ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง
ได้รับมอบหมายและสนับสนุนให้เรียนแบบเต็มเวลาจากทางบ้าน
พ่อแม่พี่น้องผู้ปกครองสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนเต็มที่
โดยคาดหวังว่าลูกหลานมาเรียนจะสามารถจบไปหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองได้
หรือนักศึกษาอีกมหาศาล กู้เงินของรัฐ ตกแล้วปีละหลายหมื่นล้านบาท
เป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มใช้ชีวิตของการทำงาน
แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน และต่อเนื่องไปถึงรับงาน
"วิจัยฝุ่น" เมื่อเรียนจบ ช่างเป็นที่เน่าเสียดายอย่างยิ่ง
หากถามผมว่า
ทำไมหรือถึงเป็นอย่างนั้น ขอตอบแบบที่ไม่เอาภาพกว้าง แต่เจาะจงมาที่ตัวคนนะครับ
ตรงไปตรงมาคือ มันอยู่ที่ว่านักศึกษาเต็มเวลาที่ผมขอเรียกว่า
"นักศึกษามืออาชีพ หรือคนที่มีอาชีพเป็นนักศึกษา" ทั้งหลายเหล่านั้น
ขาดคำแนะนำที่เพียงพอจากคนที่มีประสบการณ์การทำงาน ช่างบังเอิญเสียจริงว่า
นักศึกษาไม่น้อยไม่ค่อยเชื่อฟังอาจารย์เท่าไรนัก เพราะคนในยังงัยก็ไม่เท่าคนนอก
คนนอกพูดชอบที่จะรับฟัง อาจารย์บอกก็งั้น ๆ พาลเอาว่าอาจารย์บ่นไปเสีย...
ผมเองไม่ขอนับนักศึกษาที่ขาดความสำนึกที่ดี
วันวันเอาแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนไปเดินแบบไปนั่งเรียน เอาแต่รับโทรศัพท์
คุยแต่เรื่อง Shopping
และผลาญเงินพ่อแม่ ที่มากกว่านั้นคือผลาญเงินกูยืมของหลวงที่ควรจะตกกับคนที่ตั้งใจเรียนเพื่อจะไปทำงานอย่างแท้จริง
อันนี้ ไม่อยากว่ากันยาวครับ....
และไม่ขอนับพวกลูกท่านหลานเธอที่ได้บุญของพ่อแม่เจือจุน
เอาเป็นว่า
ขอทำตัวเป็น Coach
ให้กับน้อง ๆ ที่มีโอกาสแวะมาอ่านบทความนี้ก็แล้วกัน
ผมขอเน้นเรื่องนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า
น้อง ๆ ที่จบมาหมาด ๆ เจ้าทำงานใหม่ ๆ ในองค์การ หลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ตกม้าตายเพราะปรับตัวไม่ทันกับวิถีชีวิตของการทำงาน
ซึ่งมันมีผลต่อโยงไปถึงการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ว่าแบบนี้ก็เพราะ
น้อง ๆ หลายคน ครองตนไม่เหมาะ และหลายเป็นความเคยชินมาจนถึงเวลาก้าวย่างเข้าสู่การทำงาน
หลายเรื่องน้อง ๆ เหล่านี้เข้าใจมันไม่ตรงกับเจตนาที่แฝงอยู่ และหลายเรื่องที่น้อง
ๆ บางคนก็คิดว่า มันไม่สำคัญอะไรเลย ทั้งที่มันสำคัญมากเช่นกัน
ซึ่งสภาพแบบนี้
เราไม่ค่อยพบกับนักศึกษากลุ่มเรียนด้วยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งเสียตัวเองเรียน
ด้วยครับ
ขอฝากเป็นแง่คิดไว้เป็นข้อ
