วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เทคนิคการนำเสนอปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ในชีวิตการทำงานของคนทำงานอย่างท่านและอย่างผม คงมีบ่อยครั้งที่เรามองเห็นปัญหาหลายอย่างในการทำงาน ทั้งปัญหาในเรื่องกระบวนการ ปัญหาคนทำงานที่ไม่ค่อยประสานสัมพันธ์กันมากนัก ทำนองประสานงานกันทีไร ใจหายแว๊บให้ได้เห็นทุกที เพราะมีแต่ทะเลาะ หรือเอาชนะคะคานกันแบบไม่คิดถึงผลประโยชน์ขององค์กรในภาพรวม  และบ่อยครั้งเช่นกันที่คนรู้ปัญหาแล้วเหยียบไว้ เพราะเชื่อในคติไทยโบราณที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”  อยู่เฉย ๆ ใน comfort zone ของเรา ไม่ต้องไปสร้างปัญหากระทบกระทั่งกับใครดีกว่าเป็นไหน ๆ

ผมไม่อยากพูดถึงว่า หากเราเก็บปัญหาทุกอย่าง หรือปัญหาที่สำคัญต่อการให้บริการลูกค้า ไว้ใต้พรม คุยกันแต่เรื่องที่ไม่ใช่ปัญหา เพราะมันรื่นหู ไม่ต้องการสร้างแรงกระทบกับใครแล้ว องค์กรจะเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลัง  วิญญูชนที่มี common sense ที่เหมาะสม ย่อมพอที่จะพินิจพิเคราะห์ได้ในระดับหนึ่ง  แต่ผมจะขอนำเสนอ tip บางอย่างจากประสบการณ์การทำงานของผม ที่ใช้จัดการเวลาเกิดปัญหาหรือข้อขัดแย้งหน่วยงาน หรือระหว่างผู้บังคับบัญชาฝ่ายงานด้วยกัน  ซึ่งก็มีบ้างเป็นเรื่องปรกติในวิถีชีวิตการทำงานในองค์กร 

ตัวอย่างง่าย ๆ ของงาน HR ที่พบเจอได้บ่อยคือ บริษัทฯ จำนวนมาก ปัจจุบันประสบปัญหาการหาแรงงานระดับกึ่งทักษะโดยเฉพาะช่าง วุฒิ ปวช. ปวส. เพื่อทำงานได้ยาก “พอกับงมเข็มที่ตกลงไปใต้ถุนบ้าน           มืด ๆ ”  ในขณะที่หน่วยงานที่ต้องการใช้กำลังคนบอกอย่างแข็งขันว่า “ยังงัยก็ต้องหาให้ได้ ไม่สนใจว่า HR จะจัดการอย่างไร เพราะมันหน้าที่คุณ (HR) ”  แบบนี้ HR ในฐานะสรรหาตัวพ่อ ก็คงต้องเปิดตำราสารพัด เพื่อรับมือกับปัญหาให้ได้ แต่แม้จะขุดค้นหาสารพัดวิธีการที่หลากหลาย  หากแต่ budget การจ้างไม่เอื้ออำนวย หรือติดระเบียบกติกาตามข้อกำหนดอีกมากมาย จะว่าจ้างให้แข่งขันกับตลาดให้ได้เร็ว ให้ได้คุณภาพที่ต้องการ  ก็ยังเป็นปัญหาหนักอกอยู่ดี  และเรื่องนี้ หน่วยงานที่ใช้กำลังคนก็ไม่สนใจด้วย

และสมมติว่าในเบื้องลึกนั้น  HR ก็ทราบว่า ปัญหาด้านหนึ่งที่ทำให้ต้องหาคนเข้าทำงานบ่อย ๆ ของหน่วยงานคือ “พนักงานรับอารมณ์หัวหน้างานไม่ไหว แกเป็นแบบเส้นกราฟวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ คือ ขึ้น ๆ ลง ๆ  ใครไม่เข้าใจ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ง้อคน  มีหรือจะอยู่”  ก็เป็นประเด็นแล้วครับ    

พอต่างคนต่างมุ่งมองปัญหาว่าเกิดจากอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นเรื่องที่คุยกันเมื่อใดก็ยากจนจบ  

สิ่งที่ผมสนใจจากกรณีตัวอย่างที่ผมยกขึ้นมาคือ HR จะมีวิธีการนำเสนอปัญหาอย่างไรที่สร้างสรรค์ และให้หน่วยงานที่ต้องการใช้อัตรากำลังคน เข้ามาช่วยกันจัดการกับปัญหาที่มีด้วยดี ไม่เอาแต่โทษกันไปโทษกันมา...

