วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บางอย่างที่ฝากไว้ให้ “นักศึกษามืออาชีพ” ได้คิด

ในชีวิตของการเป็นนักศึกษาที่พวกเขาท่านทั้งหลายผ่านกันมา หวานมันส์ขมขื่นบ้างแตกต่างกันไป คนทำงานปัจจุบันจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะใช้ชีวิตระหว่างเรียนรู้ควบคู่ไปกับการทำงานพาร์ทไทม์ หรืองานประจำแล้วไปสอบ ซึ่งเป็นวิธีการเรียนกับมหาวิทยาลัยปิดเช่น รามคำแหง และสุโขทัยธรรมาธิราช หรือไปเรียนเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์กับมหาวิทยาลัยเอกชน ก็มีให้เห็นไม่น้อย  

ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง ได้รับมอบหมายและสนับสนุนให้เรียนแบบเต็มเวลาจากทางบ้าน พ่อแม่พี่น้องผู้ปกครองสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเรียนเต็มที่ โดยคาดหวังว่าลูกหลานมาเรียนจะสามารถจบไปหางานทำเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ หรือนักศึกษาอีกมหาศาล กู้เงินของรัฐ ตกแล้วปีละหลายหมื่นล้านบาท เป็นหนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มใช้ชีวิตของการทำงาน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเรียน และต่อเนื่องไปถึงรับงาน "วิจัยฝุ่น" เมื่อเรียนจบ ช่างเป็นที่เน่าเสียดายอย่างยิ่ง  

หากถามผมว่า ทำไมหรือถึงเป็นอย่างนั้น ขอตอบแบบที่ไม่เอาภาพกว้าง แต่เจาะจงมาที่ตัวคนนะครับ ตรงไปตรงมาคือ มันอยู่ที่ว่านักศึกษาเต็มเวลาที่ผมขอเรียกว่า "นักศึกษามืออาชีพ หรือคนที่มีอาชีพเป็นนักศึกษา" ทั้งหลายเหล่านั้น ขาดคำแนะนำที่เพียงพอจากคนที่มีประสบการณ์การทำงาน ช่างบังเอิญเสียจริงว่า นักศึกษาไม่น้อยไม่ค่อยเชื่อฟังอาจารย์เท่าไรนัก เพราะคนในยังงัยก็ไม่เท่าคนนอก คนนอกพูดชอบที่จะรับฟัง อาจารย์บอกก็งั้น ๆ พาลเอาว่าอาจารย์บ่นไปเสีย...  

ผมเองไม่ขอนับนักศึกษาที่ขาดความสำนึกที่ดี วันวันเอาแต่แต่งหน้าทาปากเหมือนไปเดินแบบไปนั่งเรียน เอาแต่รับโทรศัพท์ คุยแต่เรื่อง Shopping และผลาญเงินพ่อแม่ ที่มากกว่านั้นคือผลาญเงินกูยืมของหลวงที่ควรจะตกกับคนที่ตั้งใจเรียนเพื่อจะไปทำงานอย่างแท้จริง อันนี้ ไม่อยากว่ากันยาวครับ.... และไม่ขอนับพวกลูกท่านหลานเธอที่ได้บุญของพ่อแม่เจือจุน 

เอาเป็นว่า ขอทำตัวเป็น Coach ให้กับน้อง ๆ ที่มีโอกาสแวะมาอ่านบทความนี้ก็แล้วกัน  

ผมขอเน้นเรื่องนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า น้อง ๆ ที่จบมาหมาด ๆ เจ้าทำงานใหม่ ๆ ในองค์การ หลายคนไปไม่ถึงฝั่งฝัน ตกม้าตายเพราะปรับตัวไม่ทันกับวิถีชีวิตของการทำงาน ซึ่งมันมีผลต่อโยงไปถึงการสร้างความก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่ว่าแบบนี้ก็เพราะ น้อง ๆ หลายคน ครองตนไม่เหมาะ และหลายเป็นความเคยชินมาจนถึงเวลาก้าวย่างเข้าสู่การทำงาน หลายเรื่องน้อง ๆ เหล่านี้เข้าใจมันไม่ตรงกับเจตนาที่แฝงอยู่ และหลายเรื่องที่น้อง ๆ บางคนก็คิดว่า มันไม่สำคัญอะไรเลย ทั้งที่มันสำคัญมากเช่นกัน  

