HR Standard Assessment หรือ HR
Audit นับได้ว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับวงการงานบริหารทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย
แนวคิดนี้ เกิดขึ้นมาจากความประสงค์ของวงการวิชาการแวดวงนักปฏิบัติที่อยากเห็น HR
มีมาตรฐานเชิงวิชาชีพเทียบเคียงได้กับกลุ่มวิชาชีพเช่นงานบัญชี
งานตรวจสอบภายในที่มีมาตรฐานการทำงานอันชัดเจน จับต้องได้ ประกอบกับงาน HR ซึ่งโดยธรรมชาติเกี่ยวข้องกับเรื่องของ “คน”
ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นรูปธรรม ไม่อาจชี้วัดได้อย่างตายตัว
และยิ่งภายใต้กรอบความคิดของการบริหารงานเชิงกลยุทธ์ ที่มุ่งมองกลไกการปฏิบัติ
และผลลัพธ์ของงานเป็นตัวตั้ง HR ก็ยิ่งยากที่จะปฏิเสธการใช้ตัววัด (metrics)
เพื่อบ่งชี้ความสำเร็จของการทำงานกับเป้าหมายที่วางเอาไว้
พร้อมกับอิทธิพลของการบริหารความเสี่ยงที่เข้ามามีบทบาทกำหนดและกำกับให้ HR
ต้องมองถึงงานในวันข้างหน้า
คู่ขนานกับสิ่งที่อาจส่งผลกระทบในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้
เป็นเรื่องหลักที่ผลักดันให้งาน HR ต้องถูกตรวจสอบจากรอบตัวมากขึ้นทุกขณะ
มองไปถึงแวดวงวิชาการบ้านเรา
ว่ากันตามจริงแล้ว ก็เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีของความสนใจในเรื่อง HR Audit มานานหลายปี
นับจากที่ได้มีการจัดการสอนกันในหลักสูตรระดับปริญญาโทด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สถาบันบริหารธุรกิจศศินทร์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก ส่วนที่สถาบันหรือมหาวิทยาลัยอื่น ผมคิดว่าคงจะมีจัดการเรียนการสอนแพร่หลายมากขึ้น เรื่องสำคัญแบบนี้ น่าสนับสนุนให้มีการสอน
วิจัยและเผยแพร่ความรู้กันในบ้านเราครับ
Ronald Adler, CEO ของ Laurdan Associates องค์กรที่ปรึกษาด้านการตรวจสอบงาน
HR, แนวปฏิบัติด้านความรับผิดในการจ้างงานเพื่อป้องกันความเสี่ยง,
HR metrics และการเทียบเคียง(Benchmarking) รวมทั้งการให้คำแนะนำประเด็นการบริหาร
HR กับกลยุทธ์ธุรกิจ ซึ่งจัดว่ามีชื่อเสียงมากในการนำเสนอเรื่อง
HR Audit สู่ประชาคมคนทำงาน HR มองว่า
การตรวจสอบงาน HR นั้น
ดำเนินได้ทั้งในแบบการประเมินอย่างถี่ถ้วน ครบทุกประเด็น และทุกรายการชี้วัด
หรือจะเลือกประเมินเฉพาะในบางเรื่อง
จากนั้นจึงต่อยอดไปสู่การประเมินแบบแรกก็ไม่แปลกแต่อย่างใด แต่กระนั้น โดยทั่วไปแล้ว การตรวจสอบงาน HR
จะประกอบไปด้วยรายการตรวจสอบ (checklist) 16 เรื่องหลัก
อันเป็นการตรวจสอบว่า...
1.
วัตถุประสงค์และกลยุทธ์ของงาน HR เชื่อมโยงและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์
กลยุทธ์และเป้าหมายขององค์กรหรือไม่ ?
2.
องค์กรและฝ่าย HR
มีแผนการบริหารคนเก่ง (Talent Management)
และแผนการสืบทอดตำแหน่งงาน (Succession Plan) หรือไม่ ?
3.
มีค่านิยม คุณค่าองค์กร หรือวัฒนธรรมองค์กรหรือไม่ ?
4.
มีการตรวจสอบและประเมินผลกระทบหรือผลลัพธ์จากการบริหารงาน HR ต่อกิจกรรมการบริหารงานทั่วไป
ขีดความสามารถในการแข่งขัน?
5.
