องค์กรธุรกิจทั้งหลายนั้น
หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่ในสมรภูมิของการแข่งขันแย่งตัวช่วงชิงคนเก่งเพื่อเข้าร่วมงาน
รวมทั้งการบ่มเพาะสร้างเสริมให้คนทำงานทั้งหลายที่องค์กรรับเข้ามาร่วมงานแล้ว
สามารถสร้างผลงานที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อเป็นหลักประกันของการเติบโตและแข่งขันได้ในระยะยาว เพราะคนเก่งเท่านั้นที่องค์กรใด
ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานที่ไม่แสวงหาผลกำไรเช่น องค์กรภาครัฐ หรือองค์กรภาคเอกชน
ที่มองตัวเลขกำไรขาดทุนเป็นสัจธรรมของการดำเนินธุรกิจ ล้วนก็ต้องการการดึงดูด
สรรหาและคัดเลือกบุคลากรที่เป็นคนมีฝีมือเข้าทำงานไม่แตกต่างกัน เนื้อหาในส่วนนี้ ผมจะนำเสนอครอบคุลมประเด็นการดึงดูดผู้สมัครงาน
(Candidate
attraction) ซึ่งรวมเรียกว่า
งานต้นน้ำของการบริหารงานทรัพยากรบุคคล โดยจะแยกนำเสนอเป็น 3 เนื้อหาหลัก
ประกอบด้วย
กระบวนการดึงดูดบุคลากร (Attraction Process)
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ
พัฒนาการของระเบียบโลก ระบบคุณค่าใหม่ ๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้
ได้ปรับเปลี่ยนธรรมชาติของสังคมและเศรษฐกิจ
ให้แตกต่างจากเดิมเป็นอย่างมาก ทำนองเดียวกัน ในระดับองค์กร
ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีที่แผ่กระจายทั้งหลาย
ช่วยให้เกิดเข้าถึงและการสื่อสารข้อมูลมิได้จำกัดอยู่เฉพาะเพียงภายใต้เขตแดนแห่งรัฐเท่านั้น
หากแต่มาตรฐานสากลของการบริหาร
เรื่องของการต้นทุนระดับองค์กร
ยังเป็นภาพตัวอย่างหนึ่งของผลที่เกิดสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคใหม่ ผลที่เกิดนี้
มิได้มีเพียงมิติทางกายภาพเท่านั้น
หากแต่ยังกระทบไปถึงระบบคุณค่าทางสังคม ถ่ายเทลงมายังคุณค่าขององค์กรที่องค์กร
ธุรกิจทั้งหลายจะต้องปฏิบัติยึดถือ
ในแวดวงวิชาการนั้น เราจะได้เห็นภาพนักวิชาการจำนวนไม่น้อย
ตั้งคำถามไปยังการดำเนินบทบาทและหน้าที่รับผิดชอบของการบริหารทรัพยากรบุคคล
และยิ่งกลายเป็นซุ่มเสียงที่ดังขึ้น นับจากช่วงเวลาราวทศวรรษที่ผ่านมา
โดยเฉพาะในบทบาทและหน้าที่ของการบริหารทรัพยากรบุคคลภายในบริบทความท้าทายและการแข่งขันขององค์กรที่มีมากขึ้น
ผู้รู้บางท่านให้มุมมองว่า สถานการณ์การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในโลกธุรกิจพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม
จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาความรวดเร็วของการส่งมอบกำลังคน (speed of workforce
delivery) หรือกำลังแรงงานที่มีทักษะ มีคุณภาพ อันทำให้องค์กรทั้งหลาย
จำต้องหันมามองในเรื่องการปรับปรุงคุณภาพของปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมของคนในภายในองค์กรให้สอดคล้องรองรับกับการมีประสิทธิผลสูงสุด และในความจริงแล้ว องค์กรทั้งหลายในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ล่วงมา
ต่างก็ตกอยู่ในสภาพกดดันในการพัฒนาและบูรณาการกรอบแนวคิดใหม่ ๆ (New
Conceptual Model) เพื่อให้เกิดทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้นในการตอบสนองสภาพแวดล้อมในการทำงาน
(alternative working arrangements) และในสังคมไทย ก็ประสบปัญหาไม่ได้แตกต่างไปจากสังคมตะวันตกหรือในบางประเทศที่องค์กรทั้งหลาย ได้พยายามค้นหาหนทางที่จะดึงดูด จัดการ
พัฒนาและธำรงรักษาบุคลากรหรือกำลังแรงงานให้มีทักษะที่เหมาะสมกับตลาดแรงงาน
