วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทิปเด็ด 7 อย่างที่ต้องสร้างเสริมเพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานของคุณ

ผมเชื่อว่า ท่านผู้บริหารในแทบทุกองค์กร ต่างเห็นพ้องกับผมว่าบรรดาทรัพยากรที่องค์กรมีที่สำคัญ อันจะช่วยให้องค์กรมีขีดความสามารถในการแข่งขัน และการันตีความเติบโตอย่างยั่งยืนนั้น คือทรัพยากรบุคคลหรือคนทำงาน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน (ทั้งคนเก่ง คนที่ทำงานขยันปานกลาง และคนขี้เกียจ ชอบสร้างปัญหาให้กับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้าและองค์กร) หากแต่เป็นทรัพยากรบุคคลที่ “ใช่” หรือคือคนทำงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะในระดับบริหารชั้นกลาง ชั้นสูง หรือพนักงานระดับปฏิบัติการ ที่มีผลงานปัจจุบันในระดับมาตรฐานที่องค์กรและหน่วยงานยอมรับว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด (แม้จะไม่ทั้งหมด 100% ก็ตาม)  และต้องเป็นคนทำงานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า มีความสามารถในการเรียนรู้เพื่อเพิ่มทักษะฝีมือ และประสบการณ์ในการทำงาน  นี่ล่ะครับ คือคนที่ใช่ที่หลายองค์กรอยากได้


บทความนี้เราจะไม่คุยกันว่า พนักงานที่สร้างผลงาน (ปัจจุบัน) หรือทำงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น  จะเป็นอย่างไร และต้องได้รับการพัฒนาอย่างไรดี เช่น ต้องทำงานแบบ SMART ไม่ใช้เพียงแค่ทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่หาผลงานที่โดดเด่นไม่ได้  แต่อยากจะชวนท่านผู้อ่านมาช่วยกันพิจารณาว่า คุณลักษณะของคนที่ “ใช่” ในกลุ่มที่สองคือ  “คนทำงานที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า” ควรจะได้รับการพัฒนาอย่างไร ? ซึ่งผมเชื่อว่า คนกลุ่มนี้ อาจจะมีจำนวนราว 20% ของคนทำงานทั้งหมดในองค์กรของท่านด้วยซ้ำไป และนั่นก็คือ หากองค์กรของท่านมีคนเก่งซัก 10-20%  แล้วมี “ว่าที่” คนเก่ง หรือก็คือคนกลุ่มที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพสำหรับการสร้างผลงานที่ดีในวันข้างหน้า แล้ว องค์กรของท่านก็จะมีกลุ่มของบุคลากรที่เป็นกำลังหลักสำคัญมากถึง 30% หรือ 40% อันถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยนะครับ

ผมอยากชี้ให้ท่านผู้อ่านช่วยกันคิดตั้งแต่เริ่มว่า คุณลักษณะของคนทำงานที่องค์กรของท่านถือว่าเป็น “คนมีศักยภาพ” นั้น เป็นอย่างไร ? คนมีศักยภาพหมายถึงคนที่มีจุดแข็งที่นำมาใช้สร้างผลงานได้ หรือคนที่มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเยี่ยม หรือเป็นคนที่รู้คิด มีความรู้มากมาย ถึงพร้อมซึ่งความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำงาน แต่ยังด้อยประสบการณ์ที่จะผลักดันกับการทำงานจริง เป็นคนที่ ‘can do attitude’ หรือเป็นคนเยี่ยงไร ?

ลองมาไล่เรียงกันดูครับว่า อะไรหรือที่จะช่วยทำให้คนทำงาน สามารถเพิ่มพูนศักยภาพเพิ่มมากขึ้นได้จริง ! จากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ประกอบกับประสบการณ์ของผม  พอสรุปนำเสนอเป็น “ทิปเด็ดเจ็ดอย่าง” ที่ต้องฝึกฝน สร้างเสริมและเติมเต็ม  เพื่อให้พนักงานในองค์กรของท่าน พัฒนาให้ถึงพร้อมซึ่งความมีศักยภาพระดับสูงในการทำงาน ดังนี้ครับ :