โครงสร้างองค์กร (Organization Structure)
มีผลกระทบต่อการดำเนินงานทางธุรกิจอย่างไร
มิใช่แค่การพิจารณาลำดับชั้นการบังคับบัญชาตามแผนผังโครงสร้างองค์กรหรือ Organization
Chart เท่านั้น รวมทั้งการประเมินว่า โครงสร้างองค์กรนั้น
ถูกนำไปใช้จริง
และมีการประเมินความเหมาะสมของการจัดโครงสร้างองค์กรกับผลลัพธ์ทางธุรกิจหรือไม่
และอย่างไร?
6.
มีการตรวจสอบสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้
สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานว่ามีสภาพที่ดี ปลอดภัยและสอดคล้องทางกายภาพกับกลุ่มพนักงาน
เช่น คนปกติ และคนพิการ หรือไม่ ?
7.
มีการตรวจสอบว่าการประกาศ
ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารขององค์กรสู่พนักงานทุกคนให้รับทราบนั้น มีประสิทธิภาพ
เผยแพร่อย่างทั่วถึง และได้ผลเพียงใด ?
8.
มีการตรวจสอบภาพลักษณ์ ชื่อเสียงและแบรนด์นายจ้าง (Employer Brand) ขององค์กรหรือไม่
?
9.
มีการสำรวจตรวจสอบความพึงพอใจในการทำงาน (Employee Satisfaction Survey)
และการสำรวจความผูกพันต่อองค์กร (Employee Engagement Survey)
หรือไม่
รวมทั้งมีการนำผลจากการสำรวจไปสู่การปรับปรุงพัฒนาเรื่องที่เกี่ยวข้องหรือไม่ ?
10.
มีระบบการเก็บข้อมูลประวัติหรือระเบียนพนักงานหรือไม่
และการจัดเก็บนั้น
มีการกำหนดชั้นความลับหรือบุคคลที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หรือไม่ ?
11.
ตรวจสอบว่า นโยบายการจัดจ้างพนักงาน
มีการกำหนดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ และมีการนำไปใช้งานจริง
พร้อมกับสื่อสารให้บุคลากรรับทราบหรือไม่ ?
12.
ตรวจสอบเรื่องการบรรจุพนักงานในตำแหน่งงาน (Staffing)
การจัดทำรายการและระดับสมรรถนะตามตำแหน่งงาน (Competencies)
รวมทั้งการประเมินช่องว่างสมรรถนะ
13.
ตรวจสอบระบบการให้รางวัล สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการตามตำแหน่งงาน
หรือตามโครงสร้างที่องค์กรกำหนด
รวมทั้งตรวจสอบสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจการทำงานเพื่อเปรียบเทียบกับตลาดแรงงานทั้งในธุรกิจและภาพรวมของอุตสาหกรรม
?
14.
ตรวจสอบความสัมพันธ์ ข้อเรียกร้องที่องค์กรมีกับสหภาพแรงงาน
คณะกรรมการลูกจ้าง คณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบการ
หรือคณะกรรมการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้จัดตั้ง
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและหลีกเลี่ยงข้อพิพาทแรงงาน
อันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงองค์กร ?
15.
ตรวจสอบกระบวนการทำงานของ HR ว่าเป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้หรือไม่ ?
16.
ตรวจสอบว่าผลลัพธ์โดยรวม (Total Outcomes) จากงาน HR เป็นไปในระดับที่องค์กรคาดหวังไว้หรือไม่
?
16 ประเด็นของการประเมิน HR
นี้ สาหัสไม่เบานะครับ โดยเฉพาะหากท่านทำงาน HR เชิงรับ หรือทำเฉพาะงาน routine ที่ไม่ค่อยมีงานเชิงพัฒนาระบบ
HR ด้วย ก็ยิ่งลำเค็ญหัวใจ แต่อย่างเพิ่งท้อใจไปครับ
ทุกอย่างก็ต้องมีจุดเริ่มต้น
อยู่ที่ขอให้ท่านเริ่มต้นแบบมีหลักเกณฑ์หลักการรองรับเสียหน่อย