ซึ่งสภาพแบบนี้ เราไม่ค่อยพบกับนักศึกษากลุ่มเรียนด้วยทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งเสียตัวเองเรียน ด้วยครับ  

ขอฝากเป็นแง่คิดไว้เป็นข้อ ๆ เพื่อให้น้อง ๆ เหล่านักศึกษามืออาชีพทั้งหลายในระหว่างที่เตรียมพร้อมจะจบการศึกษาไปทำงาน รวมทั้งคนที่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการเรียน เอาไว้ลองทบทวนและเตือนสติตัวเองให้มั่นคงก็แล้วกันครับ  

ที่ผมเขียนอาจจะแรงไปนิดสำหรับน้อง ๆ จำนวนหนึ่งที่อาจจะหน้าบางไปหน่อย ไม่กว้าอ่านเอง ขอแนะนำให้เพื่อสนิทหรืออาจารย์ที่ปรึกษาลองอ่านและถ่ายทอดให้ฟังก็แล้วกันครับ  

เริ่มจากเรื่องแรก "หัดเรียนรู้คนหลากหลาย" 

ข้อแนะนำนี้ เป็นเรื่องที่ขอให้น้อง ๆ ทั้งหลายหมั่นเรียนรู้จักคนหลากหลายสายอาชีพ หรือมีเพื่อนหลายคณะ หลายชมรม หลากหลายชั้นปีนั่นเอง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากเลยนะครับ ทั้งในเวลาที่ยังเรียน และในเวลาที่เรียบจบไปแล้ว ในระหว่างที่เรียน การมีเพื่อนที่หลากหลายกลุ่ม เป็นการฝึกปรือทักษะในด้านมนุษยสัมพันธ์ บุคลิกภาพ ทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคล การทำงานร่วมกับคนอื่น และอีกมากมายอะไรทำนองนี้ และมันก็คือการสร้าง connection ที่เราจะสามารถหยิบจับนำมาใช้เมื่อเราจบไปแล้ว เช่น มีเพื่อนเรียนจบสถาปัตย์มา บางทีหัวหน้าอาจจะมาปรึกษาเรื่องการตกแต่งสำนักงานใหม่ ซึ่งคุณไม่รู้ก็สามารถสอบถามปรึกษาเพื่อน เพื่อเสนอกับหัวหน้าได้ มันก็ย่อมดีกว่าการตอบว่า "ไม่รู้อ่ะ" เพราะไม่ได้จบสายนี้มา..... 

ปรับมุมมองเกี่ยวกับอาจารย์ใหม่ 

นักศึกษามืออาชีพทั้งหลาย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยเอกชน ตีค่าอาจารย์เพียงแต่ลูกจ้างบริษัทที่รับจ้างมาสอน แตกต่างจากมหาวิทยาลัยของรัฐที่เป็นข้าราชการอันควรยกย่อง วิธีการปฏิบัติและวิธีคิดของนักศึกษาเหล่านี้ก็แล้วสะท้อนออกมาในลักษณะที่ไม่ค่อยฟังกัน ขาดความเคารพนบนอบ ซึ่งบ่งบอกถึงการด้อยมารยาททางสังคม  

ลองคิดในมุมใหม่สิครับ อาจารย์ทั้งหลายที่มาสอนคือผู้สร้างประสบการณ์ความคิดที่ดีดีกับเรา ทั้งยังสามารถให้คำแนะนำปรึกษาแบบมืออาชีพ หรืออาจจะว่าตามตำราเป๊ะก็ไม่ผิดครับ ถึงจะ "ไม่พอ" แต่มันใช้ได้ทีเดียว ที่สำคัญปรึกษาไม่ได้เสียตังค์ อาจารย์หลายท่านสามารถให้คำปรึกษาแนะนำแบบมืออาชีพเพื่อช่วยไขปัญหาเรื่องการเรียน และเมื่อเรียนจบไปแล้ว ยังนำแง่คิดคำแนะนำไปใช้ในการทำงาน หรือขอคำปรึกษาได้อีกต่างหาก น้อง ๆ อาจจะไม่รู้เลยด้วยซ้ำไปว่า อาจารย์บางท่านเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนทั้งหลายได้ค่าตอบแทนมหาศาล แต่เราสิไม่เคยถามอาจารย์เลย น่าเสียดายจริง ๆ  

