เมื่อคราวต้นปี 2556 ที่ไปเป็นวิทยากรเรื่อง
“เทคนิคการสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะ” ให้กับชมรมบริหารงานบุคคลกรุงเทพ
มีคำถามจากผู้เข้ารับการอบรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามมาทางเมล์ว่า
รูปแบบการสัมภาษณ์งานมีอยู่กี่รูปแบบกัน ในตำราก็อย่าง
ในเวทีที่วิทยากรแลกเปลี่ยนความรู้ให้ฟังที่เคยเข้าไปก็หลายอย่าง
ผมน่ะไม่แน่ใจว่า มีตำรากี่เล่มที่พูดเรื่องรูปแบบการสัมภาษณ์งาน
เพราะลำพังจะไล่ชื่อตำราให้ครบแค่ในประเทศไทยบ้านเราก็ยังยากที่จะทำ ไม่ต้องนับว่าในทางวิชาการของโลกใบนี้ จะมีมากมหาศาลเพียงใด
และด้วยความที่ผมไม่ใช่กูรูที่มีความรู้เข้าขั้นเทพ ผมจึงขอรวบรวมมาเล่าให้ฟังแบบไม่อิงวิชาการ และให้ tip เล็กน้อยพอเป็นประโยชน์บ้าง
กับการสัมภาษณ์บางรูปแบบที่ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนก็แล้วกัน โดยจำแนกลงนามรูปแบบการสัมภาษณ์หลัก 2 แบบ คือ
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview) และการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างน้อย
(Less-structured Interview)
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured Interview)
o การสัมภาษณ์แบบอิงสถานการณ์
(Situational Interview)
เป็นรูปแบบหนึ่งของการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ซึ่งนิยมเรียกกันว่า การสัมภาษณ์แบบอิงพฤติกรรม (Behavioral-based
Interview) ซึ่งเป็นการถามเพื่อเจาะจงทราบว่า
ผู้สมัครงานทำงานหนึ่งงานใด หรือรับมือกับความยากในการทำงานอย่างไร การตั้งคำถามจะอิงอยู่กับการวิเคราะห์งาน (Job Analysis) ตามตำแหน่งงานนั้น และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งว่าคำถามตรงประเด็น
ในทางเทคนิคนั้น
ผู้เชี่ยวชาญจะให้น้ำหนักของข้อคำถามสัมภาษณ์เพื่อให้น้ำหนักของข้อคำถามที่จะเลือกใช้เพื่อสัมภาษณ์
ซึ่งวิธีการนี้ก็อาจจะไม่ค่อยมี HR ทำแบบเป็นเรื่องเป็นราวมากนักนะครับ
และโดยมากแล้ว ผู้เชี่ยวชาญก็คือตัว HR Recruiter และ Line Manager ที่ทำหน้าที่สัมภาษณ์ อย่างไรก็ตาม
การตั้งคำถามแบบนี้ เป็นที่นิยมกันมาก และปัจจุบันนิยมผูกข้อคำถามกับ
competency กระทั่งชอบเรียกการสัมภาษณ์แบบนี้ว่า
การสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะ (Competency- based Interview) ต่อไปนี้คือตัวอย่างคำถามที่นิยมถามความเหมาะสมกับตำแหน่งด้วยการประเมิน competency
โดยใช้คำถามแบบอิงสถานการณ์ ซึ่งผมขอยกตัวอย่างคำถามสัมภาษณ์ตาม
Competency เรื่องทักษะการสื่อสาร (Communication
Skills) มานำเสนอก็แล้วกันนะครับ
- ยกตัวอย่างจากงานปัจจุบันหรืองานก่อนหน้าที่คุณต้องทำงานจากข้อมูลข่าวสารที่ทราบทางวาจา ซึ่งต้องทำงานให้เสร็จตามนั้น
- ยกตัวอย่างกระบวนการทำงานหรืองานที่ซับซ้อนมาก ซึ่งคุณได้อธิบายให้คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานต่างหน่วยงานฟัง
- คุณคิดว่าตนเองสามารถสื่อสารด้วยการพูดถึงตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือเปล่า ? ขอให้ยกตัวอย่างสถานการณ์นั้นขึ้นมาสัก 1 เรื่อง
o การสัมภาษณ์แบบอิงพฤติกรรม
(Behavioral-based Interview)
นิยมเรียกกันว่า การสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะ
(Competency-based Interviewing) หรือ CBI
นับได้ว่าเป็นเทคนิคของการสัมภาษณ์งานที่เป็นระบบมากกว่าการสัมภาษณ์แบบทั่วไป
มีแนวคิดพื้นฐานว่า “พฤติกรรมการทำงานในอดีต
เป็นสิ่งที่ทำนายพฤติกรรมการทำงานในอนาคตได้ดีที่สุด” การสัมภาษณ์แบบนี้ ผู้สัมภาษณ์จะเลือกใช้ competency
หลายรายการ (3-5 รายการ) เพื่อประเมินความเหมาะสมทั้งทางด้านทักษะ
ความรู้ความสามารถ ทัศนคติและคุณสมบัติอย่างอื่นตามตำแหน่งงาน เช่น ตำแหน่งหัวหน้างาน จะเน้นสอบถามถึงการสื่อสาร
และการทำงานเป็นทีม ในขณะที่ผู้บริหารระดับสูง
จะเน้นถามถึงภาวะผู้นำ ความเป็นอิสระในการทำงาน
รวมทั้งความคิดสร้างสรรค์เพื่อปรับปรุงพัฒนางาน เป็นต้น โดยทั่วไปนั้น ผู้สัมภาษณ์จะกำหนดคำถามเพื่อให้ผู้สมัครงานเล่าถึงปัญหา
หรือสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในอดีต การรับมือต่อปัญหา
และผลของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จากนั้น
จึงจะประเมินว่าผู้สมัครงานรับมือได้ดีเพียงใด สอดคล้องกับระดับ
competency ที่ต้องการประเมินตามงานนั้นหรือไม่
เนื่องจากการสัมภาษณ์แบบนี้ ไม่ ชิว...ชิว...อย่างที่คิด เพื่อให้มีการเตรียมตัวสัมภาษณ์ที่ดีการันตีผลลัพธ์ของการสัมภาษณ์ได้ ผู้สมัครงานควรลอง list รายการ competency ที่คิดว่าสำคัญต่อตำแหน่งงานนั้น อาจจะสงสัยว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ? ลองทายสิครับ ?