รับรองว่าทำงานง่ายขึ้นเยอะเลยครับ
อ.สุรศักดิ์ ใจเย็น ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลและธุรการ ของบริษัทรถยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศไทยแห่งหนึ่ง
ได้นำเสนอข้อมูลไว้ในเวบไซด์ของ SV
Pro Consulting โดยอธิบายไว้ว่า การดำเนินการ HR
Standard Assessment หรือ HR Audit
ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องยาก หรือซับซ้อนมากนัก ผู้บริหารงาน HR สามารถทำได้ด้วยตนเอง สิ่งสำคัญของการประเมินคือต้องเข้าใจในเป้าหมายของการประเมิน
ว่าเป็นการประเมินเพื่อนำผลมาพิจารณาการปรับปรุง พัฒนา ไม่ได้ทำเป็นจับผิด
หรือการสร้างภาพลักษณ์ แบ่งงานการประเมินเป็นขั้นตอน และมีแนวทางการประเมิน
ซึ่งผมขอนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้
ก. ขั้นการเตรียมหัวข้อประเมิน
หัวข้อที่ใช้ในการประเมินควรจะครอบคลุมงานพื้นฐานของ
HR ทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายที่เกี่ยวข้องงาน HR ลงไปสู่ฝ่าย HR จากนั้นจึงลงลึกไปยังระดับงานที่ HR ปฏิบัติจริง
โดยเฉพาะหากสามารถเชื่อมโยงขั้นตอนของงาน
หรือเอกสารที่เกี่ยวข้องได้จะยิ่งทำให้การประเมินได้เห็นภาพในประเด็นเพื่อการปรับปรุงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยหลักการประเมินผมมีคำแนะนำหัวข้อการประเมินพื้นฐาน ใน 10 กลุ่มงานหลัก รวม 140
ประเด็น โดยการตั้งคำถามในแต่ละประเด็นดังนี้
1. ด้านนโยบายและกลยุทธ์เกี่ยวกับการบริหาร
HR ในระดับองค์กร
ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีการกำหนดแผนงาน และเป้าหมายด้านบุคลากรในแต่ละปี
·
มีการกำหนดอำนาจอนุมัติให้กับพนักงานในระดับต่าง ๆ อย่างชัดเจน
·
มีการสื่อสารให้พนักงานเข้าใจถึงเป้าหมายด้านบุคลากรในแต่ละปี
·
มีการกำหนดวัฒนธรรมหลักขององค์กรและมีการสื่อสารให้พนักงานเพื่อยึดถือปฏิบัติ
·
มีการกำหนด Core
Competency ขององค์กร
·
มีการกำหนดแผนงานหลักของหน่วยงาน HR และแบ่งหน้าที่ให้ทีมงาน
·
หน่วยงานของ HR
รายงานตรงต่อผู้บริหารสูงสุดขององค์กร
·
แผนงานของ HR
มีการทบทวนทุก 6 เดือน
·
มีการรวบรวม HR
Manual / Procedure อย่างเป็นรูปธรรม และครบถ้วน
·
การบริหารงบประมาณของ HR ได้รับการสนับสนุนให้สอดคล้องกับนโยบายด้าน HR
2. ด้านบทบาท
และความสามารถของทีมงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
· HR เป็นสมาชิก
และเข้าร่วมประชุมกับชมรม/สมาคม ภายนอกอย่างน้อยเดือนละ 1
ครั้งและมีการนำข้อมูลมาสื่อสาร
· คุณสมบัติพื้นฐานของผู้ปฏิบัติงาน HR สอดคล้องกับโครงสร้างของตำแหน่งงาน เช่น
อายุงานในวิชาชีพ HR เฉลี่ยของทีมงานไม่ กว่า 5 ปี
·
พนักงานในหน่วยงาน 50 % เคยทำงานในสายงานย่อยอื่น ๆ ของ HR มากก่อน
·
ค่าจ้าง และผลตอบแทนของทีมงานสามารถแข่งขันกับตลาดได้
·
มีการทดสอบความรู้พื้นฐานด้านกฏหมายแรงงาน , ความรู้ HR แนวใหม่กับทีมงานในรอบ 6 เดือน
·
ทีมงาน HR ทุกคนเคยได้ร่วมกิจกรรมกับกลุ่มสังคม
HR ภายนอกในรอบหกเดือน
·
ทีมงาน HR ทุกคนมีพี้เลี้ยงภายในคอยให้คำแนะนำ
(ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา)
