วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ตั้งคำถามก่อนจัดการให้คนเก่งอยู่ติดองค์กร

ผมเคยชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นไปแล้วว่า งานหลักที่ HR จะต้องมุ่งเน้นให้ความสำคัญในลำดับแรก ๆ เห็นจะหนีไม่พ้นงานสรรหาและคัดเลือกบุคลากร โดยเฉพาะคนที่มีศักยภาพในการทำงานเข้ามาในองค์กร หลายองค์กรไม่ว่าจะชั้นนำหรือไม่นำ  ต่างพากันตระหนักว่า การทำงานสรรหาและคัดเลือกให้มีประสิทธิภาพนั้น จะทำให้องค์กรได้มาซึ่ง “คนเก่ง (Talented People)”  ที่เข้ากันได้กับวัฒนธรรมหรือคุณค่าขององค์กร  แต่ก็น่าคิดเช่นกันว่า แม้จะสรรหาคนเก่งเข้ามาทำงานได้  หลายองค์กรแม้จะมีเงินว่าจ้าง แต่กลับยังไม่อาจจูงใจให้คนเก่งที่อุตสาห์ลงทุนลงแรงไปมากนั้น ทำงานในระยะยาวกับองค์กรต่อไป  
แม้งานรักษาคนเก่งไว้กับองคืกรจะยากเย็นไม่น้อย ในฟากฝั่งของคนทำงาน HR ก็ต้องหนักแน่นและทำงานด้วยความพยายามต่อไป  นั่นเพราะเรื่องของการตัดสินใจเลือกทำงานกับองค์กรใดของคนเก่งที่มากฝีมือนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะตัดสินได้ด้วยปัจจัยเรื่องเงินอย่างเดียว และมนุษย์นั้น ก็มิใช่สิ่มีชีวิตที่คิดด้วยสมองซีกซ้ายคือใช้เหตุผล ความถูกต้องแม่นยะเสมอไป  หากแต่ในบาง moment ก็ยังมีเรื่องอารมณ์มาแทรกอยู่บ้าง  สูตรสำเร็จในการบริหารคนจึงใช้ได้เพียงในช่วงเวลาหนึ่งที่ค่อนข้างจะนำไปใช้ไม่ได้ในสถานการณ์และเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป  หากจะรักษาคนเก่งให้ได้ผล ต้องมองหาและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป  ซึ่งต้องหมั่นวิเคราะห์ประเมินความเป็นไปของวงการแจ้งงานกันอย่างไม่วางตาเลยทีเดียว
ว่าแต่คนเก่งนั้น เลือกอยู่กับองค์กรด้วยสาเหตุเหนี่ยวรั้งเรื่องใดเป็นหลักล่ะครับ  ท่านผู้อ่านคิดอย่างไร ?
John Sullivan  ศาสตราจารย์สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรบุคคลแห่ง San Francisco State University ประเทศสหรัฐอเมริกา  ผู้โด่งดังจากบทความเรื่อง “HR People Are from Mars, CEOS Are from Venus” เมื่อหลายปีก่อนเคยบอกเอาไว้ว่า คนเก่งรุ่นใหม่เจนวายที่อายุยังน้อยนั้น เลือกที่จะอยู่กับองค์กรใดด้วยสองปัจจัยหลักได้แก่ ความรู้สึกว่าเค้าได้ทำงานที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา กับความต้องการให้งานที่ทำสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กรหรือกับโลก ด้วยปัจจัยเช่นนี้ องค์กรแทบจะทั่วโลกจึงดูเหมือนจะยังขาดขีดความสามารถในการจูงใจและรักษาคนเก่งให้ทำงานกับองค์กรนาน ๆ
ความต้องการเช่นนี้ ช่างผิดกับสมัยคนเก่งรุ่นพ่อรุ่นป้าเหลือเกินนะ  เพราะคนรุ่นนั้น แค่เจ้านายเดินมาทักทายและพูดถึงในที่ประชุมก็ยิ้งแทบแก้มปริ รักภักดีกับองค์กรจนแทบจะไม่อยากปันใจให้องค์กรอื่นแล้ว ไม่ต้องคิดถึงงานอะไรที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงโลกหรือ จริงมั้ยครับ  
