สมมติว่ามีพนักงานสองคน
คนแรกมอบหมายงานให้ทำ 3 เรื่อง เสร็จ 2 เรื่องภายในเวลาที่กำหนด
แต่อีกคนหนึ่งมอบหมายงานให้ทำ 3 เรื่องเท่ากัน แต่กลับทำเสร็จเพียง 1 เรื่อง
มองเพียงเท่าข้อมูลที่ให้นี้ ท่านและผมก็ตอบได้ตรงกันว่าสงสัย “คนแรก” จะมีฝีมือดีกว่า
แต่ถ้าสมมติว่าท่านมอบหมายให้คนแรกทำงานเท่าเดิม
และก็ทำงานได้ผลเท่าที่เคยคือ “สองในสาม”
แต่คนที่สองท่านทดลองมอบหมายให้ทำงาน 10 เรื่อง แล้วเขาทำเสร็จ 5
เรื่องภายในเวลาเท่ากับคนแรก ฝึมือคนที่สองกับคนแรกน่าจะสูสีกันเข้าให้แล้ว
ที่น่าสนใจคือ
แม้ผลงานของคนที่สองอาจจะไม่เท่าคนแรก
แต่ความขยันกลับน่าจะมีมากกว่าเพราะภายในเวลาที่เท่ากันกลับสามารถรับงานเพิ่มมากขึ้น
หากเปลี่ยนคนที่เราสมมติเป็นพนักงานขาย
และเปลี่ยนงานที่ผมยกตัวอย่างไปเป็นจำนวนลูกคาที่เข้าพบและนำเสนอขายสินค้า
แน่นอนว่าคนที่สองน่าจะตอบโจทย์สิ่งที่องค์กรต้องการมากกว่าคือ “ความขยัน”
สิ่งที่สำคัญของการทำงานคือการหาโอกาสในการทำอะไรที่สร้างสรรค์ใหม่
ๆ มากกว่าที่จะหยุดนิ่งทำแค่เท่าที่กำหนดไว้ใน Job Description เท่านั้น
นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่าต่อองค์กรและเป็นสิ่งที่องค์กรใดก็ล้วนแต่อยากได้
จงเป็นคนที่ขยันขวนขวายหาความรู้และประสบการณ์ใหม่
ๆ เพื่อมาเพิ่มคุณค่าให้กับงาน และจงเรียนรู้ที่จะทำงานแบบ SMART
สิ่งที่จะสร้างคุณค่าให้กับองค์กรหรือหน่วยงานที่ท่านทำงานอยู่นั้น
อาจจะเป็นเพียงงานที่ทำแล้วลดขั้นตอนบางอย่างแล้วทำให้งานเร็วขึ้น
หรือการเขียนกระบวนการทำงานที่ช่วยให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเข้าใจกระบวนการพร้อมกับทำให้กระบวนการทำงานนั้นเป็นมาตรฐานก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึง Intervention เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและประกอบไปด้วยเทคนิคที่อาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจได้
พร้อมกันนั้น อย่าลืมที่จะมองหาโอกาสที่จะทำงานให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้น
หรือขยายขีดความสามารถของตัวเองให้ทำงานได้หลายด้วยการเรียนรู้กับทดลองทำงานอะไรใหม่
ๆ จตากที่ไม่เคยทำมาก่อน (Enlarging your capability) อย่างน้อยก็คิดว่าในวันข้างหน้าเวลาเติบโตในสายอาชีพก็จะต้องใช้ทักษะที่ท่านฝึกฝนมาทำงานในเชิงการควบคุมบังคับบัญชาอยู่ดี
แต่นี้ก็เข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพแล้วล่ะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น