ๆ เพื่อให้น้อง ๆ
เหล่านักศึกษามืออาชีพทั้งหลายในระหว่างที่เตรียมพร้อมจะจบการศึกษาไปทำงาน
รวมทั้งคนที่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเรียน
เอาไว้ลองทบทวนและเตือนสติตัวเองให้มั่นคงก็แล้วกันครับ
ที่ผมเขียนอาจจะแรงไปนิดสำหรับน้อง
ๆ จำนวนหนึ่งที่อาจจะหน้าบางไปหน่อย ไม่กว้าอ่านเอง
ขอแนะนำให้เพื่อสนิทหรืออาจารย์ที่ปรึกษาลองอ่านและถ่ายทอดให้ฟังก็แล้วกันครับ
เริ่มจากเรื่องแรก
"หัดเรียนรู้คนหลากหลาย"
ข้อแนะนำนี้
เป็นเรื่องที่ขอให้น้อง ๆ ทั้งหลายหมั่นเรียนรู้จักคนหลากหลายสายอาชีพ
หรือมีเพื่อนหลายคณะ หลายชมรม หลากหลายชั้นปีนั่นเอง
ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเลยนะครับ ทั้งในเวลาที่ยังเรียน และในเวลาที่เรียบจบไปแล้ว
ในระหว่างที่เรียน การมีเพื่อนที่หลากหลายกลุ่ม
เป็นการฝึกปรือทักษะในด้านมนุษยสัมพันธ์ บุคลิกภาพ ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล
การทำงานร่วมกับคนอื่น และอีกมากมายอะไรทำนองนี้ และมันก็คือการสร้าง connection ที่เราจะสามารถหยิบจับนำมาใช้เมื่อเราจบไปแล้ว เช่น
มีเพื่อนเรียนจบสถาปัตย์มา บางทีหัวหน้าอาจจะมาปรึกษาเรื่องการตกแต่งสำนักงานใหม่
ซึ่งคุณไม่รู้ก็สามารถสอบถามปรึกษาเพื่อน เพื่อเสนอกับหัวหน้าได้
มันก็ย่อมดีกว่าการตอบว่า "ไม่รู้อ่ะ" เพราะไม่ได้จบสายนี้มา.....
ปรับมุมมองเกี่ยวกับอาจารย์ใหม่
นักศึกษามืออาชีพทั้งหลาย
โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเอกชน ตีค่าอาจารย์เพียงแต่ลูกจ้างบริษัทที่รับจ้างมาสอน
แตกต่างจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นข้าราชการอันควรยกย่อง
วิธีการปฏิบัติและวิธีคิดของนักศึกษาเหล่านี้ก็แล้วสะท้อนออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยฟังกัน
ขาดความเคารพนบนอบ ซึ่งบ่งบอกถึงการด้อยมารยาททางสังคม
ลองคิดในมุมใหม่สิครับ
อาจารย์ทั้งหลายที่มาสอนคือผู้สร้างประสบการณ์ความคิดที่ดีดีกับเรา
ทั้งยังสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแบบมืออาชีพ หรืออาจจะว่าตามตำราเป๊ะก็ไม่ผิดครับ
ถึงจะ "ไม่พอ" แต่มันใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญปรึกษาไม่ได้เสียตังค์
อาจารย์หลายท่านสามารถให้คำปรึกษาแนะนำแบบมืออาชีพเพื่อช่วยไขปัญหาเรื่องการเรียน
และเมื่อเรียนจบไปแล้ว ยังนำแง่คิดคำแนะนำไปใช้ในการทำงาน
หรือขอคำปรึกษาได้อีกต่างหาก น้อง ๆ อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำไปว่า