1.    ฝึกทักษะการเป็นผู้นำ   คนทำงานไม่ว่าตำแหน่งใด ต่างมุ่งหวังเติบโตไปทำงานเป็นผู้บริหารทั้งนั้นล่ะครับ  หลายองค์กรชั้นนำ จึงมุ่งเพิ่มพูนประสบการณ์และสร้างโครงการหรือกิจกรรมการพัฒนาเพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ทักษะของการเป็น “ผู้นำ” ที่ดี ควบคู่ไปกับการเป็น “ผู้ตาม” ที่ดี โดยอย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้ว่า ผู้นำในแบบที่องค์กรต้องการคืออะไร  การนำทีม และนำงานอย่างไร จึงจะทำให้งานเดินหน้าไปหาความสำเร็จได้  ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป mindset ของคนเปลี่ยนตาม  จึงหมดยุคที่จะแยกและ treat ผู้บริหารระดับสูงแบบ “เจ้านายชั้นสูง” แต่มองพนักงานแค่ “คนทำงานชั้นล่าง” เพราะการจำแนกผู้นำให้สั่งเพียงอย่างเดียว ไม่ได้การันตีว่าผู้นำจะทำตัวให้สมกับความเป็นผู้นำแต่อย่างใด  องค์กรชั้นนำที่มีศักยภาพเติบโตในโลกของการแข่งขัน จึงต้องคิดให้หนักในเรื่องการสร้างเสริมศักยภาพการเป็นผู้นำให้แก่พนักงาน  ซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วยการให้เค้าเรียนรู้จักการนำ “ทีม” ผ่านการมอบหมายโครงการพิเศษ  ฝึกการนำเสนอ การสื่อสารที่ได้ผล (คนเข้าใจ และได้งาน)  ฝึกการนำการประชุมให้มีประสิทธิภาพ  สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานสำคัญสำหรับการเพิ่มผลิตภาพการทำงานของพนักงานแต่ละคนเลยครับ

2.    สื่อสารให้เป็น ในบทบาทของผู้นำและผู้ตาม พนักงานทุกระดับล้วนต้องอาศัยการพูดคุยสื่อสารกันในชีวิตการทำงานปกติ ไม่ว่าจะสื่อสารการประสานงานระหว่างกัน สื่อสารเป้าหมายงาน และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อให้งานที่รับผิดชอบเดินหน้าไปได้ด้วยดี  การที่จะเป็นอย่างนี้ได้  ผมมองว่าต้องอาศัยการพูดคุยกันสองทาง และอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องเป้าหมาย วิธีการทำงาน การให้ข้อเสนอแนะ การติดตามผล และแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยการสื่อสารกันอย่างมีประสิทธิภาพ การฟังความ และเล่าความที่ไร้ประสิทธิภาพ พิสูจน์ได้โดยไม่ต้องการหลักฐานว่ามีแนวโน้มที่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างคนทำงานด้วยกันมากกว่าจะทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างกัน

3.    เสริมแรงการทำงาน   องค์กรต้องไม่ลืมที่จะเสริมแรงการทำงานด้วยการให้พนักงานได้ทดลองทำงานที่ยาก ซับซ้อนและต้องใช้ทักษะการลงแรงลงมือระดับสูงกว่าที่เขาคุ้นเคย ด้วยเพราะหากปล่อยให้พนักงานทำงานแบบ routine ก็ไม่มีทางที่องค์กรจะได้คนทำงานที่สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ได้ เนื่องจากเขาไม่ได้รับการฝึกฝนมาในแบบนั้น  หัวหน้างานเองก็คงต้องกระตุ้นให้ลูกทีม มีความมั่นใจใจตัวเองที่จะทำงานอย่างไม่พลาด และเปิดโอกาสให้มีการเรียนรู้บนความผิดพลาดบ้าง แต่ต้องไม่มีครั้งที่สองหรือครั้งที่สาม การเสริมแรงเช่นนี้ ในมุมจิตวิทยากล่าวกันว่า  จะช่วยเติมเต็มความเข้าใจตัวเองของเขาได้มากเลยทีเดียว

4.    ให้ความสำคัญกับคนเก่ง การดึงดูด สรรหาและการธำรงรักษาคนเก่งไว้ให้ทำงานกับองค์กร กลายเป็นงานต้นน้ำที่ HR จะต้องให้ความสำคัญและวางกลยุทธ์การปฏิบัติงาน (Operational Strategies) ให้ดี ไม่ใช่เพราะองค์กรแค่อยากได้เท่านั้น หากแต่องค์กรต้องพยายามช่วงชิงคนเก่งนี้มาจากองค์กรอื่นมาเสริมทีมเพื่อให้เกิดการผสานพลังการทำงานที่เป็นเยี่ยมให้ได้ด้วย ผู้รู้ให้ความเห็นไว้อย่างน่าตกใจว่า ความต้องการจ้างเก่งเข้าทำงานนั้น เป็นสิ่งที่ต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้น งัดสารพัดกลยุทธ์มาใช้เพื่อจูบใจให้คนเลือกมาสมัครงาน โดยเฉพาะคนที่ไม่คิดจะเปลี่ยนงานเนื่องจากมีความสุขและสร้างผลงานที่ดีให้แก่องค์กรได้อยู่แล้วในปัจจุบัน  ในทำนองหนึ่ง คนภายในที่เป็นคนมีศักยภาพสูง ก็ต้องได้รับการพัฒนาให้เก่งและแข็งแกร่งมากขึ้น  ด้วยการ “เปิดจุด คลายสมปราณความเก่ง” ออกมาใช้งานขององค์กรให้ได้ งานนี้ล่ะครับ ท้าทายไม่น้อย และต้องคิดให้ครอบ คิดให้รอบด้านอีกมากครับ

