วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

6 เรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกันในที่ทำงาน

สัปดาห์ก่อนที่รถเสีย ต้องใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเช่นรถแท็กซี่ ที่มีวิ่งกันเกลื่อนเมืองกระทั่งในช่วงเวลากลางวัน มองไปทางไหน โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่รถติดกันเป็นเรื่องปกติ และในบรรดารถที่เข้าแถวเรียงรายกันออกจากแยกไฟแดง ก็มีรถที่ให้บริการเช่นนี้เกินกว่าครึ่ง  การอภิปรายหนึ่งที่โชเฟอร์ผู้ฝักใฝ่ในข้อมูลข่าวสารเปิดฉากคุยกับผมคือเรื่องการเมือง ตามติดด้วยเรื่องดาราทะเลาะกัน  ด้วยความที่ไม่ชอบเสวนาเรื่องประสาเช่นนี้  คนนั่งที่ใช้บริการอย่างคาดหมายไม่ได้เช่นผม ก็เลยต้องทนนั่งฟังและสนทนาคล้อยตามไปบ้างอย่างมิให้เสียมารยาท แต่พลันใดนั้น ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า หากเปรียบเทียบรถสาธารณะที่กำลังนั่งนี้ กับองค์กรที่ทำงานของเรา เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่น่านำมาถกเถียงแสดงมุมมองกันหรือเปล่า ? หรือมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ที่ไม่น่าจะต้องมาพูดถึงกัน ?
 
เรื่องเล็ก ๆ จากเบาะหลังคนขับแท็กซี่ ก็เลยกลายมาเป็นบทความนำเสนอท่านผู้อ่านในประการฉะนี้
 
จากที่อารัมภบทไป ผมอยากเสนอมุมมองส่วนตัวว่า การพูดจาสนทนากันในสำนักงานนั้นที่คนทำงานร่วมกันไม่ว่าจะมากหรือน้อยนั้น ก็มีบางเรื่องที่ตามมารยาทแล้ว ไม่ควรนะมาพูดคุยอภิปราย (discuss) กันเลย เพราะดีไม่ดีอาจนำไปสู่ความคับข้องหมองใจระหว่างกัน บั่นทอนสายสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างกันลงไปได้  เนื่องเพราะบางเรื่องออกจะอ่อนไหวกับความคิดความรู้สึก บางเรื่อง  ก็อาจจะยากเกินความเข้าใจ และไม่ปรากฏในการรับรู้ของคู่สนทนา ขณะที่บางเรื่องก็ไม่มีประโยชน์ใดกับงานที่ควรจะต้องพูดถึงเอาเสียเลย  โดยหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าไม่น่าจะนำมาเม้าท์กันในองค์กรได้แก่ 6 เรื่องดังนี้   
 