ท้าทายนะครับ......

โปรดทำความเข้าใจก่อนว่า การปล่อยให้เรื่องค่อย ๆ เงียบไป ทำนองกรรมเวรมีจริง คงใช้ไม่ได้กับสถานการณ์แบบนี้  รังแต่จะเป็นความเสี่ยงให้เกิดปัญหา เพราะนั่นหมายถึง  องค์กรจะไม่รู้เลยว่าปัญหาที่เกิดคืออะไร  บางทีหากรู้เมื่อสถานการณ์บานปลายยิ่งแก้ไขยากกันใหญ่  วิธีการรับมือที่อยากนำเสนอ จะอยู่บนพื้นฐานของการทำให้ปัญหาเป็นเรื่องที่จับต้องได้ไม่ยากเย็นนัก (touchy topics) สามารถสร้างผลลัพธ์ตอบโจทย์ได้ตามที่คาดหวังตามสมควร

ฟังแนวคิดก็เหมือนง่าย ๆ ใครก็คิดได้นะเธอ....แต่ลองอ่านดูครับ อาจจะโดนไม่มากก็น้อย  และเช่นที่ผมว่าไปหลายครั้งเวลาเขียนบทความ ไม่ต้องเชื่อผมนำครับ แต่ขอให้ลองเอาไปทำ ได้ผลไม่ได้ผลอย่างไร บอกเล่ากันกลับมา สังคมแวดงวง HR ของเราจะก้าวไปไว้เยอะเลย

1. ทำการบ้านมาอย่างดี –  เมื่อต้องมาคุยกับในเรื่องปัญหาที่คนทั่วไปไม่อยากคุย เพราะเครียด หนักอกหนักใจ หรืออะไรก็ตามแต่ คุณต้องเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วน ตรงประเด็น โดยต้องมั่นใจให้ได้ว่า มุมมองที่คุณมีต่อเรื่องนั้น สมเหตุสมผลแล้ว และได้แชร์กันในทีมงานของคุณแล้วเห็นพ้องต้องกัน ขอให้เตือนตนเองเสมอครับว่า หากข้อมูลที่คุณนำเสนอผิด อาจจะพลาดตั้งแต่ต้นและไม่มีใครอยากฟังต่อ  รอบคอบสักนิดนึงก่อนที่จะเอ่ยถึงปัญหาใด เพราะในปัญหาย่อมมีทั้งคนที่ได้และเสียประโยชน์ ซึ่งหากมุมมองของคุณไม่ชัดเจนรอบคอบ หรือไม่ถูกต้องแล้ว เดี๋ยวเจ็บ จะหาว่าไม่เตือนนะพี่น้อง

2. หาแนวร่วม  พี่น้องจงฟังทางนี้ !!!  โปรดคิดสักนิดว่า การพูดถึงปัญหาที่เป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองเพียงลำพัง หรือเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขเพื่อไม่ให้กระทบกับกลุ่ม หรือการเอ่ยอ้างถึงปัญหาในฐานะตัวแทนของผู้อื่นนั้น ดูดีกว่าการกล่าวถึงปัญหาของตัวเอง (self-centered) เป็นไหน ๆ  เพราะคนจะไม่คิดว่าคุณมีส่วนได้เสียโดยตรงกับประเด็นปัญหานั้น ทั้งที่จริงแล้ว คุณอาจจะกระทบแบบจัง ๆ เลยก็ได้

