเพราะหากปล่อยให้พนักงานทำงานแบบ routine ก็ไม่มีทางที่องค์กรจะได้คนทำงานที่สร้างสรรค์ผลงานใหม่
ๆ ได้ เนื่องจากเขาไม่ได้รับการฝึกฝนมาในแบบนั้น
หัวหน้างานเองก็คงต้องกระตุ้นให้ลูกทีม
มีความมั่นใจใจตัวเองที่จะทำงานอย่างไม่พลาด
และเปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้บนความผิดพลาดบ้าง แต่ต้องไม่มีครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม
การเสริมแรงเช่นนี้ ในมุมจิตวิทยากล่าวกันว่า จะช่วยเติมเต็มความเข้าใจตัวเองของเขาได้มากเลยทีเดียว
4. ให้ความสำคัญกับคนเก่ง
–
การดึงดูด สรรหาและการธำรงรักษาคนเก่งไว้ให้ทำงานกับองค์กร
กลายเป็นงานต้นน้ำที่ HR จะต้องให้ความสำคัญและวางกลยุทธ์การปฏิบัติงาน
(Operational Strategies) ให้ดี
ไม่ใช่เพราะองค์กรแค่อยากได้เท่านั้น
หากแต่องค์กรต้องพยายามช่วงชิงคนเก่งนี้มาจากองค์กรอื่นมาเสริมทีมเพื่อให้เกิดการผสานพลังการทำงานที่เป็นเยี่ยมให้ได้ด้วย
ผู้รู้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าตกใจว่า ความต้องการจ้างเก่งเข้าทำงานนั้น
เป็นสิ่งที่ต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้น
งัดสารพัดกลยุทธ์มาใช้เพื่อจูบใจให้คนเลือกมาสมัครงาน
โดยเฉพาะคนที่ไม่คิดจะเปลี่ยนงานเนื่องจากมีความสุขและสร้างผลงานที่ดีให้แก่องค์กรได้อยู่แล้วในปัจจุบัน ในทำนองหนึ่ง คนภายในที่เป็นคนมีศักยภาพสูง
ก็ต้องได้รับการพัฒนาให้เก่งและแข็งแกร่งมากขึ้น
ด้วยการ “เปิดจุด คลายสมปราณความเก่ง” ออกมาใช้งานขององค์กรให้ได้ งานนี้ล่ะครับ
ท้าทายไม่น้อย และต้องคิดให้ครอบ คิดให้รอบด้านอีกมากครับ
5. พัฒนาให้เป็นคนฉลาดคิด
–
ปกติแล้ว คนเรามักยึดเอาความสำเร็จในอดีตเป็นตัวกำกับการทำงานในปัจจุบันและอนาคต
อันทำให้มักจะไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่
และก็จะยิ่งถ่อยห่างจากการเป็นดาวเด่นขององค์กร
“ความฉลาดคิด”
ที่เป็นหนึ่งในสิ่งที่องค์กรต้องเร่งพัฒนาในความคิดของผม
น่าจะพอเทียบเคียงได้กับคำว่า
“Emotional
Intelligence” ซึ่งหมายความว่า
การที่พนักงานแต่ละคนมีความสามารถในการที่จะพัฒนาไปสู่การมีความรู้
ความเชี่ยวชาญและทักษะการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เกิดผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยทั่วไป
ความฉลาดคิดในมุมที่เกี่ยวกับงาน ก็ได้แก่ ความเชื่อมั่นในตนเอง การรู้สึกสำนึกได้ ความสามารถในการปรับตัว
ความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ การมองโลก
มองงานและเพื่อนร่วมงานในแง่ดี มีทักษะการสื่อสาร
พัฒนาตนเองและคิดริเริ่มปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ผู้รู้ท่านเชื่อว่า
การที่พนักงานมีขีดความสามารถเหล่านี้
จะช่วยให้ทำงานได้ผลิตภาพและผลลัพธ์ของงานในระดับสูง
6. ให้คำชื่นชมและรางวัลจูงใจ
–
เป็นธรรมดาที่คนทำงานต้องการคำชื่นชม และการยอมรับจากผู้อื่น ซึ่งมิใช่จะต้องจูงใจตอบแทนด้วยตัวเงินแต่อย่างใด ผู้รู้ท่านบอกไว้ว่า องค์กรและหัวหน้างานทั้งหลาย จะต้องเล่นบทบาทการให้ feedback
หรือการสะท้อนผลการทำงานของพนักงานให้เป็น (ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วในบทความเรื่องการให้
feedback ผลการปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์
ลองย้อนกลับไปดูบทความเก่าก่อนหน้านะครับ) กระนั้น
การสะท้อนผลการทำงาน ต้องจริงใจเข้าว่านะครับ
พยายามชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมทางบวกที่องค์กรและหน่วยงานพึงประสงค์ พร้อมกับต้องพยายามค้นหาแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานในโอกาสต่าง ๆ ผมเองเคยอ่าน practice ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มีกิจกรรม
“On Spot Rewarding” ซึ่งจะให้ผู้บริหาร มอบรางวัลกับพนักงานที่ให้บริการลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ
เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งของการเสริมแรงพฤติกรรมทางบวกที่นำไปใช้ได้กับการสร้างเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรได้ในอีกทางหนึ่ง
หรือแม้แต่คำชมสั้น ๆ ว่า “ดีมากครับ” ให้กับลูกน้อง
ก็เป็นแรงจูงใจชั้นเลิศแก่คนทำงานแล้วครับ ขอให้หลุดออกมาจากปากของผู้บริหารบ้างเท่านั้น
เป็นใช้ได้...
