ในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
และกระหน่ำซ้ำเติมด้วยการประท้วงที่ขยายขอบเขตและความตึงเตรียดมากขึ้นของกลุ่มคนเสื้อแดง
หลังจากกลุ่มคนเสื้อเหลืองยุติไปไม่นาน
องค์การและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่กำลังจะเดินทางลู่เข้าทาง กลับต้องถอยหลังเข้าไป
ผมเองจะทำงานในแวดวงรัฐศาสตร์และการบริหารงานภาครัฐมาสักระยะหนึ่งไม่นานนัก
แต่เมื่อมาทำงานในภาคเอกชนเช่นปัจจุบัน ผมยังรู้สึกว่า
มีความสุขและพึงพอใจในการทำงานมากกว่า
ระบบงานยืดหยุ่นกว่าระบบราชการมากมายนัก ไม่ว่าในภาวการณ์เช่นใด ผมกำลังคิดว่า เวลาใด (ชาติภพไหน)
ที่แม้แต่หน่วยงานภาครัฐจะตามติดภาคเอกชน
เพราะไม่ว่าหน่วยงานภาครัฐจะสรรหาหรืออกกฎหมายเพื่อสร้างระบบบริหารจัดการที่ดีเพียงใด
แต่ทรัพยากรบุคคลที่เป็นส่วนสำคัญและสำคัญในลำดับมากที่สุดขององค์การยังขาดศักยภาพแล้ว
ระบบบริหารจัดการที่ว่าดีนั้นก็ไปไม่รอดเช่นกันครับ
ในแต่ละวันหนึ่ง
ๆ เราจึงเห็นกิจกรรมของพนักงานภาครัฐจำนวนไม่น้อย
ทำเรื่องที่ไม่ได้สร้างประโยชน์โภชน์ผลให้กับสังคมเลย
เช่นการวิ่งธงให้คนสามัคคีกัน ใช้เงินมหาศาล แต่ไปโกงเงินค่านมให้เด็ก นี่หล่ะครับ
สังคมของการบริหารหน่วยงานภาครัฐจำนวนหนึ่งที่ผมพบมาเป็นประสบการณ์
การจะหน่วยงานภาครัฐจะมาเรียกร้องแต่ให้ภาคเอกชนเค้าต้องประหยัด
รัดเข็มขัด นั้น เชื่อได้เลยว่าเค้าทำอยู่แล้วครับ เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้
เพราะพนักงานอีกจำนวนมหาศาลที่ต้องอยู่รอดไปกับองค์การ
แต่หน่วยงานภาครัฐเอกสิครับ คิดมีมาตรการประหยัดอะไรหรือเปล่า
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นบางแห่ง ตั้งอยู่ในป่าในเขา
เก็บรายได้ที่เป็นภาษีค่าธรรมเนียมจากประชาชนทั้งปีได้ไม่กี่บาท แต่สร้างอาคารสำนักงานซะใหญ่โต ใช้เงินไม่น่าจะน้อยกว่า
10 ล้านบาท เพราะอะไรหรือ ???
ต้องขออภัยครับ
เป็นว่าบ่นให้ฟังเล็กน้อย เพราะต้องรับมือกับอะไรหลายเรื่อง
และคิดต่อว่าในภาวะที่ต้องรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้
หน่วยงานภาครัฐที่บริโภคภาษีประชาชนอย่างเรา ช่วยทำอะไรบ้าง
ตัวผมเอง
แม้เป็นเพียงฝุ่นละออกเล็ก ๆ ในระบบเศรษฐกิจ
เขียนบทความเล็ก ๆ ลงในเวบในฐานะสมาชิกส่วนหนึ่งในการสร้างสังคมของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ก็ยังภูมิใจมากกว่าคณาจารย์ของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง
ที่ดีแต่นั่งสอนเอาค่าสอน
แต่ไม่เคยบอกอะไรดีดีให้กับสังคมบ้างเลย
เป็นต้นครับ....
