วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้อผิดพลาดที่มักพบได้บ่อยเมื่อสัมภาษณ์และว่าจ้างคนทำงาน

หลังจากที่ผมเสนอบทความเรื่อง “ทิป 10 อย่างของการจ้างพนักงานให้ได้ผลเป็นเยี่ยม” ไปแล้ว มีท่านผู้อ่านที่สนใจติดตามบทความของผม ให้ความเห็นกลับมาทางอีเมล์ว่า การว่าจ้างคนทำงานที่เป็นคน “ไม่ใช่” อย่างที่อยากได้นั้น สิ้นเปลืองทั้งเวลาและทรัพยากรขององค์กรมากมาย คิดเป็นตัวเงินได้อย่างไม่อยากนับเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นต้นทุของบุคลากรที่ทำงานสรรหา  การฝึกอบรม รวมทั้งอาจจะเสียสุขภาพจิต (psychic energy) จากปัญหาหลายอย่างที่คนที่ “ไม่ใช่” ก่อขึ้นอีกด้วย จึงอยากขอให้ผมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าพอจะมีคำแนะนำสำหรับการแก้ไขข้อบกพร่องในทำนองเอาให้ชัดในเรื่องการสรรหา และว่าจ้าง เสียเลย
 
เมื่อกรุณาขอให้แชร์ เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ผมจะไม่ขัดศรัทธาที่จะแลกเปลี่ยนความเห็นสำหรับวงการวิชาชีพ HR ของเราครับ
 
แต่ก่อนอื่น ผมขอเริ่มต้นด้วยการทบทวนเรื่องเดิมให้ท่านผู้อ่านฟังเสียก่อน  
ใบบทความดังกล่าว ผมให้ความเห็นไว้ว่า การสรรหาและว่าจ้างผู้สมัครงานบรรจุในตำแหน่งว่างขององค์กรนั้น HR จะต้องตอบโจทย์หลายอย่างเพื่อให้การสรรหาและคัดเลือกคนเข้าทำงานเกิดผลดี อันได้แก่ การปรับปรุงศูนย์รวมของผู้สมัครงานที่เป็นตัวเลือก (candidate pool) พร้อมกับแสวงหาแนวทางในการประเมินผลผู้สมัครงานโดยเน้นไปที่พฤติกรรม(behavioral) ให้ตรงกับที่องค์กรอยากจะได้ โดยเริ่มต้นด้วยการมองหาผู้สมัครงานจากภายในองค์กร  คู่ขนานไปกับการทำให้องค์กรเป็นที่รู้จักในฐานะนายจ้างที่ใครก็อยากทำงานด้วยหรือ “great employer”  โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมที่จะควรจะต้องพิจารณาให้พนักงานมีส่วนร่วมในกระบวนการคัดเลือกคน ด้วยการแนะนำผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติตรงกับตำแหน่งเป็นเยี่ยมมาสมัครงาน การช่วยกลั่นกรองคุณสมบัติผู้สมัครงานจากใบสมัครหรือประวัติการทำงานทั้ง รวมถึงอาจจะช่วยสัมภาษณ์และตัดสินใจเฟ้นหาคนที่มีแนวโน้มเข้ากันได้กับองค์กร พร้อมกับองค์กรต้องมาพิจารณาถึงนโยบายการจ่ายที่จูงใจให้ผู้สมัครงานที่มากความสามารถสนใจสมัครเข้าร่วมงาน ตลอดจนใช้ช่องทาง Web Site หรือแหล่งสมัครงานภายนอกองค์กรกับการสรรหาคนทำงานที่กว้างขวางมากขึ้น กระทั่งสุดท้ายเพื่อให้ได้คนทำงานที่อยากจะได้ องค์กรจะต้องทำการตรวจสอบประวัติการทำงานเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่องค์กรกำลังจะเลือกนั้น เป็น ของแท้ที่องค์กรต้องการจริง ๆ  
ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดหลายเรื่องที่ HR ซึ่งทำงานด้านการสรรหาและว่าจ้างมักหลงลืม หรือละเลยไม่ใส่ใจเท่าที่ควร  ข้อความเห็นเหล่านี้ ผมเสนอไว้เพื่อเตือนให้ท่านที่ทำงานเกี่ยวข้อง ได้พึงระวัง รวมทั้งลดอุปสรรคต่าง ๆ อันจะทำให้ปลายทางแล้วเราสามารถสรรหาและคัดเลือกคนที่ใช่เข้าทำงานอย่างแท้จริง   