อาจารย์บางท่านเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนทั้งหลายได้ค่าตอบแทนมหาศาล
แต่เราสิไม่เคยถามอาจารย์เลย น่าเสียดายจริง ๆ
แต่หากน้อง
ๆ อยากได้อะไรที่ดีจากอาจารย์ แต่ไปตีตนเสมอ คุยเหมือนกับเป็นเพื่อน น้อง ๆ
คิดว่าอาจารย์ท่านไหนอยากคุยด้วย หรือยากจะจดจำให้ความช่วยเหลือล่ะครับ
เรื่องการต่อรอง
น้อง
ๆ ชอบคิดกันว่า พออาจารย์สั่งงานหรือมอบหมายให้ทำการบ้านอะไรก็ตามมากมาก
มันต้องต่อรองสักหน่อย อาจารย์ให้งาน 3 วันทำทันเหรอ
งานของอาจารย์คนอื่นสั่งมาก็บ้าเลือดแล้ว เรียนมาก็หลายเรื่อง
และหากต่อรองได้ก็กลายเป็น Hero ของห้องไปเลย
คิดแบบนี้
ลบไปหน่อยครับ ลบลบแบบนี้ ตอบได้เลยว่า
ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจริงของการทำงาน
แต่ในแทบทุกห้องเรียนล่ะครับ
จะมีนักศึกษามืออาชีพที่ไม่ติดเงื่อนไขอะไรเลย
แม้ว่าทุกวิชาที่เรียนจะมีการบ้านมากแค่ไหนก็ตาม น้อง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ happy กับเพื่อน
ๆ
ที่ชอบต่อรองกับอาจารย์แล้วภาคภูมิใจเหลือหลายว่าทำให้อาจารย์เลื่อนกำหนดส่งการบ้านออกไปได้
น้อง ๆ ที่สำนึกดี เค้าจะมองว่ามันเป็นเรื่องท้าทายที่เขาจะบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมในเรื่องการเรียนกับการใช้ชีวิต
และแน่นอนน้อง ๆ กลุ่มนี้มักใช้เวลาส่วนใหญ่กับการตั้งใจเรียน ตรงข้ามสิครับ น้อง
ๆ กลุ่มที่ต่อรองสารพัด ทำไม่ได้ ทำไม่ทันหรอกครับ แตกต่างจากน้อง ๆ
กลุ่มที่ตั้งใจทำงานโดยไม่ปริปากบ่นที่ผมว่าไปมากโขเลย ผมถามน้อง ๆ
คิดว่าคนกลุ่มไหนหรือที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า
"ได้ดี" กว่ากัน
ผมเองแนะนำให้น้อง
ๆ ปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่...!!!!
คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
หากไม่นับว่าบารมีพ่อแม่หนุนส่ง หรือเป็นลูกเถ้าแก่ที่คอยรับมรดกความร่ำรวยจากพ่อแม่
แทบจะทั้งนั้นทำงานหนัก
ในชีวิตของการเรียนเขาก้มหน้าก้มตาทำงานส่งอาจารย์อย่างไม่ปริปากบ่น
และท้าทายตัวเองด้วยการสร้างภาพความสำเร็จที่น่าภูมิใจให้กับตัวเองอยู่เสมอ
การบ้านของอาจารย์ที่ให้ในเวลากระชั้น
ผมเองมองว่าอาจารย์ไม่ได้บ้าเลือกหรอกครับ
เพราะแทบจะทั้งนั้นก็ผ่านประสบการณ์กันมาแล้ว ทั้งในระดับปริญญาตรี
ปริญญาโทหรือปริญญาเอก อาจารย์ทั้งหลายจึงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
แต่ที่ทำคือต้องการฝึกความอดทนต่อความเครียดและสถานการณ์การทำงานภายใต้เวลาอันจำกัด
และบังเอิญอย่างยิ่งที่มันเป็นคุณสมบัติที่บริษัททั้งหลายกำหนดไว้ตั้งแต่ประกาศรับสมัครงานซะด้วยสิ...