·
มีการประเมินผลงานในเชิงปฏิบัติของทีมงานทุก 6 เดือน
(ไม่ใช่การประเมินผลประจำปี)
·
ผู้บริหารงาน HR มีช่องทางการสื่อสารพิเศษโดยตรงจากพนักงาน / ตัวแทนพนักงาน / สหภาพ
(กรณีร้องเรียน)
·
กรณีพนักงานระดับกลางลาออก มักจะปรึกษากับ HR / ทราบข้อมูลก่อนการตัดสินใจ
3. ด้านการสรรหา
คัดเลือกและการวางแผนอัตรากำลัง ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีแผนอัตรากำลังคนที่รับอนุมัติเป็นทางการและใช้อย่างสม่ำเสมอ
·
การบรรจุทดแทนตำแหน่งงานว่าง
จะพิจารณาความจำเป็นของงานมากกว่าตำแหน่งว่างแล้วต้องรับ
·
มีขั้นตอนการเสนอขออนุมัติ และดำเนินการก่อนการว่าจ้างอย่างชัดเจน
และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ
·
มีการตรวจสอบใบกำหนดหน้าที่งาน (จะเรียกว่า Job Description, Job Profile หรือ
Role Profile) ก่อนการเริ่มกิจกรรมสรรหา
·
มีการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะก่อนการสรรหาทุกตำแหน่ง
·
มีขั้นตอนการสรรหาภายในก่อนการสรรหาภายนอก (โดย HR เป็นผู้ประสานงานหลัก)
·
มีวิธีการสรรหาใบสมัครหลายวิธีในทุกตำแหน่งงาน
·
มีระเบียบ และขั้นตอนการสรรหาที่ชัดเจน และหน่วยงานอื่น ๆรับทราบ
·
มีการแลกเปลี่ยนใบสมัครกับองค์กรอื่น ๆ
·
ใบสมัครเก่า ได้รับการเก็บรักษา และนำมาใช้ประโยชน์ในการสรรหา
·
มีเครื่องมือประกอบการสรรหาคัดเลือก เช่นแบบทดสอบ
·
ใบสมัครทุกใบได้รับการScreen และคัดเลือกเบื้องต้นจาก HR
·
มีระบบการสัมภาษณ์โดยกรรมการหรือพิจารณาจากหลายฝ่าย
·
มีการอบรมให้ความรู้เรื่องเทคนิคการสัมภาษณ์ให้กับผู้มีหน้าที่ในการคัดเลือก
·
มีการตรวจสอบข้อมูลพนักงานในด้านต่าง ๆ ก่อนการว่าจ้าง (Reference / คุณสมบัติ)
4. ด้านการบริหารค่าจ้าง
สวัสดิการ และผลประโยชน์ ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีใบกำหนดหน้าที่งาน (จะเรียกว่า Job Description, Job Profile หรือ Role
Profile) ครบทุกตำแหน่ง และมีการทบทวนทุกปีอย่างจริงจัง
·
มีการกำหนดโครงสร้างระดับตำแหน่งงาน (ระดับ , Layer)
·
มีการพิจารณาข้อมูลจากกลุ่มธุรกิจคู่แข่งขันและนำข้อมูลมาประกอบค่าบริหารค่าจ้าง
·
มีการร่วมสำรวจข้อมูลค่าจ้างกับหน่วยงานภายนอกมากกว่า 1
หน่วยงานต่อปี
·
ข้อมูลค่าจ้างที่ได้รับจากภายนอกมีการนำเสนอผู้บริหารให้รับทราบ
และหารือ
·
% การขึ้นค่าจ้าง มีระบบการสรุปข้อมูล ทั้งจากคู่แข่ง องค์กรภายนอก
และสภาวะธุรกิจ
·
มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในประเด็นด้านค่าจ้าง และผลตอบแทน
·
การขึ้นค่าจ้างมาจากผลการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นปัจจัยหลัก
·
มีการพิจารณาติดตามและแก้ไขเพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดในการจ่ายค่าจ้างอย่างสม่ำเสมอ
·
มีระบบ และขั้นตอนกำหนดที่ชัดเจนในการปรับค่าจ้างกรณีพิเศษ
หรือไม่ใช่เวลาปกติ
5. ด้านการฝึกอบรมและพัฒนา
ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีระเบียบปฏิบัติเรื่องการฝึกอบรม และหัวหน้างานรับทราบเข้าใจ
·
มีการกำหนดงบประมาณด้านการฝึกอบรมที่ชัดเจน นำเสนอ และบริหารโดย HR
·