+ ดูจากประกาศรับสมัครงานก็พอจะทราบ
หลายองค์กรระบุ competency ที่ต้องการไว้เลย
แล้วกำชับอีกต่างหากว่าใครที่คิดว่า คุณสมบัติไม่ตรงตามนั้น กรุณาอย่าสมัครให้เสียเวลา ! (ช่วยให้ผู้สมัครงานประเมินตนเองเข้มข้นขึ้นมากเลย)
+ ดูจากหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ competency ได้เลย เพราะผู้เขียนมักจะระบุไว้เลยว่า ตำแหน่งงานด้านอะไร ต้องการ competency เรื่องใด อาจจะแบ่งระดับของ competency ไว้ด้วยแล้วก็ได้ หากมีก็ลองประเมินตนเองดูว่า ท่านน่าจะอยู่ในระดับใด
+ โทรถาม recruiter ที่โทรมานัดหมายคุณสัมภาษณ์ แต่ช่องทางนี้ไม่แนะนำนะครับ เพราะ recruiter อาจจะมองว่า ท่านไม่ทำการบ้านเลย กลายเป็นภาพลบไปเสียปล่าวๆ
+ ถามเพื่อนที่ทำงาน HR หรือเพื่อนที่ทำงานในสายงานเดียวกัน และรู้เรื่อง competency ก็ช่วยได้มาก
จากนั้น ขอให้ลองคิดทบทวนถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์ในการทำงานใดก็ตามที่แสดงถึง competency เรื่องนั้น ท่านได้ลงมือปฏิบัติสิ่งใดหรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นั้น รวมทั้งหากได้รับมอบหมายให้ทำอย่างนั้นอีกครั้ง จะปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง ที่สำคัญทำไมจึงคิดเช่นนั้น โอว..... ต้องเตรียมต้องคิดอะไรหลายเรื่องราวขนาดนี้เลยเหรอ ? ขอตอบว่า ใช่แล้วครับพี่น้อง หากต้องการให้ได้ผลดี ไม่มีอะไรที่ง่ายๆ หรอกครับ อย่างไรก็ตาม ตอนที่สองของหนังสือเล่มนี้จะช่วยท่านได้เยอะมาก
+ ดูจากหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับ competency ได้เลย เพราะผู้เขียนมักจะระบุไว้เลยว่า ตำแหน่งงานด้านอะไร ต้องการ competency เรื่องใด อาจจะแบ่งระดับของ competency ไว้ด้วยแล้วก็ได้ หากมีก็ลองประเมินตนเองดูว่า ท่านน่าจะอยู่ในระดับใด
+ โทรถาม recruiter ที่โทรมานัดหมายคุณสัมภาษณ์ แต่ช่องทางนี้ไม่แนะนำนะครับ เพราะ recruiter อาจจะมองว่า ท่านไม่ทำการบ้านเลย กลายเป็นภาพลบไปเสียปล่าวๆ
+ ถามเพื่อนที่ทำงาน HR หรือเพื่อนที่ทำงานในสายงานเดียวกัน และรู้เรื่อง competency ก็ช่วยได้มาก
จากนั้น ขอให้ลองคิดทบทวนถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์ในการทำงานใดก็ตามที่แสดงถึง competency เรื่องนั้น ท่านได้ลงมือปฏิบัติสิ่งใดหรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ได้เรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นั้น รวมทั้งหากได้รับมอบหมายให้ทำอย่างนั้นอีกครั้ง จะปรับปรุงเรื่องอะไรบ้าง ที่สำคัญทำไมจึงคิดเช่นนั้น โอว..... ต้องเตรียมต้องคิดอะไรหลายเรื่องราวขนาดนี้เลยเหรอ ? ขอตอบว่า ใช่แล้วครับพี่น้อง หากต้องการให้ได้ผลดี ไม่มีอะไรที่ง่ายๆ หรอกครับ อย่างไรก็ตาม ตอนที่สองของหนังสือเล่มนี้จะช่วยท่านได้เยอะมาก
ผมมีข้อควรระวัง 2 อย่างให้ท่านนำไปทบทวนเมื่อต้องการคำถามสัมภาษณ์แบบนี้
- ตอบให้ดี (be concise) : เวลาถูกถามคำถามแบบนี้ ท่านอาจจะงงได้ไม่น้อย โดยเฉพาะหากท่านไม่มีปัญหาหรือรับ มือกับสถานการณ์ใดมากมายนัก ก่อนที่จะตอบคำถาม ท่านจะต้องคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตเท่าที่จะนึกได้เพื่อตอบ ให้ข้อมูลโดยเล่าถึงสถานการณ์ที่ชัดเจน ตอบให้ตรงประเด็นกับสถานการณ์ที่ยกมาพูดถึง และเล่าถึงผลที่เกิดขึ้น การยกสถานการณ์ที่ทำจริง และตรงประเด็น เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้ตอบคำถามแบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิผล
- อย่าโทษใคร (do not place blame) : เมื่อท่านอธิบายสถานการณ์ หรือปัญหาหนึ่งใดเพื่อตอบผู้สัมภาษณ์ ยกตัวอย่างเช่น “คุณทำอย่างไร เมื่อเจ้านายคุณตามติดบี้งาน และเกิดอะไรตามมา ?” การจะตอบปัญหาเช่นนี้ พึงระลึกไว้ว่า ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องไปโทษเจ้านายว่า “ไม่คิดถึงหัวอกหัวใจลูกน้อง” หรือโทษเพื่อนร่วมงานว่า “ไร้สติ” เพราะคำถามนี้ล้วนมุ่งถามกับท่านคนเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่นแต่อย่างใด ที่ควรตอบคือการอธิบายให้ฟังว่าท่านจัดการรับมือกับสถานการณ์อย่างไร ไม่ใช่ไปโทษว่าเป็นความล้มเหลวของใคร
การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างน้อย (Less Structured Interview)
o การสัมภาษณ์แบบทั่วไป
(Normal Interview)
บางทีก็เรียกกันว่า การสัมภาษณ์แบบดั้งเดิม (Traditional Interview) หรือ การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured interview) เป็นรูปแบบของสัมภาษณ์ที่เริ่มต้นจากการศึกษาข้อมูลจากประวัติผู้สมัครงาน และเลือกใช้คำถามปลายเปิดเพื่อสนทนาซักถามถึงขอบข่ายหน้าที่งาน บุคลิกภาพที่สอดรับกับบทบาทตามหน้าที่งาน และจุดแข็งจุดอ่อนที่ผู้สมัครงาน ผมไม่ลงลึกไปอธิบายนะครับ เพราะพูดถึงไปบ้างแล้วในตอนที่ชื่อว่า “Competency-based Interview vs. Normal Interview” ลองพลิกกลับมาดูกันนะครับ
o การสัมภาษณ์แบบกดดัน
(Stress Interview)
การสัมภาษณ์แบบกดดันนี้ ไม่ค่อยได้นิยมใช้กันมากนักในปัจจุบัน เพราะดูเหมือนจStress เป็นการใช้คำถามที่ออกแบบมาถามให้ผู้สมัครงานเกิดความกดดันอย่างมาก ๆ เพื่อให้ผู้สมัครงานเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองออกมา เมื่อตกอยู่ภายใต้สถานการณ์และการถามที่กดดันนั้น การถามแบบกดดันนี้ ว่าไปแล้วก็เป็นสถานการณ์ประดิษฐ์ประดอยอยู่ไม่ใช่น้อยเพราะธรรมดาแล้ว การสัมภาษณ์แบบนี้ จะไม่เกิดขึ้นเลยในการสัมภาษณ์งานปกติทั่วไป ผู้รู้ท่านบอกไว้ว่า มีหลายครั้งหลายคราวที่องค์กรเลือกใช้เก้าอี้สัมภาษณ์ที่ขายาวไม่เท่ากัน ทำให้ผู้สมัครงานนั่งไม่สะดวก เสียสมดุลการทรงตัวระหว่างนั่งสัมภาษณ์งานกระทั่งต้องเปลี่ยนอิริยาบถอยู่บ่อย ๆ หรือนั่งต่ำกว่าระดับที่นั่งของผู้สัมภาษณ์งานกระทั่งเกิดความรู้สึกต่ำต้อยกับผู้สมัครงาน และบางครั้งอาจจะมีนัยยะถึงการดูถูกเหยียดยามในระดับหนึ่ง เช่น ใช้คำถามว่า “คุณไปทำอะไรอยู่ ผมคิดว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ เค้ามีหน้าที่การงานที่ดีกว่านี้แล้วทั้งนั้น ?” หรือ “ผมคิดว่าประสบการณ์การทำงานคุณก็งั้น ๆ ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากผู้สมัครงานที่ผมสัมภาษณ์มาแม้แต่น้อย ทำไมผมจะต้องเลือกคุณเข้าทำงานล่ะ ตอบผมมาหน่อยสิ ?” พร้อมกันท่าทางยียวนกวนประสาท เสมือนหนึ่งดูถูกกันเสียเต็มประดา ผมเคยฟังมาว่า รูปแบบการถามสัมภาษณ์แบบนี้ นิยมอย่างมากในช่วงราวสี่สิบถึงห้าสอบปีก่อนในสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตกอีกหลายประเทศ ขณะที่ปัจจุบัน ไม่ค่อยได้พบเห็นมากนัก เพราะนิยมถามสัมภาษณ์แบบอิงพฤติกรรมหรืออิงสมรรถนะมากกว่า