1.    ความเชื่อทางศาสนา   ทุกศาสนาต่างสอนให้คนที่ศรัทธานับถือเป็นคนดีกันทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาจับกลุ่มวิจารณ์การนับถือศาสนาของคนอื่นในที่ทำงาน  ผมมองว่า การนับถือศาสนาเป็นการมุ่งมองหาความสงบของจิตใจที่เป็นเรื่องส่วนตัว และอ่อนไหวไม่น้อยกว่าเรื่องการเมืองแต่อย่างใด  เราจึงไม่ควรไปพูดจาพาดพิงความเชื่อของใคร เพราะนั่นอาจจะจุดประเด็นความไม่พอใจอย่างแรงกล้าระหว่างคนทำงานด้วยกันขึ้นก็ได้ ถึงท่านผู้อ่านไม่เชื่อ ผมก็ไม่แนะนำให้ลองครับ        
2.    การเมือง โลกทัศน์ทางการเมืองของแต่ละคนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหวทางอารมณ์อย่างมากเลยนะครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใกล้การเลือกตั้งที่คนเราก็มักมี “ใคร” ในใจเสมอ ยิ่งในประเทศตะวันตกที่ระบบพรรคการเมืองสองพรรคเข้มแข็ง เช่น สหรัฐอเมริกา ก็จะมีสองคนแข่งขันกันตามกติกาประชาธิปไตยเพื่อเข้าสู่อำนาจ จึงมีพวกที่สนับสนุนและพวกที่ต่อต้านเห็นกันได้ชัด  และก็มีแนวโน้มที่คนจะไม่ชอบคนอื่นที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างจากตน จึงไม่ควรคุยเรื่องการเมืองเอามีปนเปกับการทำงานครับ   
3.    ชีวิตรักทางลบ   ชีวิตรักในทางลบในที่นี้ ผมขอเจาะจงไปหมายถึงปัญหาเรื่อง “บนเตียง” ครับ โปรดอย่าเข้าใจว่าผมมีเจตนาไม่เหมาะ เพียงแค่อยากเล่าความเป็นจริงที่หลายคนมักหลงลืมเท่านั้น  สาว ๆ หลายคน แอบนินทาสมรรถภาพทางกายของคุณสามีกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทเสียจนเคยปาก  คุณผู้ชายบางคน เล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า แอบหาเศษหาเลยเพราะคนที่บ้านขาดความสามารถในการตอบสนองอย่างที่ต้องการ บอกตามตรงเรื่องเหล่านี้ไม่มีใครสนใจอยากฟังหรอกครับ หากจะต้องฟังก็ด้วยรักษามารยาทมิให้ท่านต้องเสียน้ำใจที่เล่าให้ฟังเท่านั้น   ลองหันกลับมามองอีกมุมสิครับ  ปัญหาเรื่องครอบครัว ตีความได้ว่าคือจุดอ่อนที่ส่งผลกระทบต่องานของท่านใช่หรือไม่ ? และหากวันใดทีท่านกับเพื่อนเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนรักเป็นเพื่อนแค้น ท่านก็อาจจะได้รับคำขู่และการแบบเล่าให้บุคคลที่สามฟังลับหลังอย่างที่ท่านเองก็ไม่อยากฟัง สรุปแล้ว เล่าไปไม่มีส่วนใดที่เป็นผลดีเลย   
4.    นินทาคู่ชีวิต  ครอบครัวหรือพ่อแม่ หากท่านมีครอบครัวแล้ว ปัญหากับคนที่บ้านเป็น “เรื่องส่วนตัว” ที่ต้องเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ โบราณว่าไว้ การใช้ชีวิตแบบครอบครัวนั้น “ความในท่านไม่ให้นำออก...ความนอกไม่ให้นำเข้า”  นัยยะคือ อย่าได้นำเรื่องราวของเราไปเล่าให้ใครเค้าฟัง ปัญหาเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไข ไม่ใช่ใครคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวอยู่นั่นเองครับ และการมัวแต่สนใจคนอื่น ย่อมเสียเวลาไปกับการให้ความสนใจกับคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวไปอย่างน่าเสียดาย    
5.    ความปรารถนาในอาชีพ คนทำงานทุกคน ต่างก็ใฝ่ฝันที่จะมีอาชีพในวิถีทางที่ตนเองชอบหรือรักที่จะทำทั้งนั้นล่ะครับ ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็อยากเป็นนักเขียน เขียนหนังสือแนวสบาย ๆ เพื่อให้แรงบันดาลใจคนทำงาน หลายท่านก็อยากทำงานเป็นที่ปรึกษาเพื่อใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยเหลือองค์กรอื่น  หลายท่านก็อยากประกอบธุรกิจเล็ก ๆ ส่วนตัวเพราะเบื่อหน่ายกับการทำงานกินเงินเดือน และอาจจะชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ละเดือน  ไม่ว่าความใฝ่ฝันของท่านจะเป็นอย่างไร  แรงกล้าเพียงไหน ก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ หรือนำไปถกแถลงกันในที่ทำงาน เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการเปิดช่องให้คนอื่นมองว่าท่านไม่ได้ภักดีกับองค์กร หรือขาดความรู้สึกผูกพันในงานอีกต่อไปก็ได้ แม้ท่านจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ก็ตามที  หากท่านมุ่งมั่นที่จะเติบโตในสายอาชีพภายในองค์กร ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องบอกใครต่อใคร เพราะ “การกระทำดังกว่าเสียง” เสมอ แต่กระนั้น การมีความคาดหวังในงานก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่บอกให้หัวหน้ารู้ว่าท่านต้องการเติบโตในอาชีพ จากนั้นก็พิสูจน์ว่าท่านทำได้ ก็เพียงพอแล้ว อย่าไปเที่ยวพูดกับใคร ๆ ให้เค้าอิจฉาและอาจจะเวทนาหากเราไปถึงจุดนั้นไม่ได้เลยจะเหมาะกว่าครับ  
 
6.    ปัญหาสุขภาพ อย่าได้นำปัญหาสุขภาพส่วนตัวไปเล่าให้คนที่ทำงานฟัง เพราะคงไม่มีใครอยากรู้ หรือหากเล่าไปแล้ว ท่านก็อาจจะได้รับเพียงความเห็นใจแบบอาจจะไม่จริงใจกลับมาก็ได้  และแท้จริงนั้น ไม่มีใครอยากรู้จริง ๆ หรอกว่าการเจ็บป่วยของเราเป็นอย่างไรและร้ายแรงแค่ไหน  ตรงกันข้าม อาการเจ็บป่วยหรือปัญหาด้านสุขภาพของท่าน อาจจะทำให้เพื่อนร่วมงานมองได้ว่า เค้าจะต้องมารับภาระงานของท่านเวลาที่ท่านต้องไปพบแพทย์ หรือลาป่วย แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ท่านปิดอาการเจ็บป่วยไว้เป็นความลับ ไม่ทางใดทางหนึ่งก็จะมีคนรู้จนได้  ทางที่ดี และสมมติว่าท่านมีปัญหาด้านสุขภาพ ก็ควรบอกกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานอย่างตรงไปตรงมา ว่เพื่อร่วมกันหาวิธีการจัดงานไม่ให้ตกเป็นภาระกับเพื่อนร่วมงาน   
6 เรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาเม้าท์กันให้มันส์อารมณ์ที่ผมว่าไปนี้ ผมเชื่อในใจว่า ลึก ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายทราบกันดี และในหลายองค์กรก็กลายเป็นข้อห้ามแบบไม่มีโทษทางวินัยที่จะบังคับ แต่ปลูกฝังกันไว้เพื่อมิให้เรื่องที่แสนจะ sensitive เหล่านี้ กลายมาเป็นชนวนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทำงานเกิดปัญหา ซึ่งจะนำมาซึ่งความวุ่นวายปวดหัวอีกหลายเรื่อง ทั้งกับทีมงาน หน่วยงานและองค์กรเองในภาพรวม  ข้อที่นำเสนอไปนี้ จึงเป็นเพียงแง่คิดที่อยากฝากให้ท่านผู้อ่านได้ลองทบทวนและควรอย่างยิ่งที่จะต้องนำไปปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพราะมันอาจจะช่วยให้คนทำงานอยู่กันด้วยความสมานฉันท์ครับ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น