1.   ไม่ตรวจประวัติเบื้องต้นของผู้สมัครงานที่สนใจ
การตรวจข้อมูลเบื้องต้นว่าผู้สมัครงานมีประสบการณ์ผ่านงานใดมาบ้าง ซึ่งสามารถทำได้ภายในเวลาสัก ½ ชั่วโมง จะช่วยให้องค์กรของท่านประหยัดเวลาที่อาจจะต้องเสียไปกับคนทำงานที่ไม่ใช่อย่างน้อยก็ 3-4 เดือนทีเดียวนะครับ อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำให้ท่านสกรีนเบื้องต้นกับเฉพาะผู้สมัครงานที่ท่านสนใจและคุณสมบัติตรงตามตำแหน่งงานที่จะรับเท่านั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปกับทุกคน ซึ่งนั่นก็หมายถึง ท่านจะต้องเลือกผู้สมัครงานที่มีคุณสมบัติทุกด้านสอดคล้องกับที่ต้องการตามตำแหน่งงานให้ได้มากที่สุดเสียก่อน จึงนั้นก็มาคัดกรองอีกรอบ อย่างรอบคอบและถี่ถ้วน โดยที่สำคัญนั้น อย่าลืมที่จะพิจารณาแนวโน้มความเข้ากันได้ของผู้สมัครงานกับคุณค่าหรือวัฒนธรรมองค์กรของท่านประกอบไปด้วย เปล่าประโยชน์ที่จะเลือกคนที่เก่งแต่งาน แต่แทบจะมองไม่เห็นหนทางในการที่จะปรับตัวเข้ากับชีวิตการทำงานภายในองค์กร เพราะรังแต่จะสร้างปัญหามากกว่าสร้างผลงาน ท่านว่าจริงมั๊ยครับ ?  
2.   ขาดการเตรียมพร้อมในการให้ข้อมูลผู้สมัครงาน
เป็นไปได้ที่ผู้สมัครงานจะไม่ได้เตรียมตัวทำความรู้จักกับองค์กรของท่าน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะข้อจำกัดของสารสนเทศองค์กรที่ไม่ค่อยมีแพร่หลาย โดยเฉพาะในช่องทางเวบไซด์ หรือที่จะสามารถสืบค้นได้ผ่านทาง search engine  หากเป็นแบบนี้  โปรดอย่าได้ผลีผลามตัดคะแนนความไม่ใส่ใจเตรียมตัวเรื่ององค์กรของท่านในทันที หากแต่ควรช่วยให้ข้อมูลผู้สมัครได้ทราบข้อมูลขององค์กรเป็นต้นว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ข่าวสารองค์กรที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบ และบทบาทที่คาดหวังตามตำแหน่งงาน  สิ่งที่ท่านบอกผู้สมัครงานไปดังกล่าว นอกจากจะช่วยให้เกิดความรู้สึกที่ดีของผู้สัมภาษณ์งานแล้ว ยังช่วยให้ผู้สัมภาษณ์งานเอง สามารถเตรียมคำถามเพื่อประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่งงาน และความเข้ากันได้กับคุณค่า ค่านิยมหรือวัฒนธรรมองค์กรได้อีกต่างหาก หากเล่าให้ฟังแล้ว ไม่ปรากฏแววตาความสนใจของผู้สมัครงาน หรือมีปฏิกิริยาแบบ “nothing at all” นั่นล่ะ ค่อยปล่อยเค้าไปตามทางที่เค้าควรจะต้องเป็น  
3.   ไม่เตรียมการสัมภาษณ์ให้ดี
ในมุมของผู้สัมภาษณ์งาน เมื่อท่านมีนัดหมายแล้ว โปรดอย่าได้ให้งานอื่นมาแทรก (disturb) ระหว่างที่ท่านสัมภาษณ์ เพราะไม่เหมาะสมเลย และแสดงให้เห็นว่าท่าน (ในฐานะผู้สัมภาษณ์) ไม่ได้เตรียมตัววางแผนเวลาทำงานมาเป็นอย่างดี  โดยเฉพาะเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวที่เข้ามา แม้ตำแหน่งงานที่ท่านสัมภาษณ์อาจจะเป็นเพียงพนักงานระดับปฏิบัติการก็ตาม  นอกจากนี้ ในการเตรียมสัมภาษณ์ที่เพียบพร้อม ผมยังหมายถึงการกำหนดแผนการสัมภาษณ์และมอบหมายหน้าที่สัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า  โดยเฉพาะหากเป็นการสัมภาษณ์แบบคณะกรรมการ (panel interview) ก็ควรที่จะนัดหมายพูดคุยกันก่อนเริ่มการสัมภาษณ์ ล่วงหน้าว่าใครจะรับผิดชอบในการถามสัมภาษณ์เรื่องใด  เช่น ใครจะเป็นคนประเมินความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมองค์กร?  