มีการสำรวจความต้องการในการฝึกอบรมประจำปี และถูกนำไปใช้งานจริง
·
การอบรมภายในสามารถดำเนินการได้ตามแผนไม่น้อยกว่า 80 %
·
การอบรมภายนอกต้องมาจากแผนงาน
หรือมีขั้นตอนการพิจารณามากกว่าการอ้างว่ามีงบประมาณ
·
ค่าเฉลี่ยของชั่วโมงฝึกอบรมของพนักงานระดับกลางขึ้นไปไม่น้อยกว่า 4
วัน/คน/ปี
·
มีแบบฟอร์ม และขั้นตอนการขออนุมัติฝึกอบรมล่วงหน้า
โดยตัวผู้เข้าอบรมมีส่วนร่วม
·
มีระบบการติดตามผลการฝึกอบรมภายนอก หรือหลักสูตรเฉพาะ
·
มีการกำหนดตารางการฝึกอบรมก่อนการปฏิบัติงานหรือการปฐมนิเทศไม่น้อยกว่า
1 วัน
·
การอบรมทุกครั้งมีการประเมินผลประสิทธิภาพการจัดอบรม
และสื่อสารให้ผู้บริหารทราบ
·
มีระบบการเก็บบันทึกผลการฝึกอบรมประจำปี
และพนักงานได้รับทราบบันทึกนั้น
·
มีการกำหนดหลักสูตรฝึกอบรมที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะ
และทัศนคติ
·
มีการฝึกอบรมเพื่อเตรียมบุคลากรไปปฏิบัติหน้าที่อื่น
·
ก่อนการไปฝึกอบรม มีการตรวจสอบข้อมูลอดีตไม่ให้มีการอบรมซ้ำกันในรอบ
2 ปี และ
·
มีผู้ปฏิบัติงานเฉพาะด้านในงานด้านฝึกอบรม (ไม่ใช่งานฝาก)
6. ด้านแรงงานสัมพันธ์และการจัดการด้านวินัย
ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีผู้รับผิดชอบหลักในด้านแรงงานสัมพันธ์/ระเบียบวินัย
·
ข้อบังคับการทำงานได้รับการทบทวนอย่างจริงจังทุก 2 ปี
·
ข้อบังคับการทำงานได้รับการติดประกาศในสถานที่ที่พนักงานอ่านได้ง่าย
·
มีการฝึกอบรมหัวหน้างานให้เข้าใจข้อบังคับการทำงาน
·
มีการอบรมพนักงานใหม่ด้านข้อบังคับ และระเบียบวินัยไม่ต่ำกว่า 1
ชั่วโมง โดย HR
·
มีเอกสารสัญญาจ้างของพนักงานครบทุกคน
·
พนักงานทุกคนได้รับการแจกคู่มือพนักงาน
·
มีเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ประกาศ ระเบียบ มากกว่าการติดประกาศ
·
หัวหน้างานได้รับทราบก่อน และมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ระเบียบ
และข่าวสาร
·
หัวหน้างานได้รับการอบรมทักษะในการบริหารทีมงานอย่างน้อย 3
ชั่วโมงต่อปี
·
มีการอบรมทักษะการประเมินผลการปฏิบัติงาน /
ให้พิจารณาครอบคลุมเรื่องวินัย
·
มีการกำหนดแผนกิจกรรมประจำปี และแจ้งให้พนักงานทุกคนรับทราบ
·
มีการประชุมคณะกรรมการสวัสดิการตามกำหนด
และวาระกรรมการเป็นปัจจุบัน
·
การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์เป็นกิจกรรมที่สำคัญที่HR คำนึงถึง
·
ระเบียบการปฏิบัติต่าง ๆ ถูกกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
และพนักงานรับทราบ
·
ตัวแทน HR ได้พบปะกับหน่วยงานอย่างเป็นทางการเป็นรายสัปดาห์
·
ข้อมูล ข้อร้องเรียนของพนักงานในรายวัน ถูกนำมาพิจารณา
และส่งข้อมูลความคืบหน้า
·
มีระบบการสัมภาษณ์พนักงานก่อนออกจากงานอย่างจริงจัง
และนำข้อมูลมาใช้
·
มีการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
และผลการสำรวจมีการนำไปปฏิบัติให้เห็นอย่างชัดเจน
·
ขั้นตอนการลงโทษทางวินัยมีการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษร
·
หัวหน้างานได้รับการฝึกอบรมขั้นตอนการลงโทษทางวินัย
·
สวัสดิการ
และความสะดวกพื้นฐานในที่ทำงานของพนักงานได้รับการตรวจสอบทุกสัปดาห์
·