ลองคิดดูให้ดีครับ
น้อง ๆ นักศึกษามืออาชีพ มีหน้าที่อย่างเพียว ๆ คือการเรียน
หากรับผิดชอบเท่านี้ไม่ได้
จะหวังให้องค์การไว้ใจให้ทำงานใหญ่กับองค์การได้อย่างไรล่ะ
หรือวันวันเอาแต่เที่ยวจีบสาว หรือเดินเที่ยว โทรศัพท์หาเพื่อนวันละครั้งวัน
ลืมงานที่อาจารย์มอบหมาย ใช้บริการอาจารย์ "Google" copy&paste ความรู้ส่งอาจารย์ หรือทำงานส่งไม่ทันไปลอกเพื่อแบบลวก ๆ เพื่อส่งอาจารย์
แบบนี้องค์การไหนจะมั่นใจให้น้อง ๆ เติบโตในอาชีพการงานล่ะครับ
อย่าลืมว่า
ปริมาณนักศึกษาจบใหม่เอาแค่ระดับปริญญาตรีในแต่ละปี
รวมแล้วทุกมหาวิทยาลัยก็มหาศาล....!!! บวกกับคนตกงานที่มีประสบการณ์อีกเยอะ
แม้แต่ปริญญาโทยังจบกันเกลื่อน องค์การก็เลยเป็น "สวยเลือกได้" สิครับ
จ้างคนจบปริญญาโท ให้เงินเดือนเพิ่มอีกนิดหน่อยเมื่อเทียบกับจ้างปริญญาตรียังงัยก็คุ้ม
ในโลกการทำงานจริง
ๆ นั้น ผมก็เห็นน้อง ๆ หลายคนที่ขาดอะไรหลายอย่างเหล่านี้
กลายเป็นพนักงานขั้นสองในที่ทำงานบริษัทชั้นนำทั้งหลายไป เงินเดือนก็ต่ำกว่า
มองยังไม่เห็นความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เฮ้อ...ตั้งใจเรียนเถอะครับ
เรียนรู้ความรู้นอกตำรา
อย่ายึดติดแต่กับทฤษฎี
ข้อนี้มักเป็นความจริงที่คนทำงานทั้งหลายมักเอ่ยปากว่า
พอไปทำงานจริง ตำราทั้งหลายที่เรียนมาแทบจะไม่ได้ใช้ จริงจริงก็ไม่ทั้งหมดครับ
เพียงแต่ในระดับของการปฏิบัติงาน ตำราไม่ได้บอกละเอียด
เพราะตำราให้แนวคิดพื้นฐานเสียมากกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว องค์ความรู้ที่มีบอกไว้ในตำราที่น้อง
ๆ เรียน มันอาจจะไปตรงกับความต้องการของผู้ปฏิบัติงานระดับสูงขึ้นไปสักนิด
ที่จะต้องใช้ความรู้พวกนี้มาประยุกต์เอากับการทำงานจริง
ตำราจึงให้วิธีการปฏิบัติงานที่ค่อนข้างหยาบ นี่คือเหตุผลที่ผมสนับสนุนให้น้อง ๆ
เรียนรู้อะไรนอกตำราเรียนไว้บ้าง
ในโลกของความเป็นจริง
ความรู้ที่เราใช้ในการทำงานมีหลากหลายนอกจากตำราเรียนครับ
คนทำงานมักพึ่งพิงหนังสืออีกแบบหนึ่งที่เราเรียกกันว่า “know how” หรือเทคนิควิธีการทำงานนู่น นี่ นั่น เสียมากกว่า
ซึ่งบอกเรื่องที่เป็นวิธีการของการทำงานจริงมากขึ้น
ซึ่งบางเล่มก็ให้ทั้งแนวคิด+วิธีปฏิบัติที่นำมาใช้แล้วเป็นผลสำเร็จในบางองค์การ หากถามว่า Know how พวกนี้คืออะไร
ผมคิดว่ามันก็คือภาคปฏิบัติจากทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาปรับใช้ในบางสถานการณ์ขององค์การที่ได้ผลแล้วนำมาแนะนำบอกต่อนี่เอง การอ่านหนังสือพวกนี้ จะช่วยให้น้อง ๆ
ได้เรียนรู้โลกของการทำงานที่ชาวบ้านเขาทำกัน
ซึ่งให้แนวคิดที่ลุ่มลึกมากขึ้นกว่าตำราที่บางทีอาจารย์อาจจะเขียนให้นักศึกษาปีนบันไดอ่าน
กระทั่งทำให้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยไม่อยากจะอ่านไปเลย
แต่การเรียนรู้ทฤษฎีก็ไม่มีอะไรเสียหาย
ตรงกันข้าม หากน้อง ๆ สามารถทำความเข้าใจทฤษฎี หรือแนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ
ก็ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งในการศึกษาต่อ และการนำมาคิดต่อยอด
น้อง
ๆ ที่อยากจะสร้างความพร้อมของตัวเองสำหรับการทำงาน
และเรียนรู้เพื่อให้ได้แง่มุมความคิดที่หลากหลายลุ่มลึก
จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องอ่านหนังสือแบบที่ว่านี้ด้วยครับ