แม้ว่าในบางสาขาอาชีพ จะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็ตาม
ความเปลี่ยนแปลงที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ชัดในภาพฉากทัศน์ปัจจุบัน
(current
scenario) บ่งบอกและชี้นำให้นักบริหารทั้งหลายในองค์กรให้ต่างต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่ต้องเดินหน้าเผชิญ รวมทั้งต้องการความริเริ่มใหม่ ๆ
ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
บนพื้นฐานของการทำงานเชิงรุกและมีประสิทธิผลมากขึ้นทุกขณะ ไม่เพียงเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องในระดับมหภาค ยังไหลบ่าเข้าไปสู่โลกการทำงานในระดับองค์กร
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่งทำให้หลายองค์กร
จำเป็นต้องแสวงหาและมุ่งพัฒนาชุดของทักษะความสามารถใหม่ ๆ เช่น การคิดเชิงนามธรรม การทำความเข้าใจองค์กร
และการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
รวมไปถึงการมีความรับผิดชอบต่อการวางแผนอาชีพของตัวเองในโลกที่ความมั่นคงในการทำงาน
ไม่มีอยู่อีกต่อไป และไม่เพียงแต่บุคลากรที่เป็นกำลังสำคัญหลักขององค์กรจะพึงต้องตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้เท่านั้น
เขายังจะต้องได้รับการเสริมบทบาทใหม่ให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีความโปร่งใส และมีความจงรักภักดี
รวมทั้งความผูกพันต่อองค์กรผูกพันต่อองค์กรมากขึ้น
สิ่งที่กล่าวไปนี้
ส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของงานการบริหารทรัพยากรบุคคล นโยบาย
และแนวปฏิบัติด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงความเป็นวิชาชีพของงานในสาขานี้ด้วย
และทำให้แวดวงการบริหารทรัพยากรบุคคล หันมาสนใจกับเรื่องของทักษะและการจัดการคน (people-management skills)
และภายใต้บริบทเช่นนี้
การประเมินงานบริหารทรัพยากรบุคคล
ก็จะช่วยให้เราสามารถออกแบบบทบาทของงานด้านนี้ใหม่ (re-design) เพื่อให้มีการพัฒนาสมรรถนะใหม่ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
รวมไปถึงระบบงานและผลผลิตของงานบริหารทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องตอบสนองต่อความคาดหวังของฝ่ายบริหารองค์กรให้ได้มากที่สุด
นับได้หลายทศวรรษที่ผ่านมา
ทั้งนักวิชาการและนักบริหารงานทรัพยากรบุคคลทั้งหลาย ต่างยอมรับกันว่า คนทำงาน เป็นสินทรัพย์ที่มีคุณค่าผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม แม้ว่าองค์กรนั้นจะมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการดีเพียงใดก็ตาม แต่หากทรัพยากรบุคคล
ซึ่งเป็นผู้นำเอาทรัพยากรอื่นทั้งหลายทั้งปวงในองค์กร ปราศจากความสามารถในการนำเอาทรัพยากรเหล่านั้นไปใช้ให้เกิดผลตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กรแล้ว ย่อมเป็นการยากที่องค์กรจะเดินไปในทางแห่งความสำเร็จ
จนอาจกล่าวได้ว่าตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กรอยู่ที่
"คุณภาพของคน" ในองค์กร นั้น
ๆ นอกจากนี้ งานบริหารทรัพยากรบุคคลได้ขยายขอบข่ายไปรับผิดชอบต่อความอยู่รอดขององค์กรและมีบทบาทที่ช่วยให้ทั้งบุคลากรและองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ มิใช่เพียงการทำงานเอกสารและให้บริการกับบุคลากรแต่ละคนเช่นเดิมเท่านั้น
ยิ่งกระแสโลกาภิวัตน์ไหลบ่าถาโถมเพียงใด องค์กรในระดับท้องถิ่นในปัจจุบัน ก็เผชิญกับภาวะที่ต้องปรับตัวรับการแข่งขันอย่างแข้มข้นและรวดเร็วเท่านั้น และเพื่อให้อยู่รอดและสร้างการเติบโตทางธุรกิจได้