กลับมาคุยกันต่อเรื่องที่เกริ่นไว้ครับ
คือ 4 มาตรการที่หน่วยงานต้องทำเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความอยู่รอดให้กับองค์การ
มาดูกันครับ
มาตรการแรก
มาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย
ในโลกของธุรกิจสมัยนี้ เค้าใช้ซอฟท์แวร์เพื่อให้ช่วยในการบริหารกันแพร่หลาย
ในขณะที่การบริหารอัตรากำลังคนก็ไม่เน้นการจ้างคนอย่างไม่พินิจพิเคราะห์ องค์การชั้นนำและชั้นไม่นำจำนวนไม่น้อย
เลือกที่จะจ้างพนักงานประจำไว้เฉพาะกลุ่มพนักงานที่อยู่ใน Core Business ที่เป็นกลุ่ม
Support Business ก็ใช้วิธีการจ้างพนักงาน Outsource ซึ่งก็ช่วยองค์การประหยัดค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนการจ้างงาน
และการพัฒนาบุคลากรในระยะปานกลางและระยะยาวได้มหาศาล
และสามารถทุ่มเททรัพยากรได้เต็มที่กับการพัฒนาบุคลากรที่อยู่ใน Core
Business ขององค์การ
ในส่วนของการบริหารภายใน ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องลดลำดับต้น ๆ
นั้นได้แก่ การลดค่าลวงเวลาในการทำงานลง ลดอัตราการร้องทุกข์ของพนักงาน ลดความขัดแย้งระหว่างหน่วยงาน
เพื่อให้ประสานการทำงานได้ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รวมทั้งการลดภาระของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องมาจ้ำจี้จ้ำไชการทำงานกันลง เมื่อได้แบบนี้
เราก็ไม่ต้องมาลดค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานลง
ผมคิดว่า ผู้บริหาร HR ที่สายตาสั้นเท่านั้น ที่สนใจแต่จะตัดลดค่าใช้จ่ายด้านการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากร
โดยที่ไม่ได้มีแนวทางการฝึกอบรมอื่นใดมาสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทดแทน
มาตรการที่สอง
มาตรการเพิ่มรายได้ วิธีการหลัก ๆ
ก็คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่เข้าสู่ตลาด
รวมทั้งที่สำคัญคือการสร้างหรือกระตุ้นความต้องการบริโภคของประชาชน ควบคู่ไปกับการที่ผู้บริหารงานชายลดภาระงานในสำนักงาน
และใช้เวลาให้มากที่สุดกับลูกค้า และการเพิ่มทักษะในการขายให้กับพนักงาน เช่นทักษะในการให้บริการลูกค้า ซึ่งธรรมดาก็ต้องอาศัยการฝึกอบรมล่ะครับ รวมทั้งการ support ลูกค้าขององค์การที่เป็น dealer
เพื่อให้ขายสินค้าได้มากขึ้น
ก็จะกลับมาซื้อของจากเราเพิ่มขึ้นเป็นต้น
มาตรการที่สาม
สร้างความพึงพอใจในการทำงานให้กับพนักงานและลูกค้า
โดยการปรับปรุงกระบวนการหรือขั้นตอนการทำงานที่จะต้องให้บริการลูกค้าของกลุ่มงานที่ต้องสัมผัสใกล้ชิด ผู้รู้หลายท่านแนะนำว่า
มีการพัฒนางานด้วยการจับเวลารับสายและตอบปัญหาลูกค้าของพนักงาน Customer Service Representative
(CSR) กันเลย ด้วยการดูระยะเวลาในการตอบ (response time) ระยะเวลาในการให้บริการลูกค้าที่สั้นที่สุด (service call) เป็นต้น
ในส่วนของการเพิ่มความพึงพอใจในการทำงานให้กับพนักงานนั้น สามารถทำได้อย่างหลากหลาย
ผมคงไม่ขอกล่าวในรายละเอียด แต่ขอเสนอหลักการสำหรับ HR ด้านการฝึกอบรม
(เป็นต้น) ไว้ว่า ควรจะหาเครื่องมือ
โปรแกรมหรืออะไรใหม่ ๆ มาใช้เพื่อประกอบการฝึกอบรมพัฒนาพนักงานเช่น ใช้ e-Training
ที่สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ แนะนำให้ใช้
และมีการฝึกอบรมให้กับองค์การภายนอก
จะดีกว่าครับ
และใช้เวลาส่วนที่เหลือ ไปสร้างสรรค์โครงการหรือกิจกรรมใหม่ ๆ
เพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการ หรือการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า หรือเอาเวลานั้นไปใช้คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อจะ support
ฝ่ายขายกำหนดกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างเพื่อดึงดูดใจลูกค้าได้มากขึ้น
จะดีกว่าครับ
มาตรการที่สี่ มาตรการเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมงาน
รวมทั้งการตอบสนองต่อความต้องการเขิง
มาตรการในกลุ่มนี้ เป็นมาตรการในเชิงการป้องกันความเสี่ยง (risk avoiding) ที่อาจจะเกิดกับธุรกิจ ด้วยการจัดให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้
เป็นกลุ่มงานที่คล่องตัว มีขนาดประมาณคณะทำงาน 3-5-7 คน ทำหน้าที่ในเรื่องการบริหารความเสี่ยงขององค์การเป็นงานหลัก
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะต้องสร้างแผนฉุกเฉินเพื่อรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ในแง่ของการปฏิบัติการทางธุรกิจ หรือเรียกรวม ๆ
ว่า “Risk Management Plan” เช่น แผนงานลดผลกระทบจากการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดง นอกจากนี้
ก็ยังควรที่จะต้องมีการวางแผนกำลังคนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจด้วย
เป็นต้น
คงจะพอได้แนวคิดเพิ่มเติมสักนิดใช่มั๊ยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น