อ่านคู่กันกับตำราเรียนหลักนั่นล่ะดี ผมคิดว่า
ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั้งหลายมีหนังสือเหล่านี้จำนวนมาก
และมากกว่าตำราเรียนที่อาจารย์แนะนำให้อ่านเสียด้วยซ้ำ
อีกเรื่องหนึ่งที่น้อง
ๆ มักจะพบคือการที่อาจารย์สอนโดยใช้กรณีศึกษาหรือ Case Study มันเป็นยังงัย
ดีตรงไหนล่ะ
ผมคิดว่าอาจารย์แทบจะร้อยทั้งร้อย
จะพยายามหยิบยกตัวอย่างกรณีศึกษามาอธิบายประกอบกับแนวคิดทฤษฎีที่นำมาพูดถึงในชั้นเรียน เพียงแต่ในระดับปริญญาตรี
เนื่องจากอาจารย์ก็อยากให้พื้นฐานแนวคิดที่แน่นแน่นกับนักศึกษาเสียก่อน
จึงมักจะว่ากันตามตำราเป็นส่วนใหญ่ จะยกกรณีศึกษามากล่าวถึงก็เกรงนักศึกษาจะไม่เข้าใจ
เพราะนักศึกษาแทบจะไม่ค่อยได้เรียนรู้โลกของการทำงาน ทำนองว่า มันยังไม่ถึงเวลา
อาจารย์ก็คิดน้อยไปหน่อย
ว่ากันแล้ว กรณีศึกษาเป็นวิธีการนำเสนอเนื้อหาของการเรียนการสอนอีกวิธีหนึ่ง ทักษะ
วิธีการนำเสนอในการสอน และเนื้อหาที่เคลียร์ของอาจารย์ต่างหากที่จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจ
อาจารย์ก็ต้องทำการบ้านนิดนึงครับ เพราะโลกการทำงานของอาจารย์จริง ๆ
มันไม่ได้แก้ไขปัญหาในการทำงานสารพัดพอที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยการทำงานของอาจารย์เอง
เว้นเสียแต่อาจารย์จะไปเป็น consult ให้กับองค์การเอกชนทั้งหลาย
แต่ทว่าหากอาจารย์ไม่เก่งจริง คงไม่มีใครจ้างครับ
อย่าละเลยที่จะทำกิจกรรมระหว่างเรียน
น่าเสียดายที่น้อง
ๆ หลายคนไม่ค่อยจะสนใจทำกิจกรรมระหว่างเรียนบ้าง
น้อง ๆ ที่เป็นนักศึกษาเต็มเวลามักพบว่า มหาวิทยาลัยทั้งหลาย
มักจะมีกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียกว่ากิจกรรมชมรมบ้าง กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์หรือกิจกรรมการให้บริการทางวิชาการกับชุมขนมากมายไปหมด
มีทั้งกิจกรรมภายในรั้วมหาวิทยาลัยและที่จะต้องออกไปพบปะชาวบ้านภายนอกบ้าง
กิจกรรมเหล่านี้ สอนให้น้อง ๆ
นอกจากจะเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับคนอื่นหรือคนหมู่มาก
ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมคณะหรือต่างคณะก็ตาม บางทีก็เป็นคนที่มาจากต่างสถาบัน
สอนให้เราได้เรียนรู้จักวิธีการทำงานเป็นคณะ เป็นทีม การปรึกษาหารือ
แลกเปลี่ยนความเห็น การโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดเรา และยังช่วยให้น้อง
ๆ ได้เห็นโลกอีกหลายมุมมองที่น้องอาจจะไม่เคยพบเลยตั้งแต่เริ่มโตเป็นหนุ่มสาว หลายกิจกรรมที่ต้องไปช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์
สอนให้เรามีจิตสำนึกที่ดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่าจิตสำนึกสาธารณะ
ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวยุคนี้ รู้จักเอื้ออาทรแบ่งปันระหว่างกัน
สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ช่วยปรับวิธีคิดวิธีการครองตัวของน้อง ๆ
ได้มากทีเดียว แต่ก็มีน้องๆ
จำนวนไม่น้อยที่มีโลกส่วนตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจกิจกรรม
เอาเป็นว่าฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว ก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันน้อยไปหน่อย
ทบทวนมุมมองบ้างก็ดีเช่นกัน....