ใครจะเป็นคนประเมินความเหมาะสมของประสบการณ์กับตำแหน่งงาน? ใครจะเป็นคนประเมินการมีทัศนคติแบบ ‘can do attitude’ และประเมินบุคลิกภาพ เป็นต้น  ไม่ควรพอถึงเวลาปุ๊ป ต่างคนต่างอยากสัมภาษณ์อะไรก็ว่าไปอย่างนั้นปั๊บเลย  หากเป็นแบบนี้ น่ากังวลว่าการสัมภาษณ์จะไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร  
4.   พึ่งพาเฉพาะการสัมภาษณ์ผู้สมัครงานเพียงอย่างเดียว
ขึ้นชื่อว่าการสัมภาษณ์ ว่าไปแล้วก็คือการพูดคุยกัน แต่คนที่ควรจะใช้เวลาในการพูด ในลักษณะการเล่าเรื่องราว หรือสถานการณ์จากประสบการณ์ในการทำงานให้ฟังนั้น ต้องเป็นผู้สมัครงาน เทียบสัดส่วนต่อผู้สัมภาษณ์ก็ควรจะเป็น 80:20 ตามกฎของพาเรโต้  ที่ต้องให้น้ำหนักการเล่าเรื่องราวกับผู้สมัครงานมากนั้น เนื่องจากโดยมากแล้วผู้สมัครงานจะไม่ได้เตรียมตัวกับการสัมภาษณ์มากมายเท่าใดนัก (ผมหมายถึงคนที่จะต้องไปสัมภาษณ์ทั่วไปมักจะเป็นอย่างนี้) และในบรรดาเวลาที่ผู้สมัครงานได้รับจากการสัมภาษณ์นั้น  ราว10-20%  ควรให้เค้าได้พูดองค์กรของท่าน ที่เค้าสนใจสมัครงานและกำลังสัมภาษณ์อยู่นี้ 
และเพื่อให้ได้ผู้สมัครงานที่ตรงกับที่องค์กรพึงประสงค์มากที่สุด ในก่อนและระหว่างการสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน องค์กรควรต้องเลือกใช้วิธีการอย่างอื่นประกอบกันไป   เพราะว่าไปแล้ว การสัมภาษณ์อย่างเดียว ก็มักไม่ได้ผลเท่าที่ควร เช่นที่ผมเคยกล่าวไว้ในบทความเรื่องการสัมภาษณ์แบบอิงสมรรถนะก่อนหน้า (ลองย้อนกลับไปอ่านบทความก่อน ๆ นะครับ)   
5.   เน้นประเมินบุคลิกภาพมากกว่าประเมินทักษะและประสบการณ์
ผู้สัมภาษณ์หลายคน มุ่งที่จะประเมินบุคลิกภาพของผู้สมัครงานที่มาเข้ารับการสัมภาษณ์มากกว่าที่จะมองทักษะ และประสบการณ์การทำงาน หลายคนถลำลึกในทางที่ผิด ไปเลือกผู้สมัครงานด้วยเพราะคิดว่า เหมือนกับตัวเองเมื่อสมัยที่เข้าทำงานใหม่ ๆ เลย พูดง่าย ๆ ก็คือ คนก็มักเลือกคนที่เหมือนตัวเอง เพราะบ่งชี้ถึงความสำเร็จของตัวเอง เป็นกลไกทางจิตวิทยาน่ะครับ แต่แหม ! คนไม่ใช่พระเครื่องนะครับ จะเหมือนกันจากการตัดสินในเวลาสัมภาษณ์เพียง 1 ชั่วโมง (บวกลบนิดหน่อย) สิ่งที่ท่านจะต้องเลือกคนเข้าร่วมงานให้ได้ แท้จริงนั้นก็คือ คนที่เก่งกว่า ในแง่ประสบการณ์และทักษะการทำงานที่ปรากฏออกมาจากการทดสอบ และการสัมภาษณ์ ไม่ใช่คนที่ “ดูดีกว่า” เว้นแต่ท่านจะสัมภาษณ์และคัดเลือกไปเป็นดาราหรือตัวประกอบ (555)
