วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประชุมและทำงานเป็นทีมให้มีประสิทธิภาพด้วย Decision Rights Tool

หลายตอนก่อนหน้านั้น ผมได้นำเสนอแนวทางในการประชุมให้เกิดประสิทธิภาพและได้ผลดี  เรียกได้ว่าเป็น “know-how” ที่ผู้รู้หลายท่านบอกไว้  ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการปฏิบัติเพื่อให้การประชุมเป็นไปได้ด้วยดี  ครานี้ก็มีคำถามว่า แล้วมันมีเครื่องมือทางการบริหารจัดการ (management tools) อะไรหรือเปล่าที่จะช่วยให้การประชุม หรือสามารถนำมาใช้เพื่อให้การประชุมเป็นไปโดยเกิดผลลัพธ์ตามที่ประสงค์  

 ผมเห็นว่า เครื่องมือหนึ่งที่เราสามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ แล้วน่าจะได้ผลดีก็คือ “Decision Rights Tools” นี่ล่ะครับ  

Decision Rights Tools เป็นเครื่องมือของการจัดการที่ Bain & Company ได้ทำการสำรวจและคัดเลือกแล้วว่าเป็น 1 ใน 25 เครื่องมือทางการจัดการสมัยใหม่ที่ยอมนิยม ได้รับการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย  แต่ในแวดวงการบริหารจัดการของบ้านเรา ผมว่ามันยังไม่น่าจะคุ้นเคยเท่าไรนัก ดร.พสุ เดชะรินทร์ บอกว่า โดยหลักการแล้วเป็นเรื่องที่จะทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ ขององค์การมีความชัดเจน มีระบบ มีผู้รับผิดชอบเรียกว่า เจ้าภาพที่มีบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน   ซึ่งโดยหลักการพื้นฐานแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร   

หลักการของ Decision Rights มีอยู่ว่า ในการทำงานด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทีม หรือการประชุมกันนั้น จะต้องมีการแบ่งแยกหน้าที่กันให้ชัดเจนระหว่างสมาชิกที่เข้าร่วม หรือทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดสินใจ  โดยการมอบหมายนี้ จะรวมถึงทั้งบทบาทความรับผิดชอบอย่างน้อย 1 ใน 5 หน้าที่ต่อไปนี้  

(1) หน้าที่ผู้ให้ข้อเสนอแนะ “Recommend” คนคนนี้ จะทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจากบุคคลต่าง ๆ พร้อมกับให้ข้อเสนอแนะต่อสิ่งที่กำลังตัดสินใจกันอยู่ของกลุ่ม  

(2) หน้าที่ผู้เห็นชอบ “Agree” คนคนนี้ จะทำหน้าที่ในการเห็นชอบกับข้อเสนอต่าง ๆ ซึ่งย่อมมีความสามารถในการถ่วงเวลาข้อเสนอได้เช่นกัน  คนที่ทำหน้าที่นี้ จะต้องมีคุณลักษณะอย่างไรครับ ??.... ท่านผู้อ่านลองคิดดู.... 

(3) หน้าที่ผู้กระทำ “Perform” เป็นคนที่มีความรับผิดชอบในการทำงานตามที่ได้รับมอบหมายและการตัดสินใจที่เกิดขึ้นให้เกิดผลในทางปฏิบัติ  

(4) หน้าที่ให้ข้อมูล “Input”  คนคนนี้ จะทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อเท็จจริง ประกอบกับความคิดเห็นของตนเอง เพื่อให้ข้อมูลกับผู้ให้ข้อเสนอแนะ สามารถรวบรวมและประมวลข้อมูลเป็นข้อเสนอแนะต่อที่ประชุม ต่อกลุ่มได้   คนที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลนี้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ หรือสามารถเข้าถึงข้อมูล ความรู้ต่าง ๆ  ที่มีความจำเป็นต่อการเสนอแนะและการตัดสินใจได้  คนที่ทำหน้าที่นี้ จึงต้องคัดเลือกหรือกำหนดให้ดี  อาจจะต้องดู competency ของเขาประกอบด้วย  

