แต่จะทำอย่างไรล่ะครับ เพราะฟังดูเหมือนเรื่องนี้ เข้าใจได้ง่าย
แต่ทำยากไม่น้อย เพราะสภาพแวดล้อมของการบริหารมันซับซ้อน และการที่จะเลือกเอาตัวแบบทางการจัดการที่เค้าค้นคว้าวิจัยกันไว้มาปรับใช้
ก็มักมีเรื่องให้คิดอยู่เสมอ ความยุ่งยากที่ว่านี่ล่ะครับ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการปฏิบัติทดลองใช้ เกิดเป็น best practices ทางการจัดการหลายกรณี
กระทั่งสามารถสร้างความเชี่ยวชาญถึงระดับที่ผมเคยยกตัวอย่างว่า Dr.
Lynda Gratton เธอเป็นศาสตราจารย์ด้าน
Management Practices ของมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษเลยทีเดียว
หากจะให้ผมค้นหาคำตอบมาอธิบายต่อท่านทั้งหลาย
ว่าจะทำอย่างไรจึงจะให้องค์กรมีรูปแบบการบริหารและการจัดการเพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพนั้น น่าจะต้องว่ากันยาวมาก และผมเองก็เชื่อว่า
มีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในภาคปฏิบัติงานจริง
ได้นำเสนอไว้ในโลกของการนำเอาทฤษฎีมาปรับทดลองใช้มากมายนัก ในบทความนี้
ผมจึงขอนำเสนอแนวคิดพื้นฐาน (fundamental approach)
เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้น่าจะเหมาะกว่านะครับ
ในบทความสั้น ๆ เรื่อง
“Striving
for High Performance through Operational Excellence” เขียนโดย Sherree DeConvey ตีพิมพ์ในวารสาร
Harvard Business Review เมื่อปี 2009 ได้พูดถึงงานของ Accenture
บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำยักษ์ใหญ่ด้านการพัฒนาองค์กร ได้นำเสนอให้ผู้บริหารและผู้จัดการทั้งหลายได้พินิจใคร่ครวญกับ
3
แนวคิดพื้นฐานของการสร้างผลการปฏิบัติงานที่ยอดเยี่ยมโดยอาศัยความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน
ผมขอนำเสนออย่างสังเขป ลองติดตามกันดูครับ
และแน่นอนครับว่า ในบทความที่ผมนำเสนอนี้ จะยังไม่อธิบายถึงว่า ความหมายของ
“ความเป็นเลิศในการปฏิบัติงาน” คืออะไร
ท่านผู้อื่นลองค้นหาข้อมูลมาทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันในอีกทางหนึ่งดีมั้ยครับ
- แนวคิดการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous
Improvement Approach)
เรามักได้ยินแนวคิดนี้กันทั่วไป
และจัดได้ว่าเป็นแนวคิดยอดนิยมในการนำมาใช้เพื่อสร้างความเป็นเลิศทางการปฏิบัติงานเลยทีเดียว
และที่สำคัญ แนวคิดนี้
มักจะออกมาในรูปของแนวคิดริเริ่มเล็ก ๆ (small-scale initiatives)
ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องให้กับองค์กรได้
และก็มีแนวโน้มที่เป็นธรรมชาติมากกว่าการเปลี่ยนแปลงโดยใช้เครื่องมือการจัดการใหญ่
ๆ มาครอบ เช่น Lean Six Zigma หรือความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
(process optimization)
- แนวคิดการแทรกแซงที่มีเป้าหมาย (Targeted Intervention
Approach)
แนวคิดนี้
ได้รับความนิยมนำมาใช้ในกรณีที่องคืกรได้รับแรงกระตุ้นให้เปลี่ยนแปลงจากภายนอก
เช่น การแข่งขันอย่างรุนแรงในตลาด หรือโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโตขององค์กร โดยมักจะมุ่งเน้นให้เกิดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่เจาะจงชัดเจน หลายบริษัท เลือกใช้แนวคิดพื้นฐานนี้
เพื่อต้องการกำหนดขนาดของการเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นทีละเรื่องทีละคราวไป
ไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรครั้งเดียวเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ที่เรียกว่า “big
change” เลย เช่น จัดตั้งศูนย์บริการร่วม (shared service
unit) เป็นต้น
ที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงที่มีเป้าหมายนี้
ก็จะพยายามไม่ให้การปฏิบัติงานที่ดำเนินอยู่มีปัญหามากนัก ตัวอย่างเช่น
บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ประกอบอาหารแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
ใช้กลยุทธ์การสร้างความสอดคล้องของกลยุทธ์องค์กร กับกลุยทธ์ระดับโลก (global strategy) จากนั้นก็มายกเครื่องระบบโซ่อุปทาน (supply chain overhaul) และใช้ตัวแบบการจัดการคนเก่งใหม่ ๆ
เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการสร้างและรักษาพนักงานที่มีความสามารถสูง
- แนวคิดโปรแกรมการเปลี่ยนผ่าน (Transformation
Program Approach)
แนวคิดนี้ นำมาใช้สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่
โดยความมุ่งหมายที่จะปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงาน (Operational Model)
รวมทั้งอาจจะมีการยกเครื่ององค์กร “งานใหญ่” ตามมากันค่อนข้างบ่อยครั้ง แนวคิดนี้
ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์กรขนานใหญ่และเกิดอย่างรวดเร็วที่สุด
เพื่อให้รองรับการแข่งขันในโลกธุรกิจที่เป็นไปอย่างรุนแรงรวดเร็ว วิธีการเช่นนี้ มักจะริเริ่มมาจากฝ่ายบริหาร
ไล่ลงไปถึงระดับล่าง
เพื่อจำกัดหรือควบคุมความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในระดับที่รับได้และเกิดประโยชน์กับองค์กรสูงสุด
ยกตัวอย่างแนวคิดนี้ได้แก่
บริษัทยักษ์ใหญ่ที่จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
สร้างโปรแกรมหลายอย่าง ด้วยการตั้งบริษัทลูกในหลายประเทศขึ้นมา
พร้อมกับการว่าจ้างบริษัทจ้างเหมาภายนอก (outsource)
มาช่วยบริหารและจัดการงานบางอย่าง เช่น การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ไอที
รวมทั้งงานด้านการเงิน เป็นต้น
เชื่อว่า บทความนี้ จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่านบ้างนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น