3. คิดถึงสไตล์การสื่อสารของแต่ละคน  ข้อนี้เตือนให้คุณต้องระวังว่า ผู้ที่เข้ามาหารือหรือร่วมแก้ไขปัญหากับคุณนั้น เค้าจะรับฟังปัญหาของคุณได้ในวิธีการใดที่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด  คงจะอาศัยการพูดแต่เรื่องหนัก ๆ อัดกันจัง ๆ แล้วคิดว่าแต่ละคนจะไปหาวิธีการแก้ไขปัญหาเอาเองได้ทุกราย  บางคนอาจจะต้องขอร้อง ถ่อมตัวแล้วพี่จะจัดให้ได้สารพัด  บางคนชอบที่จะเตือนให้ทราบล่วงหน้าก่อนที่จะไปพูดปัญหาในที่ประชุมเลย เพราะมันเหมือนกันตบหน้า ไม่ให้โอกาสได้แก้ตัว ผมว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างมากกับสไตล์การสื่อสารของแต่ละคน  หากคุณต้องการประสิทธิภาพของการทำงานและสื่อสาร คุณต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างหลากหลายไม่ได้  คำแนะนำง่าย ๆ ของผมก็คือ บางคนไม่ชอบอ่าน (มีเยอะเลยครับ) ก็ควรหาโอกาสไปคุยให้ฟังคร่าว ๆ พอเป็นกระษัย  บางคนเน้นพิธีการ ต้องเตรียมเอกสารหรือส่งข้อมูลทางอีเมล์ที่เพียงพอให้ได้ทราบก่อน ไม่งั้นมีประเด็น คุณเองก็น่าจะเคยเจอใช่มั๊ยครับ  

4. มาพร้อมกับ solutions แก้ปัญหา -  อย่าเล่าแต่ปัญหา แต่จงบอกวิธีแก้ไขในหลายทางเลือกที่เป็นไปได้มาด้วย หรือแนวทางที่จะปรับปรุงงานให้ดีขึ้น  แม้ว่าปัญหาบางอย่างคุณนำเสนอนั้น เพราะไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว  จึงต้องมาอาศัยการหารือกันเพื่อให้ร่วมด้วยช่วยแก้ แต่หากไม่มีการบ้านมาบ้างเลย มันเหมือนกับบอกคนอื่นว่าคุณไม่พร้อมยังงัยไม่รู้ แล้วจะให้คนอื่นรู้ปัญหาได้ดีกว่าเราหรือ เค้าจะถามกลับตกม้าตายได้นะครับ  

5. ปิดการสนทนา  -  ผู้สันทัดกรณีบอกเอาไว้ว่า การปิดสนทนานั้น ตีความให้เข้าใจอย่างง่ายก็คือ หากเวลาที่จะตัดสินใจหรือสร้างข้อสรุปให้ได้ ซึ่งผมก็เห็นไม่ต่างกันเท่าใด ขอเพิ่มเติมว่า เพราะด้วยเวลาที่มีจำกัด  การปิดสนทนานั้น ควรทำให้ตัวเองไม่อยู่ในจุดที่จะต้องโดนซักโดนถามอีกต่อไป พูดง่าย ๆ ก็คือ เล่าปัญหาและนำเสนอแนวคิดแก้ไขมาจนเกิดข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันแล้ว  หรือเรียกว่า “ไม่ไหล” อีกต่อไป  ไม่เช่นนั้น คงจะยาวแน่เลยครับ

สุดท้าย  ผมอยากจะย้ำแบบคิดเอาง่าย ๆ เองว่า ไม่มีใครอยากป่าวประกาศปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในการทำงานของตัวเองออกมาหรอก !  เพราะบางทีมันอาจสะท้อนให้คนอื่นเห็นว่า คนที่พูดการขาดประสิทธิภาพในการทำงาน แทนที่จะมองในเชิงเห็นอกเห็นใจก็ได้  หลายคนจึง “เงียบมันเสียเลย” หรือ “ลาออกไปง่ายกว่าเยอะ”  ทิ้งให้คนใหม่มารับช่วงปัญหาต่อไปดีกว่า  แต่ในมุมขององค์กร ก็ไม่อาจรับความเสี่ยงจากการปล่อยให้ปัญหาดำเนินไปโดยไม่มีการจัดการแก้ไขได้  การที่จะดีลกับปัญหาในแนวที่ผมเสนอไปนั้น ว่าไปแล้วก็ต้องอาศัยการคิดและความกล้ากว่าปกติในระดับหนึ่งเลยล่ะครับ  แถมยังต้อกล้าคิดให้ต่าง นำเสนอแนวคิด วิธีการที่รับกันได้ และเป็นระบบ  แต่เชื่อเถอะครับว่า ผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความกล้าหาญที่จะนำเสนอและรับมือกับปัญหาในการทำงานอย่างสร้างสรรค์เช่นนี้เท่านั้น ที่ควรคู่กับการนำองค์กรให้เดินต่อไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น