พอเข้าสู่สังเวียนของการหางานทำ เรื่องแรกทีน้อง ๆ
บัณฑิตใหม่ทั้งหลายจะพลาดไม่ได้คือ การเตรียมตัวสมัครงานและสัมภาษณ์
ซึ่งหลายบทความที่ผมเคยนำเสนอไปก่อนหน้าได้ให้คำแนะนำไปบ้างแล้ว วันนี้ ถือโอกาสนำมาทบทวนในบางเรื่อง
โดยขอสะท้อนในประเด็นว่า อะไรหรือที่สะท้อนให้เห็นว่าน้อง ๆ
ยังไม่พร้อมกับการสัมภาษณ์งาน
เรียนรู้และใส่ใจจำไว้สักนิด
จะได้ไม่ผิดพลาดแบบง่าย ๆ และสร้างความมั่นใจเมื่อต้องไปสัมภาษณ์งาน
ไปถึงสถานที่นัดสัมภาษณ์ไม่ตรงเวลา
การเข้าสัมภาษณ์สาย
หากไม่ใช่อุบัติเหตุร้ายแรงแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะอ้างเป็นเหตุผลในการมาสัมภาษณ์งานสาย
ด้วยเพราะผู้สมัครงานก็รู้ตัวล่วงหน้าจากการนัดหมายอยู่แล้วว่าต้องไปสัมภาษณ์งานที่ไหน
เริ่มเวลาเท่าไร
รวมทั้งจะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง ในแง่นี้
น้อง ๆ ควรใช้เวลาสักนิด ศึกษาเส้นทาง และเผื่อเวลาออกจากบ้านเร็วขึ้น
ไม่ใช่เผื่อทดเวลาบาดเจ็บเหมือนแข่งฟุตบอลในสนามนะครับ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยป้องกันเหตุการณ์ที่เราอาจจะไม่สามารถควบคุมได้
เช่น รถติด แท๊กซี่ไม่รู้ทาง
หรือขับรถหลงทาง รวมไปถึงติดขบวน ม๊อบปิดถนน เป็นต้น นอกจากนี้
การไปถึงสถานที่นัดหมายก่อนเวลา ก็ยังคงเหลือเวลาอีกเล็กน้อยให้น้อง ๆ ได้พักเหนื่อย
สงบจิตสงบใจ สำรวจเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อมร้อมสำหรับการสัมภาษณ์งาน
แต่งกายไม่เหมาะสม
ไม่ว่าน้อง ๆ จะเป็นคนเจนวาย หรือ hip-hop เพียงใด
การสัมภาษณ์งานก็ยังคงมีธรรมเนียมที่ผู้สมัครงานจะต้องแต่งกายอย่างสุภาพ
เหมาะสมตามกาละเทศะ สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่ทรงผม
จนจดถึงปลายเท้า อีกอย่างหนึ่ง แม้น้อง ๆ
จะจบใหม่ ยังไม่ลืมคราบของนักศึกษาที่คุ้นเคยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็ต้องไม่เผลอไผลไปใส่ชุดนักศึกษาไปสัมภาษณ์งาน
โดยอ้างว่าไม่ได้ซื้อชุดแต่งกายแบบหนุ่มสาวออฟิศมาสวมใส่ เพราะจะทำให้ดูเป็นเด็กและไม่พร้อมสำหรับการทำงานเลย
ไร้ข้อมูลตำแหน่งงาน
หลายครั้งที่ผมสัมภาษณ์ ผู้สมัครงานยังตอบไม่ถูกว่าตำแหน่งงานที่สมัครและมาสัมภาษณ์นั้นมีอะไรบ้างที่ต้องทำ
ซักไปซักมาก็จำได้เพียงแต่พี่ที่นัดบอกว่าลักษณะงานประมาณนี้
จริงเท็จอย่างไรไม่รู้เพราะไม่ได้เข้าไปดูคุณสมบัติในประกาศรับสมัครงานทางเวบ เชื่อมั๊ยครับว่า บางองค์กรก็ไม่ลงข้อมูลรายยละเอียดงานที่ต้องทำ
ด้วยเพราะคาดหมายที่จะให้ผู้สมัครงานโทรมาสอบถาม หรือจะเก็บข้อมูลเอาไว้พูดคุยกับผู้สมัครงานในตอนสัมภาษณ์เบื้องต้นทางโทรศัพท์ หากน้อง ๆ ได้รับการโทรติดต่อเพื่อสัมภาษณ์งาน
ก็ไม่เสียหายอะไรหรอกนะครับที่จะถามพี่พี่รีครูทที่โทรนัดหมายว่า