องค์กรทั้งหลายจะต้องหาวิถีทางในการจัดการให้บุคลากรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เงื่อนไขดังกล่าวนี้ ส่งผลให้องค์กรได้ย้อนกลับมามองถึงความสำคัญและการใช้ประโยชน์จากการบริหารทรัพยากรบุคคลเพื่อช่วยให้สามารถก้าวผ่านไปในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ได้
1. การสร้างแรงดึงดูดและความได้เปรียบในการสรรหาบุคลากร
เป็นเรื่องสำคัญนะครับที่องค์กรจะต้องพยายามดึงดูดคนหางาน
(job
seekers) ให้มาสนใจสมัครงานกับองค์กร เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะมีผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติหลากหลายซึ่งอาจจะตรงกับความต้องการตามตำแหน่งงานว่างมาให้เลือกมากขึ้น
ในแง่นี้ องค์กรธุรกิจจึงต้องพยายามนำเสนอข้อมูลการสมัครงานที่น่าสนใจ
อันได้แก่การบอกถึงการจ่ายอย่างงาม สวัสดิการและสิทธิประโยชน์จากการทำงานที่แข่งขันหรือเหนือกว่าท้องตลาด การมีรางวัลจูงใจเพื่อตอบแทนการทำงานหนัก
รวมทั้งโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าไปกับองค์กร
ที่สำคัญ ข้อมูลการรับสมัครงานเหล่านี้
จะต้องเปิดให้ผู้สมัครงานสามารถเข้าถึงได้ง่าย
งานวิจัยและเก็บข้อมูลเชิงสำรวจหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า
สิ่งที่ดึงดูดผู้สมัครงานให้สนใจสมัครงานกับองค์กรได้แก่ :-
- โอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนา
- ข้อมูลเงินเดือนและค่าตอบแทนอื่นเช่น
การประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ ส่วนลดค่ารักษาพยาบาล
และการให้บริการเลี้ยงดูเด็กในสถานที่ทำงาน เป็นต้น
- คำมั่นสัญญาว่าองค์กรจะเป็นที่ทำงานที่น่าทำงานด้วย
เช่น การมีวัฒนธรรมองค์กรและสภาพแวดล้อมทางกายภาพในสถานที่ทำงาน เช่นการมีโรงยิมออกกำลังกายให้บริการฟรีกับพนักงาน
เป็นต้น
- ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น
และการจัดเวลาทำงานที่เน้นความสมดุลในชีวิตการทำงาน
- กระบวนการในการรับสมัคร
และคัดเลือกอย่างตรงไปตรงมา มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆ ในการพิจารณา
การคัดเลือก และต่อรองเงินเดือนและค่าตอบแทนที่เปิดกว้าง
ทั้งหมดนี้
เป็นตัวอย่างของสิ่งทึ่ผู้สมัครงานอยากเห็นอย่างเป็นรูปธรรม และอยากพบข้อมูล ภาพและเสียงของพนักงานที่ทำงานในปัจจุบัน
เล่าเรื่องราวในองค์กรให้ฟัง ปัจจุบันหลายองค์กรแปลงความต้องการเหล่านี้ออกมาเป็น Video Clip ให้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กร
เงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่องค์กรมอบให้กับพนักงาน
เผยแพร่ผ่านทางเวบไซด์ขององค์กร
ท่านผู้อ่านที่สนใจลองติดตามดูในเวบไซด์ของหลายองค์กรในต่างประเทศจะมีมากกว่าในประเทศไทยครับ
โปรดอย่าลืมว่า
ข้อมูลเหล่านี้ที่ผมว่าไป ผู้สมัครงานที่มากฝีมือ
ไม่ได้ดูเพื่อจับคู่ว่าตรงกับที่เค้าต้องการเพียงใดเท่านั้นนะครับ คนเก่งเหล่านี้
ยังเปรียบเทียบกับองค์กรคู่แข่งขององค์กรท่านอีกด้วย นั่นหมายความว่า ค่าตอบแทน
สวัสดิการ หรือประโยชน์จูงใจทั้งหลายที่องค์กรนำเสนอให้ผู้สมัครงาน
หากต่ำกว่าคู่แข่ง
ก็มีสิทธิที่ผู้สมัครงานจะเลือกเดินไปองค์กรอื่นที่ไม่ใช่องค์กรของท่านเหมือนกัน เรื่องแบบนี้ ผมไม่แนะนำให้ HR recruiters ทั้งหลาย ชะล่าใจ ติดปลักความคิดว่ายังงัยคนก็มาสมัครงานกับองค์กรตนเองเสมอ