การสัมภาษณ์แบบนี้ มีข้อดีคือ ช่วยสกรีนวุฒิภาวะทางอารมณ์ของผู้สมัครงานด้วยการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ผู้สมัครงานรู้สึกกดดันกับคำถาม หรือยากที่จะตอบคำถามที่นำมาถาม โดยเลือกถามคำถามที่ค่อนข้างก้าวร้าวถึงก้าวร้าวอย่างมาก หรือสถานการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างที่ผมยกตัวอย่างไป หากได้ยินคำถามทำนองนี้ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านที่จะต้องไปสัมภาษณ์งานเข้าใจนะครับว่า กรรมการสัมภาษณ์ หรือผู้สัมภาษณ์ท่านนั้น ไม่ได้มีเรื่องโกรธแค้นกันมาก่อนแต่ปางไหน จึงไม่มีความจำเป็นอะไรต้องมาชวนผู้สมัครงานทะเลาะ หรือหาเรื่องใส่ตัวหรอกครับ ขอให้มองว่านี่คือการสัมภาษณ์แบบกดดัน และเรื่องที่สำคัญมากกว่าที่ผู้สมัครงานจะต้องทำคือ เตรียมตัวรับมือกับคำถามแบบนี้ให้ดี มากกว่าที่จะไปนั่งไม่พอใจหรือหงุดหงิดกับคำถามที่ดูเหมือนไม่ได้เกียรติกันบ้างเลย ส่วนผู้สัมภาษณ์นั้น เมื่อสัมภาษณ์เสร็จสิ้น ก็ควรจะต้องชี้แจงให้ผู้สมัครงานเข้าใจว่าที่ผ่านมานั้น เป็นการสัมภาษณ์แบบกดดัน ไม่ได้มีจิตเจตนาที่ไม่สมควรแต่อย่างใด ทำได้เช่นนี้ จะส่งผลดีทั้งต่อต่อผู้สัมภาษณ์และองค์กร (ในสายตาของผู้สมัครงาน) ได้มากทีเดียวครับ
o การสัมภาษณ์แบบถามจากเรื่องก่อนหน้า
(Nondirective Interview)
การสัมภาษณ์แบบนี้ จะตั้งคำถามต่อเนื่องจากที่ตั้งคำถามก่อนหน้า โดยมากจะเริ่มต้นจากการให้ผู้สมัครงานแนะนำตนเอง จากนั้นจะเจาะลึกเพื่อทำความเข้าใจผู้สมัครงานมากขึ้น และคำตอบที่ตอบมาก็จะใช้เป็นแนวตั้งคำถามต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าผู้สัมภาษณ์จะไล่เรียงจนครบประเด็นแล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้สมัครงานตอบว่า “เรื่องหนึ่งที่ผมพึงพอใจกับการทำงานมากที่สุด คือหัวหน้างาน” คำถามแบบนี้ จะถามต่อว่า “หัวหน้างานแบบไหนหรือ ที่คุณทำงานแล้วพึงพอใจ ?” ส่วนที่ยากของคำถามสัมภาษณ์แบบนี้คือ เนื่องจากไม่ค่อยมีโครงสร้างคำถามที่ชัดเจน การสอบถามให้อยู่ในประเด็นที่เกี่ยวกับงาน จึงจะต้องวางแผนการสัมภาษณ์ และดึงให้ผู้สมัครงานกลับมาอยู่ในประเด็นให้ได้ และยากกับการเปรียบเทียบผู้สมัครงานรายหนึ่งกับผู้สมัครงานอีกรายหนึ่ง เนื่องจากอาจจะมีการถามตอบที่แตกต่างกันไปอย่างมากก็ได้ รวมทั้งยังมักปรากฏว่าความ พึงพอใจคำตอบของผู้สัมภาษณ์ที่มีกับผู้สมัครงานคนหนึ่ง อาจจะแตกต่างไปอย่างมากจากผู้สมัครอีกรายหนึ่ง ทั้งที่ผู้สมัครงานรายหลัง ประวัติและประสบการณ์ทำงานดีกว่าผู้สมัครงานรายแรกมาก เพราะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สัมภาษณ์เป็นสำคัญนั่นเอง
o การสัมภาษณ์แบบหาข้อมูล
(Informational Interview)
การสัมภาษณ์แบบนี้ มุ่งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับงาน และประสบการณ์ที่ผู้สมัครงานทำเพิ่มเติมจากที่มีในจดหมายสมัครงาน และประวัติการทำงาน ๆ ในมุมของผู้สมัครงาน ถือเป็นโอกาสดีที่จะสามารถสอบถาม HR ได้ว่า ธุรกิจขององค์กรเป็นอย่างไร จะสามารถหาข้อมูลองค์กรเพิ่มเติมจากที่ใดได้บ้าง รวมทั้งการสานสร้างความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับ HR ไว้ ซึ่งอาจจะเป็นการนัดหมายมาสอบถามข้อมูลกันภายนอกหน่วยงาน หรือใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ก็ได้ โดยมากแล้ว ก็จะไม่เป็นการสัมภาษณ์รอบสุดท้าย (final round) เสียเลย สมมติว่าองค์กรจะใช้ CBI กับการสัมภาษณ์ในขั้นตอนสุดท้าย ก็ต้องเตรียมตัวอย่างเป็นระบบและรอบคอบสักนิด จะใช้การสัมภาษณ์แบบนี้ ก็คงไม่ช่วยตอบโจทย์สิ่งที่อยากได้ จริงมั๊ยครับ
การสัมภาษณ์งานลักษณะนี้ให้ได้ผลดี ผู้สมัครงานควรต้อง
- หาข้อมูลองค์กรให้ได้มากที่สุด โดยจัดเตรียม list คำถามที่อยากถาม
- ถามพอประมาณ เพื่อมิให้ HR มองว่า ไม่ตั้งใจจะหาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยตัวเองเลยหรือยังงัย ?
- เตรียมกระดาษบันทึกและปากกาไว้ให้พร้อม เผื่ออาจจะต้องจดข้อมูลใดเพิ่มเติม
- แลกเปลี่ยนนามบัตรไว้ใช้ติดต่อระหว่างกัน
o การสัมภาษณ์มื้อเที่ยง/มื้อเย็น
(Lunch/Dinner Interview)
การสัมภาษณ์แบบนี้ เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ เพราะจะสัมภาษณ์ตอนมื้อเที่ยง หรือมื้อรับประทานอาหารเย็น ซึ่งก็ไม่นิยมทำกันเท่าใดนักนะครับ เพราะยึดเอาความสะดวกของผู้สัมภาษณ์งานเป็นหลัก เนื่องจากบางครั้งก็รถติดในใจกลางเมืองและตารางเวลาแน่นมาก และบางทีผู้สมัครงานเองก็ไม่สะดวกใจที่จะคุยกับใครตอนทานอาหาร หรือหากจะมีก็เป็นการสัมภาษณ์ระดับผู้บริหารเสียมากกว่า และที่สำคัญนั้น มักจะเป็นการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้ว แม้จะพบเช่นกันว่า บางองค์กรก็นำมาใช้กับการสัมภาษณ์รอบแรก ซึ่งจะมุ่งพิจารณาทักษะทางสังคม (social grace) ของผู้สมัครงาน
การสัมภาษณ์งานลักษณะนี้ให้ได้ผลดี ผู้สมัครงานควรต้อง
การสัมภาษณ์แบบนี้ เป็นการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ เพราะจะสัมภาษณ์ตอนมื้อเที่ยง หรือมื้อรับประทานอาหารเย็น ซึ่งก็ไม่นิยมทำกันเท่าใดนักนะครับ เพราะยึดเอาความสะดวกของผู้สัมภาษณ์งานเป็นหลัก เนื่องจากบางครั้งก็รถติดในใจกลางเมืองและตารางเวลาแน่นมาก และบางทีผู้สมัครงานเองก็ไม่สะดวกใจที่จะคุยกับใครตอนทานอาหาร หรือหากจะมีก็เป็นการสัมภาษณ์ระดับผู้บริหารเสียมากกว่า และที่สำคัญนั้น มักจะเป็นการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายแล้ว แม้จะพบเช่นกันว่า บางองค์กรก็นำมาใช้กับการสัมภาษณ์รอบแรก ซึ่งจะมุ่งพิจารณาทักษะทางสังคม (social grace) ของผู้สมัครงาน
การสัมภาษณ์งานลักษณะนี้ให้ได้ผลดี ผู้สมัครงานควรต้อง
- สั่งอะไรบางอย่างมาทาน เพื่อไม่ให้ผู้สัมภาษณ์งานรู้สึกขัดเขิน แต่ก็ควรดูให้ดีว่าผู้สัมภาษณ์งานกำลังรับประทานอะไรอยู่ สมมติกำลังเอร็ดอรอยอยู่กับส้มตำ ท่านจะสั่งพิซซ่ามากิน อันนี้ไม่ควรทำครับ
- เนื่องจากการสัมภาษณ์แบบนี้ มุ่งประเมินทักษะทางสังคม ท่านต้องระมัดระวังกิริยามารยาทบนโต๊ะอาหารให้ดี หากผู้สัมภาษณ์ซดน้ำแกง เสียงดังมาก ก็ควรเข้าใจว่า ผู้บริหารอาจจะเป็นคนจีนหรือญี่ปุ่นที่มารยาททางการกินอาหารแบบนั้นถือว่าให้เกียรติกัน แตกต่างจากบ้านเราที่ดูเป็นไม่ค่อยมีมารยาท
o การสัมภาษณ์แบบจำลองสถานการณ์
(Simulation Interview)
การสัมภาษณ์แบบนี้
เป็นการมุ่งถามเพื่อให้ผู้สมัครงานแสดงออกถึงทักษะความสามารถในการทำงาน
ด้วยการรับบทบาทหนึ่งที่ต้องรับมือกับลูกค้าเจ้าปัญหาเป็นเรื่องหลักเลยนะครับ
ผมขอยกตัวอย่างการจำลองสถานการณ์สัมภาษณ์พอให้ท่านผู้อ่านได้นึกภาพตามดังนี้
ผู้สัมภาษณ์ : สมมติว่าคุณเป็นพนักงานขาย ผมเป็นลูกค้านะ ลองเสนอขาย “ปากกาด้ามนี้” ให้ผมซื้อให้ได้หน่อยสิ
ผู้สมัครงาน : ตอบ.............