(5) หน้าที่ในการตัดสินใจ “Decide” คนคนนี้ จะทำหน้าที่ในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย และเป็นผู้ขับเคลื่อนที่ทำให้ผลการตัดสินใจนั้นไปสู่การปฏิบัติ แล้วคุณคิดว่าคนคนนี้ น่าจะเป็นใครที่กลุ่มหรือในที่ประชุมกลุ่มนั้น  ในทางปฏิบัติ Decider นี้ จะมีคนเดียวเท่านั้นครับ  

ในทางปฏิบัติจริง หากมีผู้เข้าร่วมประชุมทีม หรือในกลุ่มมีสมาชิกหลายคน  คนที่ทำหน้าที่ในแต่ละบทบาทก็ต้องมีมากกว่า 1 คนแน่นอน ยกเว้น Decider หรือผู้ที่ทำหน้าที่ในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย จะมีคนเดียวเท่านั้น  ห้ามมีมากกว่านี้ !!  แต่จะเป็นใครที่ทำหน้าที่อะไร เราก็คงต้องเลือกใช้คนให้เหมาะสมล่ะครับ  จะดูตามโหงวเฮ้ง หรือดูจากความสามารถที่สัมผัสได้ก็ว่ากันนะครับ  

สิ่งที่สำคัญมากก็คือ การกำหนดบทบาทและขอบเขตของหน้าที่ให้ชัดเจนครับ
 

คำถามก็คือ เราจะต้องกำหนดแบบนี้ทุกสถานการณ์หรือเปล่า  ตอบว่า ไม่ครับ  ควรจะต้องเลือกเฉพาะในสถานการณ์ที่สำคัญเท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะสร้างปัญหาในแง่ความรวดเร็วของการตัดสินใจขึ้นได้

ข้อดีของการนำเครื่องมือ Decision Rights นี้มาใช้ก็คือ  

1) ทำให้ปัญหาการกระจุกตัวของการตัดสินใจ ที่มักจะรวมอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งหมดไป เพราะกรอบหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจนี้ได้รับการกระจายไปยังแต่ละคนแล้ว  

2) มันเป็นวิธีหนึ่งในการเปิดโอกาสให้คนที่เข้าร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  ซึ่งตรงนี้แหละครับ จะเป็นส่วนหลักที่สร้างพันธะ หรือ engagement ของเขากับกลุ่ม ตลอดจนถึงองค์การในภาพรวม 

3) สร้างการมีส่วนร่วมของการถกเถียงอภิปรายกันให้เกิดข้อสรุปของงานจากการตัดสินใจอย่างจริงจัง  ไม่มานั่งประชุมหารือกันเพียงพยักหน้าหรือส่ายหน้าแล้วก็จบไปเท่านั้น  

เพียงแต่ผมกังวลว่า หากนำเครื่องมือนี้มาใช้กับสไตล์การบริหารของคนไทยจะ OK หรือเปล่า โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดบทบาทที่เจาะจงให้เล่นกับสมาชิกของกลุ่มหรือผู้ที่เข้าร่วมประชุมกลุ่มกัน เพราะมันอาจจะดูเป็นการฝืน และออกเชิงบังคับกันมากเกินไปหรือเปล่า  ซึ่งก็คงต้องคิดในแง่บวกกันนะครับ เพราะเรื่องแบบนี้ หรือเรื่องอะไรก็ตาม มันมักมีสองมุมมองให้คิดเสมอ  

หากเรามองเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นปัญหา มันก็ปวดหัวที่จะต้องหาทางแก้ และแน่นอนเราจะไม่มีความสุขที่จะต้องรับมือกับมัน แต่ความจริงนั้น เราก็หนีมันไม่พ้นสักที  แต่หากมองมันเป็นโอกาสของการเรียนรู้เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเอง  ซึ่งก็มีหลายเรื่องที่เรายังไม่รู้ เราก็จะสนุกกับมัน เพราะมันไม่น่าเบื่อ แต่มันช่างน่าค้นหา 

แน่นอนว่าส่วนที่ยังไม่เหมาะสมหรือไม่ลงตัวก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับปรุงครับ     

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น