ซึ่งไม่จริงอย่างนั้นเลยนะครับ
2. ชื่อเสียงองค์กรและแบรนด์นายจ้าง
ในโลกของการแข่งขันยุคปัจจุบัน องค์กรจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในภาคธุรกิจบริการ
ซึ่งต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานจำนวนมากขับเคลื่อนธุรกิจ ต่างประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีฝีมือหรือมีความเป็นมืออาชีพ
(professional) สภาพการณ์ปัญหาเช่นนี้
เป็นผลประการหนึ่งมาจากการแข่งขันดึงดูดกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถ
หรือคนเก่ง (talented people) เข้าร่วมงาน ทั้งจากองค์กรภายในธุรกิจ และต่างธุรกิจ
พร้อมกับพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้บุคลากรที่มีขีดความสามารถในการทำงาน
และสร้างผลงานได้ในระดับสูง ไม่ย้ายไปอยู่กับองค์กรอื่น
และส่งผลต่อเนื่องให้การบริหารทรัพยากรบุคคลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เผชิญกับปัญหาความท้าทายเป็นอย่างมาก
ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมที่นำมาปรับใช้กับการบริหารทรัพยากรบุคคล
เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่เลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง ซึ่งมิเพียงแต่ในประเทศที่พัฒนาในซีกโลกตะวันตกเท่านั้น
แต่ยังรวมไปถึงประเทศที่มีระดับของการพัฒนาสูงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิคอีกด้วย
นอกเหนือไปจากสิ่งดึงดูดความสนใจของผู้สมัครงานที่ผมพูดถึงไปก่อนหน้าแล้ว
ตัวแปรที่ยังดึงดูดให้คนหางานงานใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกสมัครงานกับองค์กรใดยังได้แก่ สถานที่ทำงานที่ไม่ไกลเกินไป ตำแหน่งงานและคุณสมบัติที่ตรงกับสิ่งที่ผู้สมัครงานมี
หรือที่ตอบสนองความต้องการส่วนตัวของเขาได้
และอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นกระแสมาแรงในตอนนี้คือ ภาพลักษณ์ชื่อเสียงขององค์กรที่ดี
(good
corporate reputation)
ชื่อเสียงขององค์กรที่เป็นสีเขียว
เป็นองค์กรที่ทำคุณประโยชน์และมีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) เป็นมิตรต่อวิถีชีวิตของชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องเหล่านี้
ผู้สมัครงานมักจะรับรู้ได้ไม่ยากนักทั้งจากสื่อออนไลน์และออฟไลน์
ในแวดวงการสรรหาบุคลากรนั้น
ที่ผ่านมาปรากฎแนวคิดในการสรรหาและเลือกสรรผู้สมัครงานที่มีแนวโน้มความสามารถและศักยภาพสูง
(high
profile and high potential) จากรั้วมหาวิทยาลัยชั้นนำและต่างประเทศ
พร้อมนำเสนอแผนการจัดสรรสวัสดิการและสิ่งจูงใจที่ดึงดูดยิ่ง (attractive
remuneration packages) รวมทั้งขอบข่ายงานที่ท้าทายต่อความสามารถ พร้อมกับการเลือกสรรและใช้เครื่องมือในการพัฒนาศักยภาพและธำรงรักษา
(development and retention program) ที่หลากหลายกับบุคลากรที่ทำงานในปัจจุบัน
ตอบสนองกับความต้องการเร่งด่วนทั้งในแง่การทดแทนอัตรากำลังผู้มีความสามารถสูงที่พ้นสภาพออกไปจากองค์กร
และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบอันเป็นเป้าประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของทุกองค์กร
โดยเฉพาะองค์กรที่ดำเนินธุรกิจการให้บริการแบบเน้นการใช้แรงงานจำนวนมาก (labor
intensive business) เช่นอุตสาหกรรมบริการ เป็นต้น ภายใต้ภาพฉากทัศน์ (scenario) เช่นนี้
หากเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอต่อลูกค้าแล้ว หลายองค์กรเลือกใช้มุมมองเรื่องการสร้างแบรนด์