อย่างไรก็ตาม องค์กรในปัจจุบัน ล้วนต้องการคนทำงานจากพื้นฐานที่มาที่หลากหลาย (diversed workforce) เพื่อผสมผสานกันสร้างพลังการทำงาน และคุณค่าองค์กรที่พึงประสงค์  หากท่านมองช่วงวัยของคนทำงาน (Generation) ในปัจจุบัน ก็จะพบว่าเราจำแนกคนวัยทำงานออกไป 3 กลุ่มคือ Baby Boomer, Gen-X และ Gen-Y เป็นเรื่องปกติที่พบเจอในองค์กร  โดยนัยนี้ องค์กรใดที่ “ซ้ายก็ระเบียบ ขวาก็หลักเกณฑ์” และ “บนก็เจ้านาย ล่างก็ลูกน้อง”  มองหาทีมไม่เจอ  ก็พอจะอนุมานได้ไม่ยากว่าภาพลักษณ์และชีวิตความเป็นอยู่ของคนในองค์กรนั้นเป็นอย่างไร  หรือจะแข่งขันได้ในโลกธุรกิจที่ผันผวนได้หรือเปล่า ? เป็นต้น  นอกจากนี้ ความหลากหลายของคนทำงานก็ยังจะช่วยตอบสนองการให้บริการกับผู้บริโภคที่มีคุณลักษณะแตกต่างหลากหลายด้วยเช่นกัน   
6.  ละเลยประเมินความต่างของผู้สมัครงาน
ปัญหาเรื่องหนึ่งที่ HR มักละเลยคือ ลืมประเมินความแตกต่างในคุณสมบัติของผู้สมัครงานแต่ละคน เพื่อดูว่าผู้สมัครงานที่ผ่านการประเมิน สัมภาษณ์และเข้าสู่รอบคัดเลือกรายใดเหนือกว่ารายอื่น หลายองค์กรใช้วิธีการทำเอกสารเปรียบเทียบที่เรียกว่า “wish list” โดยพิจารณากันทั้งในด้านคุณภาพของประสบการณ์ และการผ่านงาน ทักษะ ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ ความถนัดและความสนใจในการทำงาน ผมแนะนำให้ท่านกำหนดสิ่งที่เรียกว่า ปัจจัยหลัก (critical factor) สำหรับใช้ตัดสินความเหมาะสมของผู้สมัครงานสัก 3-4 รายการเพื่อเป็นเกณฑ์หลักสำหรับคัดเลือกผู้สมัครงานที่ผ่านเข้ารอบแล้ว ซึ่งก็จะช่วยได้มากครับ  
7.    มีตัวเลือกผู้สมัครงานที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นน้อยเกินไป
ต่อจากบทความเรื่อง “ทิป 10 อย่างของการจ้างพนักงานให้ได้ผลเป็นเยี่ยม”  ซึ่งผมเสนอไว้ว่า เพื่อให้การสรรหาและคัดเลือกคนเข้าทำงานสำเร็จผลดี HR ควรมีศูนย์รวมของผู้สมัครงานที่เป็นตัวเลือกหรือเรียกกันอย่างง่ายว่า “candidate pool” ที่เหมาะสม  หากผู้สมัครงานที่เป็นตัวเลือกน้อยเกินไป อาจเกิดปัญหาการตัดสินใจแบบ “ด่วนได้”  เลือกคนที่ยังไม่ใช่อย่างที่อยากได้ เพียงเพราะโดนต้นสังกัดกดดันให้ต้องเร่งรับคนเข้าทำงาน ผมจึงเสนอให้ HR เปิดรับสมัครงานในตำแหน่งที่ดูแล้วว่ามีอัตราการรับเข้าและลาออกสูงอยู่เป็นระยะ ๆ  ตรวจสอบประวัติการทำงานเบื้องต้น ทดสอบ และสัมภาษณ์เข้าไว้ใน “candidate pool” เผื่อไว้เลือกมาสัมภาษณ์เพิ่มเติมเวลาที่ต้องการคนเร่งด่วน เพราะบางครั้ง การเปิดรับสมัครงานอย่างเร่งด่วน เนื่องจากคนเก่าลาออกกะทันหัน ก็สุ่มเสี่ยงที่ HR และต้นสังกัดจะต้องรีบรับคนกระทั่งละเลย “ตัวเลือกอื่นที่อาจจะได้ดีกว่า หากรอเวลาสักนิด”
ผมเชื่อในใจว่า หากองค์กรระมัดระวังทำงานสรรหาและว่าจ้างอย่างรอบคอบ ปลดล๊อคข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ อันส่งผลเป็นความเสี่ยงต่อองค์กรที่อาจเกิดขึ้นเช่นที่ผมว่าไปนี้แล้ว  งานสรรหาและว่าจ้างก็น่าจะตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือช่วยให้องค์กรได้คนทำงานที่สามารถสร้างคุณค่าจากงานให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง ซึ่งนั่นหมายถึงผลประโยชน์ที่จะตกแก่องค์กรของท่านทั้งหลายเองครับ    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น