ผู้สัมภาษณ์ : แล้วมันมีคุณสมบัติพิเศษอะไรที่แตกต่างจากปากกายี่ห้อ “แมวไทย” บ้างล่ะ
ผู้สมัครงาน : ตอบ.............
ผู้สัมภาษณ์ : หากผมเป็นตัวแทนจขายปากกายี้ห้อของคุณ คุณคิดว่าผมควรจะขายในช่องทางไหน จะสร้างยอดขายที่ดีได้ ?
ผู้สมัครงาน : ตอบ.............
ผู้สัมภาษณ์ : ผมได้จะโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอะไรที่พิเศษมั๊ย ?
ผู้สมัครงาน : ตอบ.............
ฯลฯ......
สิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้สมัครงานที่พบเจอสถานการณ์การสัมภาษณ์แบบนี้ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของ “การเตรียมความพร้อมของสภาพจิตใจ”
เนื่องจากปัญหาหลักของการตอบสัมภาษณ์สถานการณ์จำลองนี้คือ “ไม่มีวิธีการอย่างเดียวที่เหมาะสมที่สุดกับการทำงานหนึ่งงานใด”ที่จำลองเรื่องขึ้นมา ผู้สมัครงานจึงต้องตัดสินใจเลือกตอบอย่างใดก็ได้ที่สมเหตุสมผลมากที่สุด
ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจส่วนตัวล้วน ๆ
และจะสมเหตุสมผลมากน้อยแค่ไหนก็ย่อมอิงกับประสบการณ์ทำงานของผู้สมัครงานเอง
สิ่งที่สำคัญคือ “ความสงบ” ฟังให้ถี่ถ้วน คิดให้รอบคอบ และระมัดระวังสิ่งที่ตอบ จะช่วยให้คิดหาแนวคำตอบที่ดีได้ครับ
o การสัมภาษณ์กลุ่ม
(Group Interview)
การสัมภาษณ์แบบนี้ มักจะเป็นในรูปคณะกรรมการสัมภาษณ์ที่มาจากหลายหน่วยงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานนี้ และที่ขาดไม่ได้คือตัวแทนจากฝ่าย HR ที่ทำหน้าที่บริหารทรัพยากรบุคคลนั่นเอง รวมตัวกันสัมภาษณ์กับผู้สมัครงาน
โดยทั่วไป ในการสัมภาษณ์กลุ่ม กรรมการสัมภาษณ์มักจะเล่าถึงข้อมูลองค์กร ข้อมูลตำแหน่งงาน โดยเฉพาะความคาดหวังตามตำแหน่งงานที่ผู้สมัครงานจะต้องรับผิดชอบ หากได้รับคัดเลือกเข้ามาร่วมงานกับองค์กร ให้ผู้สมัครงานได้ทราบ ในทำนองหนึ่ง ผู้สมัครงานก็สามารถสอบถามผู้สัมภาษณ์ในเรื่องเหล่านี้ เพื่อให้ได้รายละเอียดประกอบการตัดสินใจร่วมงานกับองค์กรได้เช่นกัน เพราะผู้สัมภาษณ์งานที่มาเป็นกรรมการสัมภาษณ์นั้น มักจะมีที่มาหลากหลายฝ่ายงานในองค์กร และล้วนแต่เข้าใจเรื่องราวของตำแหน่งงานและองค์กรเป็นอย่างดีอยู่
ผมขอแนะนำ tip ของการสัมภาษณ์แบบนี้ให้กับผู้สมัครงานทั้งหลาย เผื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ครับ
- แนะนำตัวเองกับผู้สัมภาษณ์อย่างสุภาพ
- ไม่แสดงพฤติกรรมหรือการแสดงออกใดที่สื่อถึงความก้าวร้าว สงบจิตใจสักนิด เมื่อได้รับคำถามสัมภาษณ์แบบกดดัน
- หลีกเลี่ยงเล่าถึงความขัดแย้งจากการไม่ร่วมมือทำงานของเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะไม่โยนความผิดให้เพื่อนร่วมงาน หากต้องพูดถึงงานที่ทำไม่เสร็จ เพราะแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพของท่านเอง
- ระวังการใช้ภาษากายที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมักจะเป็นพฤติกรรมที่ผู้สัมภาษณ์จะสังเกตท่านในระหว่างสัมภาษณ์ จงมั่นใจว่า ท่านส่งภาษากายที่เหมาะสมกับเรื่องที่เล่า
โดยทั่วไปนั้น การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์จะเป็นการสัมภาษณ์รอบแรกเพื่อขอข้อมูลหรือตรวจสอบข้อมูลบางอย่างจากผู้สมัครงาน ซึ่งนับว่าเป็นการเตรียมสัมภาษณ์ที่ดีและประหยัดต้นทุนทั้งสำหรับผู้สมัครงานและผู้สัมภาษณ์งาน หากไม่แน่ใจคุณสมบัติของผู้สมัครงาน องค์กรก็ควรตรวจสอบในช่องทางนี้ได้ ไม่ต้องเชิญมาคุยที่สำนักงานให้เสียเวลาไม่ว่ากับฝ่ายใด ส่วนมากแล้วก็มักใช้เวลา 10-30 นาที ข้อดีของการสัมภาษณ์แบบนี้คือ ท่านสามารถจดบันทึก หรือเปิดข้อมูลใดๆ เช่น ประวัติการทำงาน จดหมายสมัครงาน ใบกำหนดหน้าที่งาน คุณสมบัติตามตำแหน่งงานที่สมัครอ่านได้เลย ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เมื่อท่านจะตอบคำถามสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์นี้ สิ่งที่ควรต้องคิดให้มากคือ การรักษาความสุภาพและมารยาทการพูดคุยที่ดี เป็นมิตร และให้เกียรติระหว่างกัน รวมทั้งตอบคำถามด้วยความกระตือรือร้นสนใจสิ่งที่ถามมา เรียกว่าต้องนำเสนอตัวเองให้ได้ทั้งในน้ำเสียงและท่วงทำนองการพูด ทำได้ดี.....มีชัยไปกว่าครึ่ง
