วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การสร้างความไว้วางใจ (Trust Building)

ผลงานของหน่วยงานจะออกมาตามเป้าหมายหรือไม่นั้น  ว่ากันไปแล้วก็มักจะแต่เกิดจากแรงจูงใจของสมาชิกหรือพนักงานแต่ละคน  การทำให้พนักงาน happy และเดินไปสู่ความสำเร็จนั้น ขาดมิได้ที่จะต้องอาศัยการที่สมาชิกต่างคอยกระตุ้นและให้กำลังใจกันและกัน  ผู้รู้ท่านแชร์ไว้ว่า หัวใจสำคัญของการทำงานร่วมกันนั้น แท้จริงไม่ได้ขึ้นกับว่าคนทำงานด้วยกันจะต้องเก่งเพรียบพร้อมเป็นด้านหลัก  หากแต่กลับเป็นการมีข้อผูกมัดร่วมกันทําให้กลายเป็นพลังในการทํางานแบบร่วมมือกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างทํางานใดเพื่อประโยชน์ของตน หาไม่แล้วงานก็ยากจะสำเร็จผล

และการที่จะเกิดภาวะเช่นนั้นได้ก็ต้องอาศัยการมีความไว้วางใจระหว่างกัน (Trust) เป็นพื้นฐาน ที่จริงแล้ว ความไว้วางใจนั้นนับได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความร่วมมือ การมีสัมพันธภาพในการทำงานระหว่างกัน โดยที่ความไว้วางใจนั้นเป็นเสมือนกับสลักหรือหมุดที่คอยยึดส่วนต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ไม่ต่างอะไรกับสัมพันธภาพในการทำงานระหว่างกัน (Work Relationship) ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการมีความไว้วางใจระหว่างกัน (Trust)  ซึ่งซื้อหากันไม่ได้ด้วยเงิน เพราะแม้มีเงินที่จะใช้จ่ายเพื่อซื้อหาแต่หากอีกคนไม่อยากสานเพราะไม่สนใจเงินทอง ความสัมพันธ์ก็เกิดขึ้นไม่ได้อย่างแน่แท้

พอมองว่าที่การทำงานระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หากปราศจากความไว้วางใจระหว่างกัน ลูกน้องไม่ไว้ใจหัวหน้า ส่วนฝั่งหัวหน้าก็หวดระแวงลูกน้องต่างต่างนานา การทำงานแบบมีสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันคงเป็นไปได้ยาก ป่วยการที่จะพูดถึงความสำเร็จเพราะไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว

มองในเชิงวิชาการแล้ว ความไว้วางใจเป็นเรื่องของความเชื่อมั่น ความเชื่อหรือความคาดหวังที่บุคคลหนึ่งมีต่ออีกบุคคลหนึ่ง หรือต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นอย่างที่เขาคาดหวังหรือตามที่เชื่อมั่น  พสุ เดชะรินทร์  ในหนังสือเรื่อง “ผู้นำทะลุคัมภีร์” บอกไว้อย่างน่าสนใจมากว่าความไว้เนื้อเชื่อใจหรือความไว้วางใจ (Trust) นั้นเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อคนอื่นว่าเขาจะปฏิบัติต่อเราด้วยซื่อสัตย์ พึ่งพิงได้ ไม่เอารัดเอาเปรียบเรา

ว่าไปแล้วความไว้วางใจในการทำงานร่วมกันไม่ว่าจะระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกันหรือระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องก็ตาม เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะกับอย่างหลังหากลูกน้องไม่ไว้ใจหัวหน้างาน หรือหัวหน้างานไม่ไว้ใจลูกน้องขึ้นมาก็คงยากที่งานจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่หากเกิดความไว้วางใจระหว่างกันขึ้นแล้ว พนักงานย่อมจะทุ่มเทกับการทำงาน ให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง ความจงรักภักดีก็เกิดขึ้นตามมาด้วย

แต่ในชีวิตการทำงานจริงนั้น เราก็ไม่สู้จะไว้วางใจกันมากนัก ไม่ว่าจะทำงานในกลุ่มหรือในทีมก็ตาม ทั้งที่ทุกคนมักจะรู้ว่าความไว้วางใจนั้นเรื่องใหญ่มาก ๆ กับการทำงานในทีม นั่นคงเพราะแท้จริงเราก็ไม่ได้รู้จักกันอย่างลึกซึ้งมากนัก ก็เลยยากที่จะไว้ใจได้สนิทใจ ยิ่งมีสมาชิกบางคนอวดดี บางคนอวดเก่งเพราะถือว่าตัวเองเหนือใครทั้งปวง ก็ยิ่งทำให้ทีมเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบแกมแข่งขันกันในทีมากขึ้น  หากผนวกเข้ากับพนักงานอีกบางคนที่ไม่อยากจะแชร์ข้อมูลหรือแนวปฏิบัติอะไรกับใครคนอื่น ก็มีแนวโน้มที่คนทำงานจะไม่เชื่อถือไว้วางใจกันมากขึ้น พอเป็นแบบนี้เข้า  ประโยชน์อันใดที่หน่วยงานคาดหมาย ก็ไม่สู้จะมีน้ำหนักเท่ากับประโยชน์ส่วนตัวที่สมาชิกจะได้รับจากการทำงานในทีมนั้น ควมขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายเพราะไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างกัน  แล้วจะคาดหมายให้งานของหน่วยงานหรือที่หัวหน้างานมอบหมายมานั้นเดินหน้าไปด้วยดีได้อย่างไร