แต่หากน้อง ๆ อยากได้อะไรที่ดีจากอาจารย์ แต่ไปตีตนเสมอ คุยเหมือนกับเป็นเพื่อน น้อง ๆ คิดว่าอาจารย์ท่านไหนอยากคุยด้วย หรือยากจะจดจำให้ความช่วยเหลือล่ะครับ  

เรื่องการต่อรอง 

น้อง ๆ ชอบคิดกันว่า พออาจารย์สั่งงานหรือมอบหมายให้ทำการบ้านอะไรก็ตามมากมาก มันต้องต่อรองสักหน่อย อาจารย์ให้งาน 3 วันทำทันเหรอ งานของอาจารย์คนอื่นสั่งมาก็บ้าเลือดแล้ว เรียนมาก็หลายเรื่อง  

และหากต่อรองได้ก็กลายเป็น Hero ของห้องไปเลย  

คิดแบบนี้ ลบไปหน่อยครับ ลบลบแบบนี้ ตอบได้เลยว่า ยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตจริงของการทำงาน 

แต่ในแทบทุกห้องเรียนล่ะครับ จะมีนักศึกษามืออาชีพที่ไม่ติดเงื่อนไขอะไรเลย แม้ว่าทุกวิชาที่เรียนจะมีการบ้านมากแค่ไหนก็ตาม น้อง ๆ เหล่านี้ ไม่ได้ happy กับเพื่อน ๆ ที่ชอบต่อรองกับอาจารย์แล้วภาคภูมิใจเหลือหลายว่าทำให้อาจารย์เลื่อนกำหนดส่งการบ้านออกไปได้ น้อง ๆ ที่สำนึกดี เค้าจะมองว่ามันเป็นเรื่องท้าทายที่เขาจะบริหารจัดการเวลาให้เหมาะสมในเรื่องการเรียนกับการใช้ชีวิต และแน่นอนน้อง ๆ กลุ่มนี้มักใช้เวลาส่วนใหญ่กับการตั้งใจเรียน ตรงข้ามสิครับ น้อง ๆ กลุ่มที่ต่อรองสารพัด ทำไม่ได้ ทำไม่ทันหรอกครับ แตกต่างจากน้อง ๆ กลุ่มที่ตั้งใจทำงานโดยไม่ปริปากบ่นที่ผมว่าไปมากโขเลย ผมถามน้อง ๆ คิดว่าคนกลุ่มไหนหรือที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ได้ดี" กว่ากัน  

ผมเองแนะนำให้น้อง ๆ ปรับเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่...!!!! 

คนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หากไม่นับว่าบารมีพ่อแม่หนุนส่ง หรือเป็นลูกเถ้าแก่ที่คอยรับมรดกความร่ำรวยจากพ่อแม่ แทบจะทั้งนั้นทำงานหนัก ในชีวิตของการเรียนเขาก้มหน้าก้มตาทำงานส่งอาจารย์อย่างไม่ปริปากบ่น และท้าทายตัวเองด้วยการสร้างภาพความสำเร็จที่น่าภูมิใจให้กับตัวเองอยู่เสมอ  

การบ้านของอาจารย์ที่ให้ในเวลากระชั้น ผมเองมองว่าอาจารย์ไม่ได้บ้าเลือกหรอกครับ เพราะแทบจะทั้งนั้นก็ผ่านประสบการณ์กันมาแล้ว ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโทหรือปริญญาเอก อาจารย์ทั้งหลายจึงเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ที่ทำคือต้องการฝึกความอดทนต่อความเครียดและสถานการณ์การทำงานภายใต้เวลาอันจำกัด และบังเอิญอย่างยิ่งที่มันเป็นคุณสมบัติที่บริษัททั้งหลายกำหนดไว้ตั้งแต่ประกาศรับสมัครงานซะด้วยสิ... 

ลองคิดดูให้ดีครับ น้อง ๆ นักศึกษามืออาชีพ มีหน้าที่อย่างเพียว ๆ คือการเรียน หากรับผิดชอบเท่านี้ไม่ได้ จะหวังให้องค์การไว้ใจให้ทำงานใหญ่กับองค์การได้อย่างไรล่ะ หรือวันวันเอาแต่เที่ยวจีบสาว หรือเดินเที่ยว โทรศัพท์หาเพื่อนวันละครั้งวัน ลืมงานที่อาจารย์มอบหมาย ใช้บริการอาจารย์ "Google" copy&paste ความรู้ส่งอาจารย์ หรือทำงานส่งไม่ทันไปลอกเพื่อแบบลวก ๆ เพื่อส่งอาจารย์ แบบนี้องค์การไหนจะมั่นใจให้น้อง ๆ เติบโตในอาชีพการงานล่ะครับ  

