เรื่องแรก อ่านหนังสือ HR ที่กูรูชื่อก้องโลกเขียน –นอกเหนือจากการอ่านหนังสือจำพวก
know how หรือ how
to ในงาน HR ทั้งหลาย ซึ่งมีไม่น้อยตามร้านหนังสือ
ทั้งที่เขียนโดยนักวิชาการเต็มเวลา นักวิชาการอิสระ และบุคลากรที่ผ่านประสบการณ์ในการทำงาน
HR ผมยังแนะนำให้ท่านได้อ่านคือหนังสือชื่อก้องโลกที่เขียนออกมาจาก
Practices หรือแนวปฏิบัติของบริษัทชั้นนำ
จากงานวิจัยอย่างลุ่มลึกและศึกษาค้นคว้าอย่างทุ่มเทของผู้เขียน
ที่จะช่วยเปิดโลกความคิดและมุมมองใหม่ ๆ ในงาน HR ให้แก่ท่านทั้งหลาย หนังสือเหล่านี้ได้แก่ Global
HR (Claus Lisbeth) HR Strategy และ HR Transformation (Dave
Ulrich กับคณะ) HR Metric (Jon Boudreau & Wayne Cascio)
กับที่อยากแนะนำอีกเล่มคือ Organizational Development (Mehrdad
Baghai) อย่างไรก็ดี ท่านก็ไม่ควรอ่านเพียงขึ้นชื่อว่าได้อ่าน
หรืออ่านแบบผ่าน ๆ เท่านั้น ควรจะได้เก็บเอาแนวคิดหลัก (key thoughts) มาไว้เป็นแง่คิดในการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับงานที่ท่านทำต่อไป
เรื่องที่สอง หาอ่านวารสารในสาขาใกล้เคียงกับ HR – แม้ HR
จะไม่ใช่หน่วยงาน Core Business หรือหน่วยงานที่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจ
แตกต่างกับหน่วยงาน Sales หรือ Marketing หรือ Engineering แต่ทุกวันนี้ HR ก็ยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยกับบทบาทของการทำงานหลังบ้าน
และก้าวเข้าไปทำงานเชิงกลยุทธ์ร่วมส่วนกับหน่วยงานหลักขององค์กรมากขึ้นตามลำดับ
ไม่เพียงแต่ท่านควรสนใจหาอ่านความรู้ที่หลากหลายจากวารสารด้าน
HR ที่มีวางขายทั่วไป
หรือต้องบอกรับสมาชิก เช่น วารสารของ PMAT หรือสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย
หรือวารสารด้านกฎหมายและการบริหารงานบุคคลของธรรมนิติ วารสารของสถาบันทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(ไม่มีโฆษณาแอบแฝงนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกเล่าของจริงเท่านั้น) เท่านั้น
ท่านยังควรค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ จากวารสารต่างประเทศ ที่น่าสนใจก็ได้แก่ HBR
(Harvard Business Review), HR Magazine และ HRO Today เป็นต้น ซึ่งมีให้หาอ่านได้ตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งหลาย
แบบไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ
วารสารด้านอื่นที่ท่านผู้อ่านควรหามาอ่านได้แก่
วารสารเกี่ยวกับสภาพการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ วารสารแรงงานสัมพันธ์ วารสารด้านกฎหมายแรงงานและกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน
ซึ่งเป็นกฎหมายภาคบังคับที่ HR
จำเป็นต้องรู้ นอกเหนือไปจากวารสารด้าน HR
ที่ผมกล่าวถึง ขอให้ท่านอ่านไว้ให้เข้าใจ อย่างน้อยที่สุด
เผื่อเจ้านายขอคำปรึกษา จะได้หาหรือมีข้อมูลมาตอบได้ และ หากให้เจ๋งกว่านั้น ข้อมูลเหล่านี้อาจจะต้องนำมาใช้วางแผนเพื่อรับมือกับอนาคตอันใกล้ในงาน
HR ได้การวางแผนกำลังคน (Manpower Planning) เป็นต้น
เรื่องที่สาม เข้าไปร่วมกิจกรรมในสมาคมทางวิชาชีพ – อีกบทเรียนหนึ่งที่ผมเรียนรู้มาก็คือ
ข้อดีหรือจุดแข็งอย่างมากของการเป็นสมาชิกกับเครือข่ายทางวิชาชีพเช่น
สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) เป็นต้นคือ ช่วยให้ผมมีเครือข่ายการทำงานกว้างขวางมากขึ้น
ได้มีโอกาสพบปะผู้คนในสายอาชีพอื่นในกิจกรรมการอบรม/สัมมนาอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งได้รับเชิญจาก
PMAT และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งจัดหลักสูตรอบรมร่วมกับ PMAT
ไปเป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้ในหลักสูตรด้านการจัดการงานบุคคลหลายครั้ง
ซึ่งนั่นก็เป็นเวทีที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ทำงานในวงการ HR อีกมากโข
เรื่องสุดท้าย ใช้พลังของ HR ในทางบวก
– ไม่ได้หมายถึง HR จะต้องมากลายร่างเป็นเจไดเหมือนในหนังเรื่องสตาร์วอส์หรอกครับ
แต่หมายถึง HR เรานั้น ทำงานเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและต้องดีขึ้นเรื่อย
ๆ ของเพื่อนพนักงาน สมดุลกับความเติบโตขององค์กร
งานของเราเกี่ยวข้องกับการร่วมวางแผนให้คนเติบโตในอาชีพการงาน
และฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ เกี่ยวกับเรื่องของการจัดโครงสร้างเงินเดือนค่าตอบแทนและสวัสดิการเพื่อให้แข่งขันได้กับตลาดแรงงาน
และช่วยการันตีให้ได้คนทำงานที่สร้างผลิตภาพให้กับองค์กรอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งยังต้องช่วยให้เพื่อนพนักงานทำงานอย่างปลอดภัย มีอาชีวอนามัยที่เหมาะสม
และทำงานภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี เอื้อต่อการทำงานหนัก สร้างสรรค์ผลงาน (อุทิศตัว) ให้กับองค์กร
โดยมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ไม่ขาดไม่เกินจนสูญเสียความสัมพันธ์ในครอบครัว
เป็นต้น ซึ่งผมจะไม่ไล่เรียงรายละเอียดของขอบข่ายงานหรอกครับ
หน้าที่เกี่ยวกับคนที่ HR จะต้องทำเหล่านี้ ท่านต้องทำให้ได้ดี
อันจะทำให้ได้รับผลทางบวกตามมาคือความชื่นชมทั้งจากพนักงาน
ตลอดไปจนถึงครอบครัวที่พนักงานต้องเลี้ยงดูอีกด้วย งานแบบนี้
แม้จะปิดทองหน้าพระบ้าง หลังพระบ้าง คิดไปแล้วก็น่าภูมิใจครับ
แต่จะทำงาน HR ให้ได้ดีสมดังใจ
ในสมองของเราต้องมีอะไรดีดีไว้เป็นต้นทุนเพื่อต่อยอดการทำงานอย่างแน่แท้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้หามาได้จากการอ่านบวกเข้ากับประสบการณ์การทำงานที่จะช่วยให้ทักษะสำหรับทั้งวันนี้และวันหน้าครับ
ขอพลังจงสถิตอยู่กับท่าน !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น