วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อีกข้อคิดหนึ่ง…เมื่อถึงคราวต้องปลดพนักงาน


หลายคราวหลายครั้ง  องค์การต่าง ๆ จะได้หยิบยกเอาเรื่องการลดจำนวนพนักงานขึ้นมาพูดกัน เมื่อสถานการณ์ภายนอกที่ส่งผลกระทบมายังรายได้ที่แทบจะไม่พียงพอต่อค่าใช้จ่ายขององค์การ และเมื่อองค์การต่างก็ได้พยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายสารพัด  ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าทำงานล่วงเวลาของพนักงาน และอื่น ๆ จิปาถะแล้วก็คงยังไม่พอ คราวนี้ก็จะมาถึงสิ่งที่สร้างความทุกข์ใจให้กับ HR เราไม่น้อยล่ะครับ   

ผมอยากจะบอกเพื่อร่วมโลกมนุษย์ทำงานที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายงาน HR ว่า ไม่ว่า HR ที่ไหนล่ะครับ โดยเฉพาะในบริบทบ้านเมืองของเรา  ไม่อยากจะทำเรื่องพวกนี้หรอก ทำนองว่าบาปบุญมันมี หากสามารถประวิงเวลาออกไปได้อีกนานเท่าใดก็อยากจะทำกันทั้งนั้น แม้เจ้าของกิจการจะเร่งรัดสักเพียงใด  ทำไมหรือครับ ผมคิดว่า HR ก็เขาใจว่าลูกเมียพี่น้อง พนักงานจะเป็นอย่างไร นั่นเอง  

แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะพยายามทำความเข้าใจ HR บ้าง เวลามีเรื่องอะไรระแคะระคายเรื่องการลดพนักงานก็เหมาเข่งด่า HR ร่ำไป  ไม่แฟร์นะครับ  

ทางที่แฟร์คือ การให้ข้อเสนอแนะความเห็นและมีส่วนร่วมของท่านว่าเราจะช่วยกันประคับประคององค์การ ที่เป็นบ้านที่สองของเราอย่างไร  ตั้งท่าว่ากันมันไม่เกิดประโยชน์อย่างไรหรอก  

ผมคิดว่าท่านผู้อ่านคงได้ยินประสบการณ์ของหลายองค์การที่รวมตัวกันประกาศกับผู้บริหารว่า จะลด OT ของตัวเองลง คือ ช่วยทำงานเหมือนกันแต่ไม่ขอรับค่าจ้างในระหว่างนี้  ก็มีมาก พนักงานทั้งหลายอาจจะต้องลองถามใจตัวเองว่าความเสียสละแบบนี้ เราให้กับองค์การได้หรือเปล่า  

ทางหนึ่งของการประหยัดค่าใช้จ่ายที่หลายองค์การนิยมทำคืองดการแจกโบนัสและปรับสวัสดิการที่มากจนเกินไปให้กับพนักงาน โดยเฉพาะผู้บริหารลง  ท่านได้ทำกันหรือยัง ก่อนที่จะปลดพนักงาน  

พอได้ยินข่าว บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งจมไม่ลงกับสถานการณ์วิกฤต  แม้จะต้องล้มละลาย ผู้บริหารก็ยังแจกโบนัสกันโครมครามประหนึ่งทิ้งทวน ไปประชุมต่างสาขาที นั่งเครื่องบินส่วนตัว  สุดท้ายต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล กู้เงินมาเสริมสภาพคล่องภายในองค์กร พร้อมกับประกาศล้มละลายเพื่อเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ แต่ก่อนหน้านั้น ผู้บริหารรวยอู้ฟู่แล้ว แถมยังได้บริหารงานต่อ  แบบนี้ ฟังแล้วน่าอนาถใจ...!!!   

ข้อเสนอของผมอย่างหนึ่งที่องค์การใหญ่ ๆ สามารถทำได้คือ การลดงานจ้างบริษัท outsource  แล้วหันมาใช้อัตรากำลังที่มีอยู่ทำเอง  ผมเชื่อว่า หากสร้างสมดุลของปริมาณงาน โดยไม่หวงอำนาจการบริหารหรือไม่กลัวว่าอาณาจักรของตัวเองจะเล็กลง  ค่าธรรมเนียมการจ้าง outsource ที่ตกแล้วมากกว่า 20% ต่อหัว รวม  ๆ กันแล้วก็มากโขพอที่จะจ้างงานพนักงานของเราเองหลายคนต่อไปได้  