ซึ่งเป็นแนวคิดด้านการตลาด
ที่องค์กรจะมอบให้กับบุคลากรทั้งหลายหากได้ร่วมงานกัน
เฉกเช่นเดียวกับการให้คุณค่าความพึงพอใจสูงสุดต่อลูกค้า (maximizing
customer satisfaction) งานเขียนหลายเรื่องทั้งจากนักวิชาการ
และผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล การพัฒนาองค์กร
และที่ปรึกษาด้านการจัดและพัฒนาระบบบริหารงานบุคคล
ต่างนำเสนอให้ปรับใช้แบรนด์นายจ้างในฐานะแนวคิดเชิงกลยุทธ์ (strategic
concept) ภายใต้ปรัชญาการบริหารองค์กรซึ่งจะต้องไม่กลายเป็นเพียงตราฉลาก
(label) ที่HR นำมากล่าวถึงอย่างผิวเผินเท่านั้น
ในแวดวงงานเขียน
ผมพบว่า แบรนด์นายจ้าง (Employer Brand) เป็นหัวข้อของการศึกษาวิจัย
และแนวปฏิบัติสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมากในองค์กรข้ามชาติ (Multi-National
Enterprises-MNEs) เนื่องจากเป็นแนวคิดและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชื่อเสียงขององค์กร
(Corporate Reputation) การจัดการคนเก่ง (Talent
Management) และการสร้างความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากร (Employee
Engagement) โดยเป็นการปรับใช้หลักการของการสร้างแบรนด์ลูกค้า
(consumer brand) มาใช้กับแนวปฏิบัติด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล
(Human Resource Practice) ซึ่งกล่าวอย่างสรุปความได้ว่า แบรนด์นายจ้าง เป็นการสร้างภาพลักษณ์องค์กร
(organizational image) ให้เกิดขึ้นในการรับรู้ของคนทำงานในองค์กร
รวมทั้งผู้ที่จะเข้ามาทำงานกับองค์กรในอนาคต ทั้งในแง่ชื่อเสียงที่ดีงาม
ผลประกอบการ ความเอาใจใส่บุคลากรทั้งจากนโยบายผู้บริหาร
และเครื่องมือเชิงการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งโดยนัยแล้ว
มุ่งหมายที่จะดึงดูดความสนใจและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงไว้กับองค์กร โดยองค์กรเป็นสถานที่ทำงานที่ปรารถนา
(desirable place to work) อย่างไรก็ตาม กลับพบว่าผู้บริหารองค์กร
ย่อยลงมาจนถึงผู้บริหารหน่วยงานด้านการบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล
ยังไม่ได้ให้ความสนใจศึกษาเรื่องแบรนด์นายจ้างอย่างกว้างขวางมากนัก
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการศึกษาการใช้เครื่องมืออื่นเพื่อการดึงดูด และธำรงรักษาบุคลากรเช่น
ค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจในการทำงาน เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเรา
ซึ่งมีงานศึกษาเรื่องนี้ไม่มากเลย นี่คือที่มาที่ผมสนใจจะพูดถึงเรื่องที่ in-trend
แบบนี้สักเล็กน้อย
ผมสรุปความหมายของแบรนด์นายจ้างว่าเป็นวิถีทาง
(way)
ที่ผู้สมัครงานที่องค์กรปรารถนา
และผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ
รับรู้ถึงว่าองค์กรเป็นนายจ้างที่น่าร่วมงานด้วย และแตกต่างไปจากคู่แข่ง
รวมทั้งเป็นวิถีทางในการดึงดูด
สร้างความผูกพันและความจงรักภักดีให้บุคลากรที่ยังทำงานในปัจจุบัน องค์กรที่มีแบรนด์นายจ้างนี้ มักจะสื่อสารวัฒนธรรมหรือคุณค่าองค์กร
พันธกิจ รวมทั้งเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจ เป็นต้น เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการดึงดูดและธำรงรักษาบุคลากรที่องค์กรต้องการ
แบรนดนายจ้าง มีคุณค่าหลายอย่างจากงานของ Employer
Branding Institute องค์กรเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์นายจ้าง