เข้าใจมารยาทสังคม
ข้อผิดพลาดที่น้อง
ๆ อาจจะไม่ได้คิด หรือคิดน้อยไปหน่อย จนทำให้ปรับตัวไม่ทันเวลาที่ไปทำงานจริง
ทำให้เกิดความอึดอัดอย่างมากเลยได้แก่ life style ของชีวิตนักศึกษาที่แตกต่างจากคนทำงาน
ความอึดอัดนี้เป็นมรดกของความเคยชินสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษามืออาชีพครับ เพราะเราอยากจะตื่นตอนไหนก็ได้ ไปดูหนังกับเพื่อนหรือแฟนมาดึก
กลับถึงหอพักไปเรียนไม่ทันก็ลาอาจารย์บอกว่าป่วย
ไม่ต้องไปจริงจังกับเรื่องใบรังรองแพทย์
เว้นเสียแต่ช่วงสอบที่ต้องเป็นเรื่องอยู่บ้าง
หาเหตุผลมาอธิบายสารพัดกับอาจารย์สักนิดก็พอได้ แต่กับที่ทำงานมันไม่ได้ครับ
อยากให้น้อง
ๆ ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง “Do&Don’t
ในวันทำงาน” ที่ผมนำเสนอไว้ในเวบสิครับ
(คีย์คำนี้ใน google ก็เจอ !!!) ลองคิดดู จะเห็นว่าแหมมันเรื่องมากนะ จริงครับ
มันคือมารยาทในการทำงานที่น้องจะต้องปรับตัวให้ได้
จะถือว่าฉันเป็นของฉันแบบนี้ไม่ได้ครับ เพราะบริษัทหรือองค์การทั้งหลายก็จะบอกว่า
งั้นคุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะบริษัทก็เป็นของบริษัทแบบนี้เหมือนกัน
ก็ตกงานสิครับ....!!! อยากให้น้อง ๆ เรียนรู้จากที่ผมแนะนำให้ไปอ่านเข้าไว้บ้าง
สร้างความคุ้นเคยไว้ก็ไม่เสียหายหรอก เพราะมันจะได้นำไปใช้จริง ๆ เวลาไปทำงาน หรือจะใช้มันในระหว่างเรียนก็ไม่เสียหาย
เพราะมันเป็นมารยาทสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน เช่น
เรานิยมตั้งโทรศัพท์ระบบสั่นในที่ทำงาน
แต่ในห้องเรียนสิ โชว์เต็มที่ เสียงเรียกเข้าแบบใหม่
เร่งเสียงให้ดังเข้าไว้
หากไปอยู่ในที่ทำงาน อาจจะโดนหัวหน้างานตำหนิว่า “ไม่มีมารยาท...ไปเปิดที่บ้านไป๊” ก็ได้นะครับ
ฝึกความทดทนและรับผิดชอบให้มากเข้าไว้
คาถาของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จก็นำมาใช้กับการเรียนได้ครับคือ
“อดทนและรับผิดชอบ” ในหน้าที่ของตัวเอง
ในหน้าที่ของการเรียนก็พยายามเรียนให้ดี ทำหน้าที่ให้ครบให้ตรงกับบทบาทของตัวเอง
นักศึกษผู้ชายไม่มีหน้าที่ไประเบิดหูเพื่อใส่ต่างหูรูเบ้อเร้อฉันใด
ในการทำงานเชื่อว่าหัวหน้าทั้งหลายก็ไม่ได้ปลื้มฉันนั้นล่ะครับ
เพราะบางทีมันก็มากเกินไป
นอกเสียจากไปทำงานส่วนตัวหรือทำงานบริษัทแฟชั่นอะไรทำนองนั้นก็อาจจะไม่ว่ากัน
แต่หากคุณต้องไปพบลูกค้า มันจะเหมาะหรือเปล่าล่ะ...