อย่าลืมว่า ปริมาณนักศึกษาจบใหม่เอาแค่ระดับปริญญาตรีในแต่ละปี รวมแล้วทุกมหาวิทยาลัยก็มหาศาล....!!! บวกกับคนตกงานที่มีประสบการณ์อีกเยอะ แม้แต่ปริญญาโทยังจบกันเกลื่อน องค์การก็เลยเป็น "สวยเลือกได้" สิครับ จ้างคนจบปริญญาโท ให้เงินเดือนเพิ่มอีกนิดหน่อยเมื่อเทียบกับจ้างปริญญาตรียังงัยก็คุ้ม  

ในโลกการทำงานจริง ๆ นั้น ผมก็เห็นน้อง ๆ หลายคนที่ขาดอะไรหลายอย่างเหล่านี้ กลายเป็นพนักงานขั้นสองในที่ทำงานบริษัทชั้นนำทั้งหลายไป เงินเดือนก็ต่ำกว่า มองยังไม่เห็นความก้าวหน้าในอาชีพการงาน  

เฮ้อ...ตั้งใจเรียนเถอะครับ  

เรียนรู้ความรู้นอกตำรา อย่ายึดติดแต่กับทฤษฎี 

ข้อนี้มักเป็นความจริงที่คนทำงานทั้งหลายมักเอ่ยปากว่า พอไปทำงานจริง ตำราทั้งหลายที่เรียนมาแทบจะไม่ได้ใช้  จริงจริงก็ไม่ทั้งหมดครับ เพียงแต่ในระดับของการปฏิบัติงาน ตำราไม่ได้บอกละเอียด เพราะตำราให้แนวคิดพื้นฐานเสียมากกว่า ซึ่งว่าไปแล้ว องค์ความรู้ที่มีบอกไว้ในตำราที่น้อง ๆ เรียน มันอาจจะไปตรงกับความต้องการของผู้ปฏิบัติงานระดับสูงขึ้นไปสักนิด ที่จะต้องใช้ความรู้พวกนี้มาประยุกต์เอากับการทำงานจริง  ตำราจึงให้วิธีการปฏิบัติงานที่ค่อนข้างหยาบ  นี่คือเหตุผลที่ผมสนับสนุนให้น้อง ๆ เรียนรู้อะไรนอกตำราเรียนไว้บ้าง

ในโลกของความเป็นจริง ความรู้ที่เราใช้ในการทำงานมีหลากหลายนอกจากตำราเรียนครับ  คนทำงานมักพึ่งพิงหนังสืออีกแบบหนึ่งที่เราเรียกกันว่า “know how” หรือเทคนิควิธีการทำงานนู่น นี่ นั่น เสียมากกว่า ซึ่งบอกเรื่องที่เป็นวิธีการของการทำงานจริงมากขึ้น  ซึ่งบางเล่มก็ให้ทั้งแนวคิด+วิธีปฏิบัติที่นำมาใช้แล้วเป็นผลสำเร็จในบางองค์การ  หากถามว่า Know how พวกนี้คืออะไร ผมคิดว่ามันก็คือภาคปฏิบัติจากทฤษฎีหรือแนวคิดที่นำมาปรับใช้ในบางสถานการณ์ขององค์การที่ได้ผลแล้วนำมาแนะนำบอกต่อนี่เอง  การอ่านหนังสือพวกนี้ จะช่วยให้น้อง ๆ ได้เรียนรู้โลกของการทำงานที่ชาวบ้านเขาทำกัน ซึ่งให้แนวคิดที่ลุ่มลึกมากขึ้นกว่าตำราที่บางทีอาจารย์อาจจะเขียนให้นักศึกษาปีนบันไดอ่าน กระทั่งทำให้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยไม่อยากจะอ่านไปเลย    

แต่การเรียนรู้ทฤษฎีก็ไม่มีอะไรเสียหาย ตรงกันข้าม หากน้อง ๆ สามารถทำความเข้าใจทฤษฎี หรือแนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างเข้าใจ ก็ย่อมเป็นประโยชน์ทั้งในการศึกษาต่อ และการนำมาคิดต่อยอด 