ปรากฏในหนังสือเรื่อง “Start Branding: Creating an Employer Bradning
that Increase Engagement, Retention and the Bottom Line” ของ CareerBulid องค์กรที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ Employer Branding Institute ได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากองค์กรภาคธุรกิจกลุ่มตัวอย่างเมื่อปี
ค.ศ. 2009 ผลจากการสำรวจพบว่า ร้อยละ 49
ของพนักงานที่ตอบแบบสำรวจระบุว่าชื่อเสียงขององค์กร
เป็นเงื่อนไขหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจร่วมงานกับองค์กร และยังพบว่า องค์กรที่มีแบรนด์นายจ้าง
สามารถดึงดูดผู้สมัครงานให้มาสมัครสูงถึง 3.5 เท่าของค่าเฉลี่ยของธุรกิจเดียวกัน
พร้อมกับระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า องค์กรที่มีแบรนด์นายจ้าง
จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรหลายประการ ดังนี้
1) เพิ่มคุณภาพของผู้สมัครงาน - ผลจากการสำรวจพบว่าองค์กรที่มีแบรนด์นายจ้างที่เข้มแข็งจะสามารถสรรหาบุคลากรเข้าร่วมงานได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากผู้สมัครงานเข้าใจสถานะนายจ้างขององค์กรแล้ว และยังตระหนักถึงคุณค่า
ค่านิยมขององค์กรที่ช่วยให้ประเมินว่าตนเองเหมาะสมหรือเข้ากันได้ (fit-in) กับองค์กรหรือไม่
ในทำนองหนึ่งยังช่วยลดปัญหาผู้สมัครที่มีคุณสมบัติไม่สอดคล้องกับที่องค์กรต้องการ
แต่สมัครงานเข้ามาเพียงเผื่อไว้จะได้รับการพิจารณา
อันเป็นการช่วยลดปริมาณข้อมูลประวัติผู้สมัครงานที่ไม่เหมาะสม
อันจะต้องพิจารณาในกระบวนการสรรหาและคัดเลือก
2) ดึงดูดผู้สมัครงานที่ไม่สนใจจะเปลี่ยนงาน
(passive
candidate) - ในตลาดแรงงาน
มักจะมีผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหารจำนวนมากที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับที่องค์กรต้องการ
แต่องค์กรก็ยากที่จะเข้าถึงเนื่องจากบุคคลเหล่านี้
ยังปฏิบัติงานกับองค์กรหนึ่งใดอยู่ และไม่แสดงความประสงค์จะสมัครงานกับองค์กร
หรือเปลี่ยนงาน การมีแบรนด์นายจ้าง จะช่วยให้บุคคลกลุ่มนี้
ได้รับทราบและพิจารณาโอกาสที่จะได้รับจากองค์กร
จากการสำรวจหลายชิ้นเช่น งานของ Corporate Leadership Council เป็นต้น ชี้ให้เห็นว่า
การสร้างแบรนด์นายจ้างที่มีประสิทธิผล
จะช่วยให้องค์กรเข้าถึงกลุ่มคนเก่งทั้งที่ประสงค์และไม่ประสงค์จะเปลี่ยนงานได้กว้างขวางมากขึ้น
และมากกว่าองค์กรที่ไม่มีแบรนด์นายจ้างถึง 1.5 เท่า
3) ต้นทุนการสรรหาและอัตราการเข้าออกของบุคลากรลดลง
- การสื่อสารแบรนด์นายจ้างที่มีประสิทธิผล
อันส่งผลให้มีผู้สมัครงานที่มีคุณภาพดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ย่อมช่วยลดทั้งต้นทุนการสรรหาและคัดเลือกบุคลากร
ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ต้นทุนการประชาสัมพันธ์รับสมัครงาน ต้นทุนค่าจ้าง
เงินเดือนและค่าตอบแทนของทีมสรรหา เป็นต้น และยังพบว่า การมีแบรนด์นายจ้างที่ดี
ส่งผลให้อัตราการเข้าออกของบุคลากร (Employee Turnover) ลดลงเนื่องจากผู้สมัครงานได้ประเมินความเข้ากันได้กับองค์กรของตนเองไว้แล้วนับแต่ก่อนเริ่มกระบวนการสรรหาว่าจ้าง
4) ส่งเสริมแบรนด์สินค้าหรือบริการ - บุคลากรที่มีความรู้สึกผูกพันต่อองค์กรที่มีแบรนด์นายจ้าง
นอกจากจะรู้สึกรักในงานที่ทำแล้ว
ยังมีแนวโน้มที่จะพูดถึงองค์กรในทางบวก
ตลอดจนช่วยผลักดันการสร้างผลงานที่ดีเลิศ
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายงานขององค์กรด้วย