7. เสริมประสบการณ์ทำงานเป็นทีม – ผมเชื่อในใจว่าการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิผล
เป็นภารกิจอันหนักหน่วงและสำคัญยิ่งที่ผู้บริหารไม่ว่าระดับใดจะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้
ในหลายหลักสูตรการพัฒนาผู้นำ ก็มักปรากฏหัวข้อการพัฒนาและสร้างทีมงานด้วยเสมอ
ที่เป็นอย่างนี้เพราะยอมรับกันว่าการทำงานเป็นทีม
เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกองค์กรจะต้องมีอยู่แล้ว
ไม่มีใครคนใด ทำงานแบบโดดเดี่ยว (เว้นแต่เพื่อนฝูงไม่เอาเพราะ......ฯลฯ.....)
แล้วจะให้ได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมส่งคุณค่ากับองค์กรได้ และงานที่ทรงคุณค่า
แทบจะทั้งนั้นมักเป็นงานที่ซับซ้อน
ต้องอาศัยการผสานพลังจากคนจากหลายหน้าที่งานนั่นเอง ในบทบาทของการทำงานเป็นสมาชิกทีม
พนักงานต้องได้รับการฝึกฝน และสร้างประสบการณ์ให้เขาสามารถสื่อสาร
แก้ไขปัญหาและตัดสินใจหน้างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเอง
และมากกว่านั้นก็คือ การสร้างสไตล์ของการใช้ชีวิตทำงานด้วยกัน
อันจะหล่อหลอมออกมาเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่องค์กรต้องการในระยะยาว
ผมเชื่อว่าองค์กรของท่านก็ไม่ได้ต่างจากองค์กรอื่นที่โดยทั่วไปแล้ว
คนทำงานทั้งหลายจะมีหลากวิธีคิดและหลายมุมมอง มีสไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน
เช่นที่กูรูบางท่านได้จำแนกคนออกเป็น 4 กลุ่มประกอบด้วย “The Thinkers”
หรือ “พวกนักคิด” ชอบสร้างสรรค์ไอเดียวิธีคิดที่แปลกใหม่
ปฏิเสธแนวคิดที่ไม่เข้าท่า ชอบที่จะคิดและหาแนวทางทำงาน/แนวทางแก้ไขปัญหา
เพื่อให้งานที่ทำเดินหน้าไปได้ “The Doers” หรือ “พวกนักปฏิบัติ”
เป็นพวกที่ทำงานแบบมุ่งความสำเร็จจากการลงมือทำ
และขับเคลื่อนงานของกลุ่มด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนอื่น
เพื่อให้เห็นความก้าวหน้า และไม่ปรารถนาจะเห็นการเสียเวลาสูญเปล่า “The
Achievers” หรือ “พวกนิยมความสำเร็จ” เป็นพวกที่ไม่ชอบรีรออะไร มุ่งให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายงานที่วางไว้
และสุดท้ายคือ “The Carers” หรือ
“พวกชอบเผื่อแผ่” เป็นพวกที่ทำงานแบบทีม ทุกคนต้องช่วยกัน ขาดใครคนหนึ่งไปก็ไม่ได้
มุ่งเน้นความสัมพันธ์ในบรรดาคนทำงานในกลุ่ม ในทีมงาน ซึ่งทั้งหมด
ล้วนแต่เป็นคุณลักษณะของคนทำงานที่องค์กรต่างต้องการทั้งนั้น
แต่จะให้คนทำงานในองค์กรของท่านมีน้ำหนักไปใน “พวก”ใดอย่างที่กูรูท่านจัดแยกไว้ ก็สุดแล้วแต่กลยุทธ์องค์กรของท่านในแต่ละช่วงเวลา
ซึ่งแต่ละองค์กรก็มักจะให้น้ำหนักของคนแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไปในรายละเอียด
ไม่ควรต้องมานั่งลอกเลียนแบบกันแต่อย่างใดครับ
การที่จะเติมเต็มศักยภาพในการทำงานของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับในองค์กรของท่าน
ไม่ได้หมายถึงจะเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งนะครับ
หากแต่ท่านจะต้องผสมผสานทิปเด็ดเจ็ดอย่างที่ผมนำเสนอเข้าด้วยกัน
โดยมุ่งมองไปที่ให้คนทำงานทั้งหลาย เกิดความรู้สึกพึงพอใจต่อการทำงาน (job satisfaction) เป็นสำคัญ
เพราะความพึงพอใจนี้ จะช่วยเหนี่ยวรั้งไว้ให้เขาทั้งหลายให้ความสนใจ
ให้ร่วมแรงและลงน้ำใจ ไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างที่องค์กรต้องการ
และยังทำงานกับองค์กรต่อไป ไม่หนีหน้าไปอยู่กับคู่แข่งให้นายจ้างช้ำใจเล่น
แถมยังจะกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเก่งจากภายนอกหันมาสมัครเข้าร่วมงานกันองค์กร
เรียกว่า ทำเรื่องเดียว impact หลายอย่าง ดีมั๊ยครับ ?
เหนืออื่นใดคือทดลองทำ
และทำกันในวันนี้เสียเลย “just
do it...and do it now !”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น