น้อง ๆ ที่อยากจะสร้างความพร้อมของตัวเองสำหรับการทำงาน และเรียนรู้เพื่อให้ได้แง่มุมความคิดที่หลากหลายลุ่มลึก จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องอ่านหนังสือแบบที่ว่านี้ด้วยครับ อ่านคู่กันกับตำราเรียนหลักนั่นล่ะดี ผมคิดว่า ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทั้งหลายมีหนังสือเหล่านี้จำนวนมาก และมากกว่าตำราเรียนที่อาจารย์แนะนำให้อ่านเสียด้วยซ้ำ  

อีกเรื่องหนึ่งที่น้อง ๆ มักจะพบคือการที่อาจารย์สอนโดยใช้กรณีศึกษาหรือ Case Study มันเป็นยังงัย ดีตรงไหนล่ะ  

ผมคิดว่าอาจารย์แทบจะร้อยทั้งร้อย จะพยายามหยิบยกตัวอย่างกรณีศึกษามาอธิบายประกอบกับแนวคิดทฤษฎีที่นำมาพูดถึงในชั้นเรียน  เพียงแต่ในระดับปริญญาตรี เนื่องจากอาจารย์ก็อยากให้พื้นฐานแนวคิดที่แน่นแน่นกับนักศึกษาเสียก่อน จึงมักจะว่ากันตามตำราเป็นส่วนใหญ่ จะยกกรณีศึกษามากล่าวถึงก็เกรงนักศึกษาจะไม่เข้าใจ เพราะนักศึกษาแทบจะไม่ค่อยได้เรียนรู้โลกของการทำงาน ทำนองว่า มันยังไม่ถึงเวลา  

อาจารย์ก็คิดน้อยไปหน่อย ว่ากันแล้ว กรณีศึกษาเป็นวิธีการนำเสนอเนื้อหาของการเรียนการสอนอีกวิธีหนึ่ง ทักษะ วิธีการนำเสนอในการสอน และเนื้อหาที่เคลียร์ของอาจารย์ต่างหากที่จะช่วยให้นักศึกษาเข้าใจ อาจารย์ก็ต้องทำการบ้านนิดนึงครับ เพราะโลกการทำงานของอาจารย์จริง ๆ มันไม่ได้แก้ไขปัญหาในการทำงานสารพัดพอที่จะสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยการทำงานของอาจารย์เอง เว้นเสียแต่อาจารย์จะไปเป็น consult ให้กับองค์การเอกชนทั้งหลาย แต่ทว่าหากอาจารย์ไม่เก่งจริง คงไม่มีใครจ้างครับ  

อย่าละเลยที่จะทำกิจกรรมระหว่างเรียน 

น่าเสียดายที่น้อง ๆ หลายคนไม่ค่อยจะสนใจทำกิจกรรมระหว่างเรียนบ้าง  น้อง ๆ ที่เป็นนักศึกษาเต็มเวลามักพบว่า มหาวิทยาลัยทั้งหลาย มักจะมีกิจกรรมนอกหลักสูตร เรียกว่ากิจกรรมชมรมบ้าง กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์หรือกิจกรรมการให้บริการทางวิชาการกับชุมขนมากมายไปหมด มีทั้งกิจกรรมภายในรั้วมหาวิทยาลัยและที่จะต้องออกไปพบปะชาวบ้านภายนอกบ้าง กิจกรรมเหล่านี้ สอนให้น้อง ๆ  นอกจากจะเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตกับคนอื่นหรือคนหมู่มาก ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมคณะหรือต่างคณะก็ตาม บางทีก็เป็นคนที่มาจากต่างสถาบัน สอนให้เราได้เรียนรู้จักวิธีการทำงานเป็นคณะ เป็นทีม การปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความเห็น การโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นด้วยกับความคิดเรา และยังช่วยให้น้อง ๆ ได้เห็นโลกอีกหลายมุมมองที่น้องอาจจะไม่เคยพบเลยตั้งแต่เริ่มโตเป็นหนุ่มสาว  หลายกิจกรรมที่ต้องไปช่วยเหลือบำเพ็ญประโยชน์ สอนให้เรามีจิตสำนึกที่ดีงามต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่าจิตสำนึกสาธารณะ ซึ่งมักจะเป็นสิ่งที่ขาดหายไปในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวยุคนี้  รู้จักเอื้ออาทรแบ่งปันระหว่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ช่วยปรับวิธีคิดวิธีการครองตัวของน้อง ๆ ได้มากทีเดียว  แต่ก็มีน้องๆ จำนวนไม่น้อยที่มีโลกส่วนตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ไม่สนใจกิจกรรม เอาเป็นว่าฉันตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว ก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันน้อยไปหน่อย ทบทวนมุมมองบ้างก็ดีเช่นกัน.... 