ตำแหน่งงานนี้มีขอบข่ายงานอย่างไร ? นี่ยังไม่พูดถึงคำถามที่อาจจะต้องเตรียมตอบอีกมาก เช่น “ทำไมคุณถึงเลือกสมัครงานตำแหน่งนี้”
หรือคำถามสุดโหดหินที่อาจจะถามว่า “ทำไมเรา
(องค์กร) ต้องเลือกคุณ โดยไม่เลือกผู้สมัครคนอื่น” หากไม่หาข้อมูลตำแหน่งงานและฝึกฝนตอบคำถามที่อาจจะเจออีก
แล้ว น้อง ๆ จะผ่านสัมภาษณ์หรือเปล่าล่ะครับ
ลืมถามหรือหาข้อมูลองค์กร
เรื่องหนึ่งในการสัมภาษณ์งานที่ผู้สัมภาษณ์อยากรู้จากผู้สมัครงาน
นอกเหนือจากขอบข่ายหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบตามตำแหน่งงานก็คือเรื่องขององค์กร น้อง ๆ อาจะได้รับคำถามว่า
“รู้จักบริษัทนี้หรือไม่ ?” ซึ่งก็เป็นการถามทั่วไปเพื่อประเมินว่าผู้สมัครงานใส่ใจที่จะรู้
และเตรียมความพร้อมรองรับอย่างไร และก็น่าเสียดายที่น้อง ๆ
หลายคนไม่รู้ข้อมูลนี้เลย ตอบหน้าตาเฉยว่า “ไม่รู้จัก !”ไม่รู้เลยว่า
องค์กรทำธุรกิจอะไร หรือไม่เคยเข้าเว็บไซต์ไปหาข้อมูล ไม่เคยสนใจต้นหาข่าวสารขององค์กรที่หาได้ไม่ยากทาง
internet การมีข้อมูลเหล่านี้ บอกได้เลยว่า
จะเป็นประโยชน์อย่างมากในการพูดคุยสัมภาษณ์งานกับองค์กร และสะท้อนความสนใจที่ดี
มีคะแนนพิเศษทดให้ในใจผู้สัมภาษณ์งานอีกไม่น้อย
นอกจากนี้ ผู้รู้หลายท่านเคยแนะนำไว้ด้วยว่า ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ น้อง
ๆ อาจจะถามเกี่ยวกับบริษัทเพื่อให้รู้จักดียิ่งขึ้น ซึ่งบอกให้เห็นถึงความกระตือรือร้นอยากเข้าทำงานของน้อง
ๆ ได้
ประหม่าตอนสัมภาษณ์
ผู้สมัครงานจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยสัมภาษณ์งานมาก่อน
แม้จะเคยฝึกฝนการสัมภาษณ์จากอาจารย์นิเทศหรืออาจารย์ที่ปรึกษาที่เตรียมตัวให้เป็นอย่างดี
แต่พอเอาเข้าจริง ก็มักจะตื่นเต้น เกิดอาการหลุด
คุมคำตอบของตนเองไม่อยู่ทั้งที่ก็เตรียมตัวมาดี
อ่านหนังสือแนะนำสัมภาษณ์งานมาก็หลายเล่ม
ยิ่งมาเจอผู้สัมภาษณ์งานที่ถามคำถามแบบไม่ค่อยมีโครงสร้าง ประมาณว่านึกอยากถามอะไรก็ถาม
ก็กลายเป็นว่า ลำดับคำตอบไม่ถูก และไม่รู้จะตอบอย่างไร และหลุดความสนใจจากคำถามที่ถาม จึงตอบคำถามไม่ตรงประเด็น
หรือตอบเลี่ยง ๆ กว้าง ๆ ไม่เจาะจงหรือไม่ยกตัวอย่างมาอธิบายให้ชัดเจน
(ซ้ำร้ายบางทีก็ยังยกตัวอย่างสถานการณ์มาตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ถูกถาม) พอเป็นแบบนี้ ความประทับใจจากการสัมภาษณ์งานก็ไม่เกิดขึ้น
โอกาสจะได้งานก็ลดลงไปอีกมากโข
อ่านและฝึกฝนเท่านั้นนะครับที่พอช่วยได้ แปลกอะไรกับการฝึกตอบคำถามสัมภาษณ์หน้ากระจก
เพราะไม่มีใครมองนอกจากเราเอง
ลองทำเพื่อให้เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ไม่ว่าจะท่วงทีการพูดจา และบุคลิกภาพ ฝึกฝนบ่อยเข้า ความมั้นใจจะตามมาเอง
น้อง ๆ คิดอย่างไรกันบ้างกับเรื่องนี้ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น