กรณีมีการเลิกจ้าง
ไล่ออกจะมีการสื่อสารไปยังพนักงานที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม
·
25 % ของพนักงานได้รับการอบรมด้านการทำงานเป็นทีมอย่างน้อยปีละ 1
ครั้ง
·
บอร์ดประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารได้รับการ Update ในรายสัปดาห์
·
พนักงานสามารถปรึกษากับผู้บริหารงาน HR ได้โดยตรง
·
ผู้บริหารสูงสุดมีโอกาสในการประชุมพบปะกับพนักงานทั้งหมดอย่างน้อยปีละ
1 ชั่วโมง
·
ผู้นำทางสังคมขององค์กรได้รับการใส่ใจรับทราบจากผู้บริหาร
·
การเลิกจ้างอันเนื่องจากการกระทำผิดซ้ำคำเตือนได้รับการปฏิบัติอย่างปกติ
และเหมาะสม
·
HR
มีการติดต่อสัมพันธ์กับหน่วยงานราชการด้านแรงงาน(ระดับการรู้จัก /คุ้นเคย)
7. ด้านการบริหารผลการปฏิบัติงาน ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีแบบฟอร์มการประเมินผลการปฏิบัติงานครบทุกตำแหน่ง
·
มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
·
การประเมินผลการทดลองงานมีการดำเนินการอย่างน้อย 2
ครั้งก่อนการครบทดลองงาน
·
มีกรณีการไม่ผ่านทดลองงาน หรือการยืดระยะเวลาทดลองงานในรอบ 1 ปี
·
หัวข้อการประเมินผลการปฏิบัติงานได้รับการพิจารณาจากที่ประชุมระดับจัดการทุกปี
·
แบบฟอร์มการประเมินผลการปฏิบัติงานมีการทบทวนอย่างน้อย 2 ปี/ครั้ง
·
มีการจัดทำคู่มือแนะนำวิธีการประเมินผลแจกจ่ายให้กับผู้ประเมินทุกท่าน
·
มีการฝึกอบรมวิธีการประเมินผลทุกปี
·
มีระบบการหารือร่วมระหว่างผู้ประเมิน ผู้ถูกประเมินในการประเมินผล
·
ผลการประเมินมีขั้นตอนการทบทวน
และมีกรณีของการแก้ไขทบทวนเกิดขึ้นจริง
·
ขั้นตอนการนำผลประเมินไปใช้ มีระบบการคำนวณผลที่เป็นมาตรฐาน
·
มีขั้นตอนการแจ้งผลการประเมิน รวมทั้งจดหมายการแจ้งผลประเมิน
·
มีการวิเคราะห์ผลการประเมินเพื่อนำไปใช้ในระบบการฝึกอบรมในปีต่อไป
·
มีรายงานสรุปการประเมินผล
การให้ผลตอบแทนจากการประเมินผลให้ผู้บริหาร
·
ผลประเมินนำไปจ่ายผลตอบแทนทั้งค่าจ้าง และโบนัส
8. ด้านการสื่อสาร
ระบบเอกสารและข้อมูลข่าวสาร ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
ผู้บริหาร HR ได้รับข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ
·
มีการนำข้อมูลข่าวสารตามข้อ 1 มาสื่อสารให้กับทีมงานทราบ
รวมทั้งกำหนดแนวปฏิบัติ
·
มีแผนงานในการสื่อสารข้อมูลแต่ละประเภทด้วยวิธีที่หลากหลาย
และได้รับการปฏิบัติจริง
·
มีการจัดทำสถิติเกี่ยวกับคนในองค์กรทุก 6 เดือน (อายุ , เพศ, สถานที่
ฯลฯ) และสถิติถูกนำมาใช้ในการกำหนดแนวทางการบริหารเกี่ยวกับโครงการของ HR
·
ขั้นตอนการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของ HR จัดทำเป็นเอกสารมากกว่า 70 %
·
มีโปรแกรมเก็บข้อมูลพนักงานด้านการฝึกอบรม ,ประวัติ และถูกนำไปใช้งานจริง
·
มีรายงานความเคลื่อนไหวของ HR ทุกส่วนงานทุกเดือน
สื่อสารให้กับผู้บริหารทุกส่วน
·
มีระบบการตรวจสอบความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารของพนักงาน
·
มีผู้ได้รับการมอบหมายหน้าที่ประจำ/โดยตรงในภารกิจ
"การสื่อสารภายในองค์กร"
·
มีการบริหารจัดการเกี่ยวกับข่าวลือในองค์กรอย่างเป็นรูปธรรม
9. ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยส่งรายงานให้กับหน่วยราชการตรงเวลาทุกครั้ง
·
มีการตรวจสอบอุปกรณ์ความปลอดภัยพื้นฐานทุกเดือน
·
มีรายงานการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง
และมีการลงนามของผู้มีอำนาจครบถ้วน
·
การอบรมด้านความปลอดภัยสามารถจัดได้ตามแผนงาน
·
คณะกรรมการความปลอดภัยประชุมตามเวลาครบทุกเดือน
·
มีการเดินตรวจด้านความปลอดภัยทุกเดือน
·
ประเด็นด้านความปลอดภัยมีการนำเสนอต่อที่ประชุมผู้บริหารทุกเดือน
·
รายการยา และเวชภัณฑ์ สอดคล้องตามข้อกำหนด
และได้รับการตรวจสอบทุกเดือน
·
มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทำงานเต็มเวลา
และครบประสิทธิภาพตามข้อกำหนดพื้นฐาน
·
รายงานด้านอุบัติเหตุ , ความปลอดภัยเป็น KPI ที่ได้รับการตรวจสอบจากผู้บริหาร
10. ด้านธุรการ
การสนับสนุนและสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงาน ควรมีหัวข้อประเมินดังนี้
·
มีสถานที่สำหรับการสัมภาษณ์ หรือปฐมนิเทศพนักงานใหม่โดยเฉพาะ
·
มีระบบการประเมินผลความพึงพอใจผู้รับเหมาให้บริการธุรการภายในทุก 6
เดือน
·
ทีมงานธุรการมีการประชุมกับผู้รับเหมาให้บริการงานธุรการทุก 6
เดือน
·
มีการตรวจสอบห้องน้ำ อาคารสถานที่ทุกสัปดาห์
·
คำร้องเรียนด้านธุรการ เช่นรถรับส่ง โรงอาหาร ถูกดำเนินการทันที
·
การคัดเลือกผู้ให้บริการดำเนินการโดยทีมงาน
·
มีรายงาน ประสิทธิภาพและสถานะของงานบริการทุกเดือน
·
มีสัญญาผู้รับเหมาทุกราย โดย HR มีการตรวจสอบ เพิ่มเติมก่อนการลงนามทุกครั้ง
·
มีการกำหนดการรับผิดชอบในกรณีความผิดพลาดย่อยไว้ในสัญญา
(เบี้ยปรับ)
·
มีการทบทวนสัญญาทุก 1 ปี (Contract Review)
·
การคัดเลือกผู้ให้บริการ
ก่อนการจัดซื้อต้องมีผู้เสนอเปรียบเทียบไม่ต่ำกว่า 3 ราย
·
อุปกรณ์สวัสดิการต่าง ๆ เช่นชุดฟอร์ม รองเท้า ต้องส่งมอบตรงเวลา
100 %
·
หลังการส่งมอบอุปกรณ์สวัสดิการทุกครั้งต้องมีการประเมินผล
แบบกลุ่มย่อย
·
คณะกรรมการร่วมต่าง ๆ ต้องมีการประชุมกับ HR อย่างน้อย 3 เดือน/ครั้ง
·
มีเอกสารขั้นตอนการทำงานหรือ Work Instruction เพื่อควบคุมขั้นตอนการใช้เครื่องมือ
สถานที่ การดูแลบำรุงรักษา
อ.สุรศักดิ์
ให้มุมมองด้วยว่า เรื่องที่ให้พิจารณาทั้งหมดข้างต้น อาจจะยังไม่ครอบคลุมระบบงาน HR แบบ 100 % เนื่องจากบางกลุ่มงานอาจจะมีรายละเอียดของสิ่งที่ต้องพิจารณามากกว่ากลุ่มงานอื่น
อันส่งผลให้ภาพรวมแล้ว HR มีเรื่องที่จะต้องประเมินกันมากกว่าที่นำเสนอมา ผมเพียงขอเสนอความเห็นว่า
จะมีเรื่องหรือหัวข้อที่จะใช้ประเมินมากหรือน้อยนั้น
อยู่ที่ความพร้อมและระบบงานรองรับมากกว่า ไม่ควรกำหนดหัวข้อประเมินโดยที่ยังไม่เคยมีหรือคนทำงานยังไม่เข้าใจระบบงานนั้นมาก่อน
เพราะจะรังแต่ทำให้เกิดความสับสบ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนในการทำงาน ผลบั้นปลายที่ได้รับอาจจะไม่น่าพึงพอใจอย่างที่อยากได้หรือคาดคิดไว้
วิธีการประเมิน /
การให้คะแนน
เท่าที่ผมลองอ่านจากหลายบทความที่นำเสนอ
พบว่า วิธีการประเมินควรประเมินงาน HR นั้น จะประเมินหรือเก็บข้อมูลจาก peer หลายฝ่าย อย่างน้อยที่สุดก็ตรวจสอบจากสามเส้า (triangulation ตามหลักการวิจัยเชิงคุณภาพเลย) จาก 3 ส่วนคือ จากการสอบถามผู้ปฏิบัติงาน จากการตรวจสอบเอกสาร /หลักฐานเชิงประจักษ์