เช่นกัน บางที อาจจะต้องมาพิจารณาลดค่าใช้จ่ายโดยตกลงว่าจ้างพนักงานชั่วคราวมาใช้แทนตำแหน่งงานที่เคยทำงานประจำ  หลายองค์การ พนักงานจำนวนหนึ่งจะลาออกไปเพื่อไปหาที่ดีใหม่ว่างั้นเถอะ  ซึ่งทำให้อัตราตำแหน่งงานตรงนั้นว่าง  แทนที่เราจะหามาเติมเพราะขาดอัตรากำลังคนทำงานไม่ได้  ลองใช้วิธีการจ้างพนักงานแบบ Contemporary Period สิครับ  ฟังดูอาจจะขัดกฎหมายแรงงานบ้าง แต่หากไม่ถึงกับเกิดข้อพิพาทเป็นความกัน  ผมว่าต่างฝ่ายต่างคงเข้าใจและเกื้อกูลกัน  เพราะเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจขององค์การดีขึ้น  องค์การก็คงไม่รับใครนอกจากพนักงานชั่วคราวที่พิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้ว   

ในสถานการณ์แบบนี้  การวางโครงสร้างและบริหารอัตรากำลังก็เลยกลายเป็นเรื่องสำคัญ ที่จำเป็นจะต้องคิดกันนอกกรอบบ้าง  จะเดินตามแนวปฏิบัติดั้งเดิมกันคงไม่ไหวที่จะตามทันการเปลี่ยนแปลงครับ  

แต่หากทั้งหลายทั้งปวงที่ HR พยายามทำแล้ว ยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น  จำเป็นต้องใช้วิธีปลดพนักงานจริงจริงล่ะก็   ผมขอเสนอให้องค์การจัดการเรื่องการคัดเลือกและแบ่งกลุ่มพนักงานเสียให้เสร็จสิ้น และเมื่อต้องตัดใจแบบนั้น ก็ขอให้เลือกกลุ่มที่ under-perform ตามเกณฑ์ที่เป็นกลาง โปร่งใส สะท้อนพฤติกรรมและผลการทำงานจริงจริง  พร้อมกับการชี้แจงถึงเหตุผลและหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพนักงานที่จะถูกปลดให้ชัดเจน ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะนอกจากเราจะต้องสร้างความเข้าใจให้กับคนที่ต้องจากไป เพื่อลดปัญหาในเชิงข้อกฎหมายที่อาจมีแล้ว เรายังต้องการอีกเรื่องหนึ่งคือขวัญกำลังใจของคนที่อยู่ทำงานต่อไปกับองค์การ  ซึ่งโดยมากนั้น คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่ meet standard หรือ exceed standard และองค์การต้องการเขา

คราวนี้ หากจำเป็นต้องปลดพนักงานซะแล้ว นอกจากค่าชดเชยตามกฎหมายที่องค์การจะต้องจ่ายแล้ว สิ่งที่องค์กรสามารถช่วยเหลือได้เพิ่มเติม คงจะต้องทำในเรื่องของการออกหนังสือรับรองการทำงานให้กับพนักงาน  (ซึ่งกฎหมายกฎบังคับอีกนั่นแหละ) แต่อย่าไปรับรองว่าบริษัทได้ปรับลดพนักงานรายนี้ออกจริงล่ะครับ   การทำแบบนี้ ไม่ได้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายอะไรมากมายไปกว่ากระดาษและหมึกพิมพ์ แต่มันช่วยเยียวยาความรู้สึกของพนักงานได้ไม่น้อยทีเดียวครับ  

หลายองค์การ นอกจากจะจ่ายเงินชดเชยแบบที่ต้องกัดฟันจ่ายแล้ว  ยังใจดีช่วยหางานใหม่ให้กับพนักงานด้วย  ดังตัวอย่างของนกแอร์ที่ประสานงานกับพันธมิตรต่าง ๆ ว่ามีที่ไหนบ้างที่ต้องการรับพนักงานเพิ่ม แล้วสนับสนุนให้พนักงานของตนเองได้เข้าไปทำงาน  บางองค์การที่ฝึกอาชีพให้กับพนักงานเพื่อไปขายน้ำเต้าหู้  ขายก๋วยเตี๋ยว  สนับสนุนเงินทุนให้ยืมนั้นก็มีไม่น้อยเช่นกัน  องค์การเหล่านี้ สมควรที่จะได้รับการสรรเสริญและเชื่อว่า หากลูกค้าได้ทราบล่ะก็  ความซาบซึ้งกับองค์การก็จะเกิด  อยากจะช่วยเหลือซื้อสินค้าหรือบริการขององค์การ ยิ่งคนไทยชี้สงสารแล้ว คุณคิดว่า เรื่องนี้จะไม่มีผลต่อองค์การของคุณหากคิดจะทำดีแบบนี้จริงหรือ ???  

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงข้อเสนอแบบข้อคิดที่ผมในฐานะพนักงานคนหนึ่งขององค์การจะคิดได้ภายใต้หมวกของ HR ทั้งหลายทั้งปวงเพื่อบอกทั้งสองฝ่ายคือนายจ้างและลูกจ้างให้คิดในบางเรื่องแบบ win-win มากกว่าที่จะคัดง้างสร้างปัญหากัน จนสุดท้ายคนที่เสียหายมากที่สุดไม่ใช่ใคร แต่เป็นองค์การของเรานี่เอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น