และยังพบว่า บุคลากรเหล่านี้
จะบอกต่อถึงชื่อเสียงของทั้งองค์กรและผลิตภัณฑ์ ไปยังผู้สมัครงานหรือคนหางานทั่วไปอีกด้วย
5) บุคลากรมีความสุขและผลิตภาพสูงขึ้น - เมื่อองค์กรสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้สึกท้าทายและสร้างคุณค่าให้กับองค์กรแล้ว
จะมีผลกระทบต่อเนื่องให้บุคลากรมีความพยายามและผูกพันกับการทำงาน
รู้สึกพึงพอใจในงานที่รับผิดชอบ
และส่งผลต่อเนื่องไปสู่การให้บริการที่มีคุณภาพหรือบริการที่เป็นเลิศได้ไม่ยากนัก
หากถามว่า คุณค่าของแบรนด์นายจ้าง
มีผลดีอย่างไรกับการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น ผมมองว่า แบรนด์นายจ้าง มีคุณค่าใน 3 เรื่องหลักประกอบด้วย
การสรรหาบุคลากร การธำรงรักษาบุคลากร
และผลการปฏิบัติงาน ดังนี้
1) คุณค่าในการสรรหาบุคลากร - การสร้างแบรนด์นายจ้าง
มีคุณค่าโดยธรรมชาติกับงานสรรหาบุคลากร เนื่องจากการมีแบรนด์นายจ้าง
จะสามารถดึงดูดบุคลากรที่เป็นคนเก่งที่องค์กรต้องการจ้างเข้าร่วมงาน Taylor
มองว่า แบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่ง
จะช่วยให้การประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงานไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และโดยปกิตแล้ว
ต้นทุนในการประกาศหรือโฆษณารับสมัครผ่านทางช่องทางการสรรหาต่าง ๆ
มักจะมีต้นทุนไม่น้อย การมีแบรนด์นายจ้าง
จึงช่วยลดจำนวนครั้งหรือความถี่ของการประกาศประชาสัมพันธ์ตำแหน่งงานลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
กระทั่งอาจจะไม่จำเป็นต้องประกาศรับสมัครงานเสียเลย นอกจากนี้
หากเปรียบเทียบกับกิจกรรมรณรงค์ด้านการตลาด
การสร้างแบรนด์นายจ้าง
จะช่วยให้องค์กรองค์กรเข้าถึงผู้สมัครงานที่มีความสามารถและศักยภาพสูง
ซึ่งเปรียบเสมือลูกค้า และมักจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ไม่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงงานได้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับองค์กรไปสู่การเป็นนายจ้างที่ผู้สมัครงานเลือกเข้าร่วมงาน
(Employer of Choice) ในการรับรู้ของตลาดแรงงานอีกด้วย
2)
คุณค่าในการธำรงรักษาบุคลากร - ด้วยประการที่การมีแบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่ง
ส่งผลให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่น่าดึงดูดใจในการรับรู้ของผู้สมัครงานแล้ว
ยังก่อให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจของบุคลากรที่ยังปฏิบัติงานในปัจจุบัน
จากการรับรู้ว่าองค์กรเป็นสถานที่ทำงานที่พึงปรารถนา (Desirable Place to Work) อีกด้วย
3)
คุณค่าในแง่ผลการปฏิบัติงาน - การมีแบรนด์นายจ้างที่แข็งแกร่ง ยังส่งเสริมให้องค์กรและบุคลากรเป็นรายบุคคล
มีผลการปฏิบัติงานที่ดี
จากการลดลงของอัตราการขาดงาน และการปรับปรุงงาน
รวมทั้งสภาพแวดล้อมการทำงานเพื่อให้องค์กรเป็นสถานที่ทำงานที่พึงปรารถนา (Desirable Place to Work) ดังที่กล่าวถึงข้างต้น
บุคลากรที่มีความรู้สึกภูมิใจต่อองค์กร
มักมีแนวโน้มที่จะรู้สึกพึงพอใจ และเกิดคตวามผูกพันต่อองค์กรด้วย
3. ธุรกิจกับชุมชนรอบข้าง
คนหางานมิเพียงแต่สนใจเรื่องภาพลักษณ์ชื่อเสียงขององค์กรก่อนที่จะตัดสินใจสมัครงานเท่านั้น งานวิจัยเชิงสำรวจหลายชิ้นบอกเอาไว้ว่า สิ่งที่ดึงดูดผู้สมัครงานที่เราอาจจะนึกไม่ถึงยังได้แก่ชื่อเสียงขององค์กรที่เป็นสีเขียว