5.    พัฒนาให้เป็นคนฉลาดคิด ปกติแล้ว คนเรามักยึดเอาความสำเร็จในอดีตเป็นตัวกำกับการทำงานในปัจจุบันและอนาคต อันทำให้มักจะไม่ค่อยกล้าเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ และก็จะยิ่งถ่อยห่างจากการเป็นดาวเด่นขององค์กร  “ความฉลาดคิด”  ที่เป็นหนึ่งในสิ่งที่องค์กรต้องเร่งพัฒนาในความคิดของผม น่าจะพอเทียบเคียงได้กับคำว่าEmotional Intelligence” ซึ่งหมายความว่า การที่พนักงานแต่ละคนมีความสามารถในการที่จะพัฒนาไปสู่การมีความรู้ ความเชี่ยวชาญและทักษะการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งโดยทั่วไป ความฉลาดคิดในมุมที่เกี่ยวกับงาน ก็ได้แก่ ความเชื่อมั่นในตนเอง การรู้สึกสำนึกได้  ความสามารถในการปรับตัว  ความคิดสร้างสรรค์และสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ  การมองโลก มองงานและเพื่อนร่วมงานในแง่ดี  มีทักษะการสื่อสาร พัฒนาตนเองและคิดริเริ่มปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ผู้รู้ท่านเชื่อว่า การที่พนักงานมีขีดความสามารถเหล่านี้ จะช่วยให้ทำงานได้ผลิตภาพและผลลัพธ์ของงานในระดับสูง

6.    ให้คำชื่นชมและรางวัลจูงใจ เป็นธรรมดาที่คนทำงานต้องการคำชื่นชม และการยอมรับจากผู้อื่น  ซึ่งมิใช่จะต้องจูงใจตอบแทนด้วยตัวเงินแต่อย่างใด  ผู้รู้ท่านบอกไว้ว่า องค์กรและหัวหน้างานทั้งหลาย จะต้องเล่นบทบาทการให้ feedback หรือการสะท้อนผลการทำงานของพนักงานให้เป็น (ซึ่งผมได้เขียนไว้แล้วในบทความเรื่องการให้ feedback ผลการปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ ลองย้อนกลับไปดูบทความเก่าก่อนหน้านะครับ)  กระนั้น การสะท้อนผลการทำงาน ต้องจริงใจเข้าว่านะครับ  พยายามชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมทางบวกที่องค์กรและหน่วยงานพึงประสงค์  พร้อมกับต้องพยายามค้นหาแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้พนักงานในโอกาสต่าง  ๆ ผมเองเคยอ่าน practice ของโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ที่มีกิจกรรม “On Spot Rewarding” ซึ่งจะให้ผู้บริหาร มอบรางวัลกับพนักงานที่ให้บริการลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ เป็นตัวอย่างที่ดีอันหนึ่งของการเสริมแรงพฤติกรรมทางบวกที่นำไปใช้ได้กับการสร้างเสริมค่านิยมและวัฒนธรรมองค์กรได้ในอีกทางหนึ่ง หรือแม้แต่คำชมสั้น ๆ ว่า “ดีมากครับ” ให้กับลูกน้อง ก็เป็นแรงจูงใจชั้นเลิศแก่คนทำงานแล้วครับ ขอให้หลุดออกมาจากปากของผู้บริหารบ้างเท่านั้น เป็นใช้ได้...