HR ที่จะทำหน้าที่โทรศัพท์สัมภาษณ์เบื้องต้น ก็ควรจะต้องให้ข้อมูลพื้นฐานก่อนว่า ต้องการติดต่อใคร โทรมาจากที่ใด ผู้สมัครงานสะดวกที่จะคุยหรือไม่ การพูดคุยจะใช้ระยะเวลาประมาณกี่นาที อยากจะสอบถามข้อมูลเรื่องอะไร ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องนัดหมายกันอีกครั้งเพื่อคุยให้ได้รายละเอียด นอกจากนี้ HR อาจจะต้องเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนของการสัมภาษณ์งานให้ฟังว่าถัดจากนี้คืออะไร จะต้องพูดคุยสัมภาษณ์งานกับใคร รวมสิริแล้วจะใช้เวลานานแค่ไหน ข้อมูลเหล่านี้ HR บอกได้ไม่ผิดอะไร และเป็นมืออาชีพดีครับ ทั้งนี้ การสัมภาษณ์งานให้ได้ประสิทธิผล ผู้สัมภาษณ์ควรจะต้อง...
- ลงตารางเวลาโทรนัดหมายเพื่อสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับผู้สมัครงาน
- แจ้งให้ผู้สมัครงานทราบว่า ท่านจะโทรศัพท์เพื่อสัมภาษณ์ จากนั้นก็นัดหมายเวลาที่ผู้สมัครงานสะดวกจะให้การสัมภาษณ์ อย่าลืมแจ้งนะครับว่า ท่านจะใช้เวลานานเท่าใด เพื่อให้ผู้สมัครงานวางแผนเวลาถูกต้อง
- โทรไปหาผู้สมัครงานตรงเวลา
- ใช้เวลาเล็กน้อยในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้สมัครงาน เพื่อให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลาย อันจะช่วยให้การสัมภาษณ์มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
- เริ่มต้นจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับประวัติการทำงาน ประสบการณ์ และคุณสมบัติที่เหมาะสมกับงาน จากนั้นจึงขอข้อมูลเพิ่มเติมในสิ่งที่ยังไม่ชัดเจน
- ฟังคำตอบเพื่อสังเกตว่าผู้สมัครงานรู้สึกประหม่าที่จะตอบหรือให้ข้อมูลหรือไม่ และรักษาเวลา
- เปิดโอกาสให้ผู้สมัครงานได้ถามคำถามที่อยากรู้
- แสดงความขอบคุณ เมื่อสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์แล้วเสร็จ โดยอย่าลืมอธิบายขั้นตอนการสัมภาษณ์ และกรอบเวลาที่จะใช้ให้ผู้สมัครงานทราบ
- จดบันทึกเพื่อให้มีรายละเอียดสำหรับประกอบการสัมภาษณ์ในรอบต่อไป
ในส่วนของผู้สมัครงานนั้น หากต้องการให้ได้ผลดี ควรต้อง....
- เลือกคุยในห้องเงียบ ๆ อาจจะในที่ทำงานหรือในพื้นที่ภายนอกก็ได้ เพื่อไม่ให้มีอะไรขัดจังหวะในขณะสัมภาษณ์
- เลือกใช้หมายเลขท้องถิ่น (landline) ไม่ใช่มือถือเพื่อป้องกันปัญหาสัญญาณหาย คุยกันไปต้องต่อสายใหม่บ่อย ๆ ไม่สะดวกแน่เลยครับ
- ตอบคำถามด้วยกิริยาที่เรียบร้อย ในประสบการณ์ส่วนตัว ผมเคยโทรสัมภาษณ์เบื้องต้นกับผู้บริหารฝ่ายการตลาดบางท่าน ผลตอบรับไม่คอยดีมากนัก เข้าใจว่าท่านอาจจะไม่ค่อยมีเวลาว่าง ทั้งที่เช็คแล้วว่าสะดวกที่จะคุยตอนนี้ น้ำเสียงที่ตอบกลับมาจึงไม่ค่อยดี หากผมมีทางเลือกอื่น ก็เป็นไปได้มากว่า ผู้บริหารที่ candidate นี้จะเป็นแค่คู่เปรียบเทียบกับคนอื่น และไม่ใช่ทางเลือกที่องค์กรอยากเลือกเข้ามาทำงาน
o การสัมภาษณ์แบบถ่ายทอดภาพและเสียง (Video Interview)