เป็นองค์กรที่ทำคุณประโยชน์และมีความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR)
เป็นมิตรต่อวิถีชีวิตของชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมจริยธรรม (Ethics) กระทั่งมีคำกล่าวว่า “หากองค์กรให้ต้องการให้คนทั่วไปซื้อสินค้าหรือบริการ
มาร่วมลงทุน หรือแม้แต่มาสมัครงาน ก็จงอย่าลืมเรื่อง CSR” กันเลยทีเดียว และการทำ CSR
ที่ดีก็ไม่ต้องไปทำกันไกลกว่าชุมชนรอบข้างที่องค์กรตั้งที่ทำงานอยู่หรอกครับ ไม่มีกฎกติกาอันใดที่บอกว่า บริษัทห้างร้านทั้งหลายจะต้องไปปลูกป่าโกงกาง
จะต้องไปให้อาหารสัตว์ป่า หรือไปสร้างโรงเรียนให้กับเด็ดที่ขาดแคลนเท่านั้น ลองเริ่มต้นกับชุมชนรอบข้าง
ด้วยการลดปล่อยมลพิษ มีน้ำใจใช้ถนนหนทางอย่างให้เกียรติ
ผมคิดว่าก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในระดับหนึ่งที่ยอมรับกันได้แล้วครับ
องค์กรที่ได้ชื่อว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคมและดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม เค้ามีแนวปฏิบัติและทำกิจกรรมต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้ครับ
- ดำเนินการเรื่องความปลอดภัย
อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานตรงไปตรงมาตามกฎหมาย
- มีแนวปฏิบัติที่ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี
เช่น สนับสนุนให้มีการออกกำลังกายในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม
- ไม่มีนโยบายการกีดกันในการรับสมัครงาน
เพราะเหตุว่าจบมาจากสถาบันที่ไม่ได้มีชื่อเสียงในระดับประเทศหรือในระดับโลก
แต่รัฐวิสาหกิจในบ้านเรา โดยเฉพาะธนาคารหลายแห่งที่ยังคงสภาพเป็นกึ่งองค์กรภาครัฐ
ยังมีเรื่องนี้อยู่เลยนะครับ แต่อย่างว่า ใครจะทำอะไรได้ !
- มีแนวปฏิบัติในการใช้วัสดุอุปกรณ์ที่รีไซเคิล
การลดต้นทุนพลังงาน รวมทั้งการมีโปรแกรมประหยัดพลังงานร่วมกันเช่น
“กลับบ้านทางเดียวกัน ใช้รถหนึ่งคันก็พอ” เป็นต้น
- ร่วมกิจกรรมในโครงการรณรงค์ที่สำคัญระดับประเทศหรือระดับโลก
เช่น วัน Car
Free Day, วันครอบครัว, วันเทศกาลสำคัญของประเทศ
- ส่งเสริมให้มีกิจกรรมบริจาคเพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ด้อยโอกาส
เช่น บริจาคสิ่งของเหลือใช้ เงิน หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
- เปิดโอกาสให้พนักงานได้ใช้เวลางานเพื่อทำเรื่องที่เป็นสาธารณะประโยชน์
เช่น การไปบริจาคโลหิตที่สภากาชาดไทย
ในเวลางานตามความสมัครใจ หรือกิจกรรมของ Tesco Lotus ที่อนุญาตให้พนักงานลาเพื่อไปทำงานให้แก่สังคมโดยถือเป็นวันทำงานปกติ น่าสรรเสริญมากเลยครับ
- สื่อสารการตลาดในเรื่องผลิตภัณฑ์และบริการอย่างมีคุณธรรม
ซื่อสัตย์ ไม่เลือกปฏิบัติและไม่เป็นโทษแก่ผู้บริโภค
และยังมีอีกมาก
ผมนำมาเล่าให้ฟังได้ไม่หมดครับ
บางองค์กรมองเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นต้นทุน (cost)
ซึ่งผมก็ไม่เถียงล่ะครับ แต่หากอยากจะให้ได้ภาพลักษณ์ที่ดี ก็คงต้องห้ามลืมเรื่องเหล่านี้นะครับ
คนหางานหรือผู้สมัครงานไม่ว่าใครก็ชอบนายจ้างที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น
“องค์กรที่ดี” กันทั้งนั้นครับ
หากทำได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่ผมรวบรวมมาเล่าแล้ว
ภาพลักษณ์และความเป็นนายจ้างที่ใครก็อยากทำงานด้วย (Employer of Choice) ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะไปถึงครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น