และจากการสอบถามลูกค้าภายในหรือผู้บริหารและพนักงานในองค์กร
ส่วนการให้คะแนนการประเมิน
ไม่ค่อยนิยมให้คะแนนแบบสุดโต่งคือ “มี”
กับ “ไม่มี” เพราะเอาเข้าจริงแล้ว คนทำงาน HR ต่างก็คุ้นเคยกับสิ่งที่จะตรวจสอบมาบ้าง
เพียงแต่ไม่ได้เรียกขื่อหรือวางระบบงานนั้นไว้อย่างเป็นทางการ ในทางปฏิบัติ
เวลาให้คะแนนประเมินผลการตรวจสอบก็มักจะกำหนดเกณฑ์การประเมินออกเป็น 3 ระดับ
และให้ค่าคะแนน ดังนี้
ปัจจัยการพิจารณา ค่าคะแนน
มีระบบงานอยู่แล้ว /
ปรากฏเอกสารหลักฐานชัดเจน / ปฏิบัติสม่ำเสมอ 2
มีระบบงานอยู่บ้าง
แต่ไม่สมบูรณ์ / มีการปฏิบัติเป็นบางครั้ง 1
ไม่มีระบบงาน /
ไม่มีเอกสารใช้งาน / ไม่ได้ปฏิบัติจริง 0
จากนั้น
ผู้บริหาระดับสูงจะต้องเคาะมานะครับว่า ระบบงาน HR ที่ท่านพึงประสงค์ในแต่ละช่วงเวลา เช่น
ในช่วงเวลาที่พัฒนาระบบงาน และสองสามปีหลังจากนั้น
แต่ละช่วงควรจะมีผลการประเมินในแต่ละด้านเท่าใด และมีแผนที่จะต้องพัฒนาไปสู่มาตรฐานการทำงานที่ดีอย่างไร
ทั้งหมดนี้จะใช้เพื่อประกอบการปรับปรุงงาน และจัดลำดับความสำคัญในการปรับปรุงตามปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรที่จะต้องมช้ในการปรับปรุงอีกครั้ง
ค. การนำผลการประเมินไปใช้
เมื่อมีการประเมินงาน HR ในแต่ละด้านออกมาแล้ว HR
รับผลการประเมินไม่ได้
เอาผลการประเมินไปเก็บขึ้นหิ้งไว้เพื่อทำความเคารพ
หรือเอาไว้อ้างอิงว่ามีการตรวจสอบแล้ว แต่ไม่นำไปสู่การปรับปรุงงานเลย
ก็ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดแม้แต่จะต้องทำการประเมินระบบงาน HR ตั้งแต่เริ่มต้น
เสียเงินและสิ้นเปลืองทรัพยากรไปโดยไม่ควร
แต่หากผู้บริหารระดับสูงเอาจริงเจาจัง
ต้องการขับเคลื่อนงานพัฒนาด้วยการเอาผลการประเมินมาใช้วางแผนปรับปรุงงานแล้ว
ก็ควรจะต้องให้จำแนกการพัฒนาในแต่ละกลุ่มงาน พร้อมกับจัดลำดับความสำคัญในการปรับปรุงงาน
โดย อ.สุรศักดิ์
แนะนำให้วางเงื่อนไขการปรับปรุงพัฒนางานดังนี้ “กลุ่มงาน -> ประเด็นปัญหาที่ต้องแก้ไข -> แนวทางการแก้ปัญหา
-> แผนปฏิบัติ (อะไร, เมื่อไหร่,ใคร)” ลองนำไปใช้ดูครับ
สุดท้ายแล้ว ประเมินของการประเมินระบบงาน HR จากที่ได้นำเสนอความคิดความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมากดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานที่ดีเพื่อให้ HR ได้มานั่งทบทวนการทำงานในปัจจุบันว่ามีอยู่สถานะใด บกพร่องตกหล่นไปจากมาตรฐานงานที่ผู้เชี่ยวชาญว่าไว้ในแต่ละด้านหรือกลุ่มงานอย่างไร พร้อมทั้งได้ทราบว่า เมื่อเปรียบเทียบงานปัจจุบันกับมาตรฐานที่ควรจะต้องมีแล้ว ยังห่างไกลกันเพียงใด สิ่งที่เกิดขึ้นจากการทบทวนไตร่ตรอง จะนำไปสู่การทำงานในเชิงพัฒนาเพื่อให้ HR ตอบสนองกับองค์กรมากขึ้นตามลำดับ และสามารถสร้างคุณค่าต่อการดำเนินธุรกิจ สมดังที่ฝ่ายบริหารวาดหวังไว้ HR เป็น
ไม่ลองประเมินก็ไม่รู้
ไม่ลองนำไปทำดูก็ไม่ประสบผลสำเร็จครับ
ขออนุญาตนำข้อมูลไปใช้เพื่อ self audit นะคะ ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