ความอดทนและรับผิดชอบที่ผมว่าไป
ทำง่าย ๆ ด้วยการตั้งหน้าตั้งตา ในเรื่องตอนก่อนผมแนะนำว่า การต่อรองส่งการบ้านนี้
ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ควรทำ ด้วยเหตุผลที่ผมยกตัวอย่างไป
ขอเล่าเรื่องเล็ก
ๆ ให้น้อง ๆ ฟังนิดหน่อยพอเป็นกระษัยว่า
เคยมีการสำรวจชั่วโมงการฝึกฝนตัวเองของนักกีฬาหรือนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของ
Malcolm
Gladwell ในหนังสือเรื่อง “Outliers: The Story of Success” เค้าพบว่า
คนในอาชีพดังที่ว่าที่ประสบความสำเร็จต้องฝึกฝนตัวเองไม่น้อยกว่า 10,000 ชั่วโมง
ตีซะว่าหาดเค้าจะต้องฝึกซ้อมกีฬาหรือดนตรีวันละ 2 ชั่วโมง
เค้าต้องใช้เวลามุมานะทุกวันถึง 14 ปีเชียวนะครับ
คำถามที่ถามกลับคือ เวลา 2-3-4 ปีระหว่างเรียนปริญญาตรีนี่ น้อง ๆ ได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งอะไรบ้าง
นั่นล่ะคือคุณค่าที่น้อง ๆ จะต้องคิดสร้างให้กับตัวเอง แม้จะไม่ต้องไปเดินตามเค้าเสียขนาดนั้นก็ตาม
เกรดนี่ล่ะสำคัญ
สุดท้ายท้ายสุดที่อยากให้ข้อคิดคือเกรดนี่ล่ะสำคัญ
หลาย ๆ คนมักคิดว่าเรียน ๆ ไปพอให้จบจบ น่าตกใจที่น้อง ๆ
หลายคนมาสมัครงานด้วยเหรดเฉลี่ยจากมหาวิทยาลัยเอกชน 2 นิดนิด
แทบจะไม่จบหลักสูตร เหล่า Recruiter หรือเจ้าหน้าที่สรรหาของบริษัทใดแค่เปิดเห็นประวัติการศึกษาและผลการเรียนก็แทบจะปิดไม่ต้องดูแล้วครับ
ทำไมหรือ...มันสะท้อนถึงความอดทนและรับผิดชอบตามหน้าที่ แม้แต่คนที่ต้องทำงานด้วยเรียนด้วย
เราก็ยังคิดว่าผลการเรียนก็สำคัญ ไม่ใช่เรียนให้พอจบไปเพื่อทำงานอย่างเดียว อย่าลืมครับ บริษัททั้งหลายเค้าเป็นประเภท “สวยเลือกได้”
นะครับ ก็คนจบมาแต่ละปีมหาศาล
ที่เปลี่ยนงานหรือตกงานก็แทบจบหลายสิบคันรถ องค์การก็สามารถเลือกได้ และก็เลือกง่าย ๆ
จากผลการเรียนนี่ล่ะ
ผมการเรียน
ยังบอกกถึงระดับสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ของน้อง ๆ ด้วยเช่นกัน บริษัทมักใช้เป็นข้อมูลประกอบที่สำคัญตัวหนึ่ง
ควบคู่ไปกับประสบการณ์การของการทำงาน หรือการทำกิจกรรมระหว่างเรียน
แต่หากให้น้ำหนักแล้ว ประสบการณ์การทำงานซึ่งอาจจะเป็นงาน part-time ก็ได้ ก็ย่องจะมีภาษีดีกว่า เพราะกิจกรรมระหว่างเรียนระหว่างศึกษานั้น
บริษัทเค้าไม่เห็นด้วยซะหน่อยนี่ครับ จะบอกอะไรมาก็ว่าไป เพราะมันตรวจสอบยาก
แต่การทำงานนี่สิ แค่ยกหูสอบถาม
หรือดูจากหนังสือรับรองการทำงานก็เห็นชัดเจนแจ่มแจ๋ว
น่าเสียดายอีกนั่นล่ะที่น้อง
ๆ ที่ใช้เงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือตั้งใจสร้างผลการเรียนหรือเกรดที่ดี
จึงขอย้ำนะครับว่า เกรดนี่ล่ะสำคัญมาก
อย่าปล่อยให้ชีวิตของนักศึกษามืออาชีพผ่านไปโดยที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง....เพราะเวลามันเอาคืนมาไม่ได้
ชีวิตไม่สามทรถ undo
ได้เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น