ในบทความนี้ขอกล่าวถึงไอเดียการสร้างความไว้วางใจระหว่างหัวหน้างานกับลูกน้องจากข้อแนะนำของพสุ เดชะรินทร์ จากหนังสือที่กล่าวถึงข้างต้น ประกอบกับงานของอภิวุฒิ  พิมลแสงสุริยา  โค้ชผู้บริหารระดับสูง และวิทยากรผู้มีชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง แนะเอาไว้ในหนังสือเรื่อง “Super Boss ต้องอย่างนี้”  ว่าความไว้ใจกันนั้นสร้างขึ้นได้โดยอาศัยปัจจัย 4 อย่างเรียกว่า “4C”  ได้แก่ การมีความน่าเชื่อถือ (Credit) การสื่อสาร (Communication) การเอาใจใส่ดูแลกัน (Care) และการมีความเสมอต้นเสมอปลาย (Consistency)  ซึ่งขอหยิบมาเล่าพร้อมขยายความดังนี้ครับ

Credit  - การมีความน่าเชื่อถือ เป็นการสร้างสิ่งที่ดีดีเพื่อให้คนอื่นยอมรับ โดยปกติแลวการมีเครดิตจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างกันดีขึ้นด้วยการ......
o รักษาคำพูด พูดคำไหนคำนั้น รักษาสัญญาที่ให้ไว้ จึงต้องคิดให้ดีก่อนจะพูดเรื่องอะไร หรือจะรับปากเรื่องใดกับลูกน้อง
o ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จตามกำหนด พร้อมนำส่งงานให้ตรงเวลา
o แสดงให้เห็นถึงการมีสมรรถนะ (Demonstrate Competence) ในการทำงานหนึ่งใดนั้น เพราะเมื่อรับปากอะไรแล้วต้องทำให้ได้ (จึงควรต้องรับปากเพียงเฉพาะในสิ่งที่เราทำได้แน่แท้เท่านั้น)
o เก็บรักษาความลับบางอย่างของลูกน้องที่มาขอคำปรึกษาแนะนำ โดยเฉพาะในบางเรื่องที่เขามาเล่าสู่นั้นอาจจะกระทบต่อตัวเขาเองอย่างมาก และท่านก็ต้องไม่แพร่งพรายออกไปให้บุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นได้รู้  

Communication - การสื่อสาร  ด้วยการเปิดเผยและบอกความจริง (Tell the Truth) ที่ลูกน้องควรได้รู้อย่าครบถ้วนไม่พูดโดยทิ้งเงื่อนงำไว้  เพราะหากภายหลังอีกฝ่ายมารู้เข้าว่าไม่ได้พูดความจริงออกมาคงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู  และสื่อสารพร้อมกับสังเกตสิ่งตอบสนองที่ไม่เป็นคำพูด (Non-Verbal Communication) หรือภาษากาย (Body Language) ที่ลูกน้องแสดงออกมา ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจกันมากขึ้น

Care - การเอาใจใส่ดูแลกัน  ซึ่งโดยปกติก็มักจะดูจากพฤติกรรมการแสดงออกระหว่างกัน ท่านสารถแสดงถึงความเอาใจใส่นี้ด้วยการ......
o แสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกที่ลูกน้องเห็นได้ว่าหัวหน้าเข้าถึงได้ง่าย ไม่เป็นเจ้านายที่อยู่ไกลเกินเขาเอื้อมถึง
o ตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา บนพื้นฐานความยุติธรรม (Be Fair)
o พูดตรงตามความรู้สึกตนเอง (Speak Your Feeling) หรือจริงใจ
o เปิดโอกาสให้มีส่วนร่วม พร้อมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
o ให้ความชื่นชมกับลูกน้องที่ควรได้รับคำชื่นชม ตำหนิกับลูกน้องที่ทำงานผิดพลาดส่งผลเสียหาย หรือกระทำผิดวินัย
o ลดความเสี่ยงที่อีกฝ่ายจะได้รับผลกระทบลงไป

Consistency  - ความเสมอต้นเสมอปลายของการทำเงื่อนไขทั้ง 3C ก่อนหน้าพร้อมกับทำงานอย่างคงเส้นคงวา (Show Consistency) โดยเฉพาะการตัดสินใจที่จะต้องเน้นให้ตอบสนองต่อเป้าหมาย และไม่สร้างภาพลักษณ์อันสวยหรูที่แตกต่างจากเนื้อในตนเอง

อย่างไรก็ตาม ในการสร้างความไว้วางใจระหว่างกันนั้น แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปนักแต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน  หัวหน้างานทั้งหลายต้องตระหนักไว้เสียก่อนว่า ความไว้วางใจนอกจากจะเกิดขึ้นได้ยากแล้ว การธำรงรักษาให้คงอยู่ยาวนานก็ยากไม่ด้อยกว่ากัน  จึงพึงต้องยอมรับเสียก่อนว่าความไว้วางใจกันนั้นต้องใช้เวลาทำให้เกิดขึ้น (Trust take time)  ไม่อาจทำให้เกิดขึ้นในเวลาอันสั้นได้ นอกจากนี้ ยังต้องการความเข้มแข็งอดทนกับการลงมือทำ (Trust has to be tough)  และสุดท้าย ความไว้วางใจต้องมีการปฏิบัติ (Trust must be practiced) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม  

และท้ายสุดที่อยากฝากไว้ก็คือหัวหน้างานทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่าการทำงานด้วยกันนั้น ไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าความสัมพันธ์ที่มุ่งเน้นถึงความไว้วางใจระหว่างสมาชิกในทีมหรือระหว่างลูกน้องของท่านท้งหลาย  และหัวหน้าที่จะแสดงให้เห็นถึงการมีภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเขาสร้างความไว้วางใจกันให้กับเกิดขึ้นให้ได้ในทีมหรือหน่วยงานของท่าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น