เมื่อดูอัตราการลาออกจากงานของพนักงานที่มีอัตราเฉลี่ยของประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่สูงราว 13%-20% ต่อปีแล้ว ก็ยิ่งมองภาพได้ต่อไปว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่เอาการ ที่ส่งผลต่อผลิตภาพในงานขององค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่กระนั้น ก็ไม่ใช่ว่าปัญหาหนักหนาเอาการเช่นนี้จะก้าวข้ามไม่ได้ ขอเพียงให้ผู้บริหารองค์กรตั้งใจจริง และทำมันอย่างต่อเนื่องก็จะได้ผล  และปรับมุมมองใหม่หันไปสร้างเสริมให้พนักงานที่ไม่ค่อยผูกพันกับองค์กร (Disengaged People) กลับลำมาผูกพันกับองค์กรมากขึ้น พร้อมกับระมัดระวังอย่าให้พนักงานที่ไม่ค่อยผูกพันกับองค์กรนั้น เริ่มถอดใจและหมดใจ            ไขก๊อกออกไปจากองค์กร  ผู้บริหารและ HR ต้องผนึกกำลังกัน หมั่นสำรวจความผูกพันต่อองค์กร (Engagement Survey) ให้บ่อยครั้ง และหามาตรการรองรับปัญหาความถอดใจของพนักงานให้ได้ผล 
แน่นอนว่า ผลการสำรวจมักจะช่วยสะท้อนมุมมองของคนเก่งไปด้วย  ไม่ใต่แต่คนทำงานผลงานธรรมดาซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ขององค์กรเท่านั้น 
แต่หากองค์กรไม่มีกำลังมากพอที่จะจ่ายต้นทุนของการสำรวจคความพูกพันต่อองค์กรแล้วล่ะก้อ ผมอยากแนะนำให้ผู้บริหารหันมาหมั่นกำชับและสอนให้หัวหน้างานที่ใกล้ชิดลูกน้องทุกระดับ  รู้จักที่จะพูดคุยซักถามหาข้อมูลเกี่ยวกับความผูกพันต่อองค์กรจากพนักงาน (ทั้ง) คนเก่ง (และคนผลงานธรรมดา) อยู่เป็นระยะ โดยอาจให้น้ำหนักอย่างมากกับคนเก่งเพราะสร้างคุณค่าให้กับองค์กรได้มากกว่า หากทำแบบนี้ได้  โอกาสที่จะหยุดคนเก่งให้คงทำงานกับองค์กรต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เรื่องทำนองแบบนี้ ทั้งผู้บริหารระดับสูงและ HR ต้องมองภาพงานออกมาในแนวเดียวกันครับ ไม่เช่นนั้น HR จะทำงานยากเพราะขาดแรงหนุนหลังที่เข้มแข็ง
หัวหน้างานที่ใกล้ชิดคนเก่งไม่ว่าระดัลบตำแหน่งใด  ควรสนใจหมั่นถามคนเก่งในเรื่องต่อไปนี้
(1)  ได้ทำงานที่ชอบหรือใช่แล้วหรือยัง  หากยัง คิดว่าสภาพแวดล้อมการทำงานแบบใดที่จะทำให้ได้ทำงานที่ใช่ ?
(2)  งานที่ทำสร้างความแตกต่างหรือสร้างคุณค่าทางบวกหรือยัง  และคิดว่า เพื่อนร่วมงานได้ช่วยสร้างคุณค่านั้นให้กับหน่วยงานหรือองค์กรหรือยัง ?
(3)  บทบาทการทำงานเรื่องใดที่ชอบมากที่สุด และต้องการงานใดเพิ่มเติมจากที่ชอบนั้นหรือไม่ ?
(4)  อะไรคือสิ่งที่ท้าทายหรือเร้าใจที่สุด และองค์กรควรจะทำอย่างไรเพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำงานที่ท้าทายหรือเร้าใจนั้น ?
(5)  รู้สึกว่ายังขาดการยกย่องชมเยหรือขาดแรงจูงใจเรื่องใดหรือไม่ และองค์กรควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้สิ่งนั้น ?
(6)  อีกสองถึงสามปีข้างหน้า  อยากทำงานใดในองค์กร ?
(7)  มีโอกาสได้พบปะกับผู้บริหารระดับสูงหรือผู้บริหารที่อยู่ในระดับอำนาจที่จะต้องตัดสินใจเรื่องราวสำคัญในองค์กรหรือไม่ ?
(8)  ต้องการเลื่อนตำแหน่งไปทำงานในระดับบริหารหรือไม่  มีความหวังด้าหน้าในงานอย่างไรบ้าง  
เรื่องการทำให้หัวหน้างานใกล้ชิดคนเก่ง หันมาตั้งคำถามและช่วย HR  หาแนวทางในการรักษาคนเก่งให้อยู่ติดองค์กรมากขึ้นนี้  ช่วยให้การรักษาคนเก่งมีประสิทธิภาพอีกมากโข 
ท่านผู้บริหารทั้งหลาย อย่าลืมเรื่องใกล้ตัวเช่นนี้เสียล่ะ   
ชวนให้คิดและนำไปลงมือทำครับ !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น