7.    เสริมประสบการณ์ทำงานเป็นทีม ผมเชื่อในใจว่าการสร้างทีมงานที่มีประสิทธิผล เป็นภารกิจอันหนักหน่วงและสำคัญยิ่งที่ผู้บริหารไม่ว่าระดับใดจะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ในหลายหลักสูตรการพัฒนาผู้นำ ก็มักปรากฏหัวข้อการพัฒนาและสร้างทีมงานด้วยเสมอ ที่เป็นอย่างนี้เพราะยอมรับกันว่าการทำงานเป็นทีม เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกองค์กรจะต้องมีอยู่แล้ว  ไม่มีใครคนใด ทำงานแบบโดดเดี่ยว (เว้นแต่เพื่อนฝูงไม่เอาเพราะ......ฯลฯ.....) แล้วจะให้ได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมส่งคุณค่ากับองค์กรได้ และงานที่ทรงคุณค่า แทบจะทั้งนั้นมักเป็นงานที่ซับซ้อน ต้องอาศัยการผสานพลังจากคนจากหลายหน้าที่งานนั่นเอง  ในบทบาทของการทำงานเป็นสมาชิกทีม พนักงานต้องได้รับการฝึกฝน และสร้างประสบการณ์ให้เขาสามารถสื่อสาร แก้ไขปัญหาและตัดสินใจหน้างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเอง และมากกว่านั้นก็คือ การสร้างสไตล์ของการใช้ชีวิตทำงานด้วยกัน อันจะหล่อหลอมออกมาเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่องค์กรต้องการในระยะยาว

ผมเชื่อว่าองค์กรของท่านก็ไม่ได้ต่างจากองค์กรอื่นที่โดยทั่วไปแล้ว คนทำงานทั้งหลายจะมีหลากวิธีคิดและหลายมุมมอง มีสไตล์การทำงานไม่เหมือนกัน เช่นที่กูรูบางท่านได้จำแนกคนออกเป็น 4 กลุ่มประกอบด้วย “The Thinkers” หรือ “พวกนักคิด” ชอบสร้างสรรค์ไอเดียวิธีคิดที่แปลกใหม่ ปฏิเสธแนวคิดที่ไม่เข้าท่า  ชอบที่จะคิดและหาแนวทางทำงาน/แนวทางแก้ไขปัญหา เพื่อให้งานที่ทำเดินหน้าไปได้  “The Doers”  หรือ “พวกนักปฏิบัติ”  เป็นพวกที่ทำงานแบบมุ่งความสำเร็จจากการลงมือทำ และขับเคลื่อนงานของกลุ่มด้วยการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับคนอื่น เพื่อให้เห็นความก้าวหน้า และไม่ปรารถนาจะเห็นการเสียเวลาสูญเปล่า  “The Achievers”   หรือ “พวกนิยมความสำเร็จ”  เป็นพวกที่ไม่ชอบรีรออะไร มุ่งให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมายงานที่วางไว้  และสุดท้ายคือ  “The Carers”  หรือ “พวกชอบเผื่อแผ่”  เป็นพวกที่ทำงานแบบทีม  ทุกคนต้องช่วยกัน ขาดใครคนหนึ่งไปก็ไม่ได้ มุ่งเน้นความสัมพันธ์ในบรรดาคนทำงานในกลุ่ม ในทีมงาน  ซึ่งทั้งหมด ล้วนแต่เป็นคุณลักษณะของคนทำงานที่องค์กรต่างต้องการทั้งนั้น แต่จะให้คนทำงานในองค์กรของท่านมีน้ำหนักไปใน “พวก”ใดอย่างที่กูรูท่านจัดแยกไว้  ก็สุดแล้วแต่กลยุทธ์องค์กรของท่านในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งแต่ละองค์กรก็มักจะให้น้ำหนักของคนแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไปในรายละเอียด ไม่ควรต้องมานั่งลอกเลียนแบบกันแต่อย่างใดครับ

การที่จะเติมเต็มศักยภาพในการทำงานของผู้บริหารและพนักงานทุกระดับในองค์กรของท่าน ไม่ได้หมายถึงจะเลือกแนวทางใดแนวทางหนึ่งนะครับ หากแต่ท่านจะต้องผสมผสานทิปเด็ดเจ็ดอย่างที่ผมนำเสนอเข้าด้วยกัน โดยมุ่งมองไปที่ให้คนทำงานทั้งหลาย เกิดความรู้สึกพึงพอใจต่อการทำงาน (job satisfaction) เป็นสำคัญ เพราะความพึงพอใจนี้ จะช่วยเหนี่ยวรั้งไว้ให้เขาทั้งหลายให้ความสนใจ ให้ร่วมแรงและลงน้ำใจ ไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างที่องค์กรต้องการ และยังทำงานกับองค์กรต่อไป ไม่หนีหน้าไปอยู่กับคู่แข่งให้นายจ้างช้ำใจเล่น แถมยังจะกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเก่งจากภายนอกหันมาสมัครเข้าร่วมงานกันองค์กร เรียกว่า ทำเรื่องเดียว impact หลายอย่าง ดีมั๊ยครับ ?

เหนืออื่นใดคือทดลองทำ และทำกันในวันนี้เสียเลย “just do it...and do it now !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น