เข้าใจมารยาทสังคม 

ข้อผิดพลาดที่น้อง ๆ อาจจะไม่ได้คิด หรือคิดน้อยไปหน่อย จนทำให้ปรับตัวไม่ทันเวลาที่ไปทำงานจริง ทำให้เกิดความอึดอัดอย่างมากเลยได้แก่ life style ของชีวิตนักศึกษาที่แตกต่างจากคนทำงาน ความอึดอัดนี้เป็นมรดกของความเคยชินสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษามืออาชีพครับ  เพราะเราอยากจะตื่นตอนไหนก็ได้  ไปดูหนังกับเพื่อนหรือแฟนมาดึก กลับถึงหอพักไปเรียนไม่ทันก็ลาอาจารย์บอกว่าป่วย ไม่ต้องไปจริงจังกับเรื่องใบรังรองแพทย์ เว้นเสียแต่ช่วงสอบที่ต้องเป็นเรื่องอยู่บ้าง  หาเหตุผลมาอธิบายสารพัดกับอาจารย์สักนิดก็พอได้ แต่กับที่ทำงานมันไม่ได้ครับ  

อยากให้น้อง ๆ ลองดูตัวอย่างจากเรื่อง “Do&Don’t ในวันทำงานที่ผมนำเสนอไว้ในเวบสิครับ (คีย์คำนี้ใน google ก็เจอ !!!)  ลองคิดดู จะเห็นว่าแหมมันเรื่องมากนะ จริงครับ มันคือมารยาทในการทำงานที่น้องจะต้องปรับตัวให้ได้ จะถือว่าฉันเป็นของฉันแบบนี้ไม่ได้ครับ เพราะบริษัทหรือองค์การทั้งหลายก็จะบอกว่า งั้นคุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะบริษัทก็เป็นของบริษัทแบบนี้เหมือนกัน ก็ตกงานสิครับ....!!! อยากให้น้อง ๆ เรียนรู้จากที่ผมแนะนำให้ไปอ่านเข้าไว้บ้าง สร้างความคุ้นเคยไว้ก็ไม่เสียหายหรอก เพราะมันจะได้นำไปใช้จริง ๆ เวลาไปทำงาน หรือจะใช้มันในระหว่างเรียนก็ไม่เสียหาย เพราะมันเป็นมารยาทสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกัน เช่น เรานิยมตั้งโทรศัพท์ระบบสั่นในที่ทำงาน  แต่ในห้องเรียนสิ โชว์เต็มที่ เสียงเรียกเข้าแบบใหม่ เร่งเสียงให้ดังเข้าไว้  หากไปอยู่ในที่ทำงาน อาจจะโดนหัวหน้างานตำหนิว่า ไม่มีมารยาท...ไปเปิดที่บ้านไป๊  ก็ได้นะครับ       

ฝึกความทดทนและรับผิดชอบให้มากเข้าไว้  

คาถาของคนทำงานที่ประสบความสำเร็จก็นำมาใช้กับการเรียนได้ครับคือ อดทนและรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ในหน้าที่ของการเรียนก็พยายามเรียนให้ดี ทำหน้าที่ให้ครบให้ตรงกับบทบาทของตัวเอง  นักศึกษผู้ชายไม่มีหน้าที่ไประเบิดหูเพื่อใส่ต่างหูรูเบ้อเร้อฉันใด ในการทำงานเชื่อว่าหัวหน้าทั้งหลายก็ไม่ได้ปลื้มฉันนั้นล่ะครับ เพราะบางทีมันก็มากเกินไป นอกเสียจากไปทำงานส่วนตัวหรือทำงานบริษัทแฟชั่นอะไรทำนองนั้นก็อาจจะไม่ว่ากัน แต่หากคุณต้องไปพบลูกค้า มันจะเหมาะหรือเปล่าล่ะ...  