สมมติว่าจะต้องสัมภาษณ์งานกับผู้สมัครต่างพื้นที่ สำนักงานใหญ่สัมภาษณ์ผู้จัดการสาขาอยู่สุไหงโกลก หากจะต้องเดินทางไปสัมภาษณ์กันถึงพื้นที่ ก็ควรจะต้องพิจารณาประเด็นเรื่องความสะดวกในการเดินทางด้วย ก็อาจจะต้องสัมภาษณ์ผ่านทางวีดีโอ สมัยนี้ เทคโนโลยีก้าวหน้ามาก สามารถใช้โปรแกรมทาง Social Media เช่น โปรแกรม Skype หรือบริการ Video Chatting Online หรืออาจจะทำ Video Conference ที่ส่งได้ทั้งภาพและเสียงแบบเรียลไทม์เลย ก็สะดวกดีเช่นกัน หากต้องการข้อมูลอื่นเพิ่มเติม ก็เพียงแต่เปิดเมล์ส่ง สะดวกอย่างมาก
การสัมภาษณ์งานลักษณะนี้ให้ได้ผลดี ผู้สมัครงานควรต้อง
- แต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับตำแหน่งงาน
- ตรวจสอบอุปกรณ์ที่จะใช้ให้พร้อม คอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเตอร์เน๊ต หรือใช้ต่อสัญญาณมือถือมีปัญหาติดขัดหรือไม่
- เลือกใช้สถานที่ที่เป็นส่วนตัว ไม่มีสิ่งใดมารบกวน
- ใช้หูฟังเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงก้อง หรือเสียงสะท้อนระหว่างสัมภาษณ์
o การสัมภาษณ์แบบเป็นคณะ (Panel Interview)
เป็นรูปแบบการสัมภาษณ์ที่ได้รับความนิยมกันมาก โดยทั่วไปผู้สัมภาษณ์จะประกอบไปด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานนั้น รวม 3-5 คน เรียกว่า “กรรมการสัมภาษณ์” แล้วแต่ความสำคัญของตำแหน่งงาน เพื่อสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน กรรมการสัมภาษณ์ต่างช่วยกันซักถามสัมภาษณ์กับผู้สมัครงาน การสัมภาษณ์แบบเป็นคณะนี้ มีข้อดีที่ช่วยกันกลั่นกรองผู้สมัครงานให้รอบคอบ และแลกเปลี่ยนความเห็นกับคุณสมบัติของผู้สมัครงาน แต่ก็มีข้อเสียบ้างที่อาจจะมีกรรมการสัมภาษณ์บางคนที่มีอิทธิพลทางความคิดครอบงำให้กรรมการสัมภาษณ์ท่านอื่นเห็นคล้อยตามกัน และอาจจะขาดโอกาสที่การถามคำถามติดตามผล
o การสัมภาษณ์แบบต่อเนื่อง (Serial Interview)
มักเป็นการสัมภาษณ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งหรือ One-on-one
Interview (ผู้สัมภาษณ์หนึ่งคน สัมภาษณ์ผู้สมัครงานหนึ่งคน)
ซึ่งนับว่าเป็นแนวทางที่องค์กรส่วนใหญ่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว
ในการสัมภาษณ์แบบนี้ ไม่ได้หมายถึงการถามคำถามต่อเนื่องกันนะครับ
แต่หมายถึงการให้บุคคลที่มีส่วนสำคัญกับการตัดสินใจคัดเลือกผู้สมัครงานเข้าร่วมงาน
ได้ร่วมในกระบวนการสัมภาษณ์ และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
และสัมภาษณ์ต่อเนื่องกันไป วิธีนี้ มีข้อดีที่สามารถจัดลำดับสัมภาษณ์ผู้สมัครงานให้เสร็จได้ภายในวันเดียว
เป็นการประหยัดเวลาของทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้สมัครงาน แต่ก็ต้องคอยควบคุมให้ผู้สัมภาษณ์ไม่สอบถามคำถามเดียวกันซ้ำกันตลอด
อันจะส่งผลให้เสียเวลากับการคัดเลือกผู้สมัครงานไปอย่างน่เสียดาย
และแน่นอนครับ วิธีการสัมภาษณ์แบบนี้
ใช้เวลามากเลยทีเดียว อาจทำให้ผู้สมัครงานที่ไม่มีเวลาเพียงพอ
ไม่สามารถรับนัดได้เพราะต้องเสียเวลาทำงานที่ยังทำอยู่ไป
แบบนี้ก็ได้อย่างเสียอย่างครับ
จากที่ผมยกตัวอย่างไป ต้องออกตัวไว้ก่อนว่า
คงจะไม่ครบทุกประเภทที่ผู้รู้ได้จำแนกประเภทไว้ บางคนอาจจะจัดการสัมภาษณ์แบบกดดัน
(Stress Interview) เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างน้อย
(Less Structured) ซึ่งก็เป็นความเหห็นที่แตกต่างกัน
ดังนั้น ผมไม่แนะนำที่ท่านผู้อ่านจะนำบทความนี้ไปใช้กับการอ้างอิงในงานวิจัย
แค่เรียนรู้ และทำความรู้จักก็พอแล้ว.....
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบขอบคุณครับ สำหรับบทความดี ๆ และมีประโยชน์ แบบนี้
ตอบลบผมขอนำบทความนี้ไปปรับปรุงแก้ไข บางประโยคนะครับ เพื่อนำไปใส่ในรูปเล่มโครงการ
ขอบคุณครับ . . .