ความอดทนและรับผิดชอบที่ผมว่าไป ทำง่าย ๆ ด้วยการตั้งหน้าตั้งตา ในเรื่องตอนก่อนผมแนะนำว่า การต่อรองส่งการบ้านนี้ ก็เป็นหนึ่งตัวอย่างที่ไม่ควรทำ ด้วยเหตุผลที่ผมยกตัวอย่างไป  

ขอเล่าเรื่องเล็ก ๆ ให้น้อง ๆ ฟังนิดหน่อยพอเป็นกระษัยว่า เคยมีการสำรวจชั่วโมงการฝึกฝนตัวเองของนักกีฬาหรือนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของ Malcolm Gladwell ในหนังสือเรื่อง “Outliers: The Story of Success” เค้าพบว่า คนในอาชีพดังที่ว่าที่ประสบความสำเร็จต้องฝึกฝนตัวเองไม่น้อยกว่า 10,000 ชั่วโมง ตีซะว่าหาดเค้าจะต้องฝึกซ้อมกีฬาหรือดนตรีวันละ 2 ชั่วโมง เค้าต้องใช้เวลามุมานะทุกวันถึง 14 ปีเชียวนะครับ  คำถามที่ถามกลับคือ เวลา 2-3-4 ปีระหว่างเรียนปริญญาตรีนี่  น้อง ๆ ได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งอะไรบ้าง นั่นล่ะคือคุณค่าที่น้อง ๆ จะต้องคิดสร้างให้กับตัวเอง แม้จะไม่ต้องไปเดินตามเค้าเสียขนาดนั้นก็ตาม

เกรดนี่ล่ะสำคัญ 

สุดท้ายท้ายสุดที่อยากให้ข้อคิดคือเกรดนี่ล่ะสำคัญ หลาย ๆ คนมักคิดว่าเรียน ๆ ไปพอให้จบจบ น่าตกใจที่น้อง ๆ หลายคนมาสมัครงานด้วยเหรดเฉลี่ยจากมหาวิทยาลัยเอกชน 2 นิดนิด แทบจะไม่จบหลักสูตร  เหล่า Recruiter หรือเจ้าหน้าที่สรรหาของบริษัทใดแค่เปิดเห็นประวัติการศึกษาและผลการเรียนก็แทบจะปิดไม่ต้องดูแล้วครับ  

ทำไมหรือ...มันสะท้อนถึงความอดทนและรับผิดชอบตามหน้าที่  แม้แต่คนที่ต้องทำงานด้วยเรียนด้วย เราก็ยังคิดว่าผลการเรียนก็สำคัญ ไม่ใช่เรียนให้พอจบไปเพื่อทำงานอย่างเดียว  อย่าลืมครับ บริษัททั้งหลายเค้าเป็นประเภท สวยเลือกได้นะครับ ก็คนจบมาแต่ละปีมหาศาล  ที่เปลี่ยนงานหรือตกงานก็แทบจบหลายสิบคันรถ  องค์การก็สามารถเลือกได้ และก็เลือกง่าย ๆ จากผลการเรียนนี่ล่ะ  

ผมการเรียน ยังบอกกถึงระดับสติปัญญาและความสามารถในการเรียนรู้ของน้อง ๆ ด้วยเช่นกัน  บริษัทมักใช้เป็นข้อมูลประกอบที่สำคัญตัวหนึ่ง ควบคู่ไปกับประสบการณ์การของการทำงาน หรือการทำกิจกรรมระหว่างเรียน แต่หากให้น้ำหนักแล้ว ประสบการณ์การทำงานซึ่งอาจจะเป็นงาน part-time ก็ได้ ก็ย่องจะมีภาษีดีกว่า เพราะกิจกรรมระหว่างเรียนระหว่างศึกษานั้น บริษัทเค้าไม่เห็นด้วยซะหน่อยนี่ครับ จะบอกอะไรมาก็ว่าไป เพราะมันตรวจสอบยาก แต่การทำงานนี่สิ แค่ยกหูสอบถาม หรือดูจากหนังสือรับรองการทำงานก็เห็นชัดเจนแจ่มแจ๋ว  

น่าเสียดายอีกนั่นล่ะที่น้อง ๆ ที่ใช้เงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายหรือตั้งใจสร้างผลการเรียนหรือเกรดที่ดี จึงขอย้ำนะครับว่า เกรดนี่ล่ะสำคัญมาก  

อย่าปล่อยให้ชีวิตของนักศึกษามืออาชีพผ่านไปโดยที่ไม่ได้สร้างคุณค่าให้กับตัวเอง....เพราะเวลามันเอาคืนมาไม่ได้ ชีวิตไม่สามทรถ undo ได้เหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ครับ    

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น