สัปดาห์ก่อนที่รถเสีย
ต้องใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเช่นรถแท็กซี่
ที่มีวิ่งกันเกลื่อนเมืองกระทั่งในช่วงเวลากลางวัน มองไปทางไหน
โดยเฉพาะในย่านธุรกิจที่รถติดกันเป็นเรื่องปกติ
และในบรรดารถที่เข้าแถวเรียงรายกันออกจากแยกไฟแดง
ก็มีรถที่ให้บริการเช่นนี้เกินกว่าครึ่ง
การอภิปรายหนึ่งที่โชเฟอร์ผู้ฝักใฝ่ในข้อมูลข่าวสารเปิดฉากคุยกับผมคือเรื่องการเมือง
ตามติดด้วยเรื่องดาราทะเลาะกัน
ด้วยความที่ไม่ชอบเสวนาเรื่องประสาเช่นนี้
คนนั่งที่ใช้บริการอย่างคาดหมายไม่ได้เช่นผม
ก็เลยต้องทนนั่งฟังและสนทนาคล้อยตามไปบ้างอย่างมิให้เสียมารยาท แต่พลันใดนั้น
ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า หากเปรียบเทียบรถสาธารณะที่กำลังนั่งนี้
กับองค์กรที่ทำงานของเรา เรื่องเหล่านี้
เป็นเรื่องที่น่านำมาถกเถียงแสดงมุมมองกันหรือเปล่า ? หรือมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่ที่ไม่น่าจะต้องมาพูดถึงกัน
?
เรื่องเล็ก ๆ
จากเบาะหลังคนขับแท็กซี่ ก็เลยกลายมาเป็นบทความนำเสนอท่านผู้อ่านในประการฉะนี้
จากที่อารัมภบทไป
ผมอยากเสนอมุมมองส่วนตัวว่า
การพูดจาสนทนากันในสำนักงานนั้นที่คนทำงานร่วมกันไม่ว่าจะมากหรือน้อยนั้น
ก็มีบางเรื่องที่ตามมารยาทแล้ว ไม่ควรนะมาพูดคุยอภิปราย (discuss) กันเลย เพราะดีไม่ดีอาจนำไปสู่ความคับข้องหมองใจระหว่างกัน บั่นทอนสายสัมพันธ์ในการทำงานระหว่างกันลงไปได้
เนื่องเพราะบางเรื่องออกจะอ่อนไหวกับความคิดความรู้สึก บางเรื่อง ก็อาจจะยากเกินความเข้าใจ
และไม่ปรากฏในการรับรู้ของคู่สนทนา ขณะที่บางเรื่องก็ไม่มีประโยชน์ใดกับงานที่ควรจะต้องพูดถึงเอาเสียเลย
โดยหลายเรื่องที่ผมเห็นว่าไม่น่าจะนำมาเม้าท์กันในองค์กรได้แก่ 6
เรื่องดังนี้
1.
ความเชื่อทางศาสนา – ทุกศาสนาต่างสอนให้คนที่ศรัทธานับถือเป็นคนดีกันทั้งนั้น
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาจับกลุ่มวิจารณ์การนับถือศาสนาของคนอื่นในที่ทำงาน ผมมองว่า
การนับถือศาสนาเป็นการมุ่งมองหาความสงบของจิตใจที่เป็นเรื่องส่วนตัว และอ่อนไหวไม่น้อยกว่าเรื่องการเมืองแต่อย่างใด เราจึงไม่ควรไปพูดจาพาดพิงความเชื่อของใคร
เพราะนั่นอาจจะจุดประเด็นความไม่พอใจอย่างแรงกล้าระหว่างคนทำงานด้วยกันขึ้นก็ได้
ถึงท่านผู้อ่านไม่เชื่อ ผมก็ไม่แนะนำให้ลองครับ
2.
การเมือง – โลกทัศน์ทางการเมืองของแต่ละคนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหวทางอารมณ์อย่างมากเลยนะครับ
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใกล้การเลือกตั้งที่คนเราก็มักมี “ใคร” ในใจเสมอ
ยิ่งในประเทศตะวันตกที่ระบบพรรคการเมืองสองพรรคเข้มแข็ง เช่น สหรัฐอเมริกา
ก็จะมีสองคนแข่งขันกันตามกติกาประชาธิปไตยเพื่อเข้าสู่อำนาจ
จึงมีพวกที่สนับสนุนและพวกที่ต่อต้านเห็นกันได้ชัด และก็มีแนวโน้มที่คนจะไม่ชอบคนอื่นที่มีความคิดทางการเมืองแตกต่างจากตน
จึงไม่ควรคุยเรื่องการเมืองเอามีปนเปกับการทำงานครับ
3.
ชีวิตรักทางลบ – ชีวิตรักในทางลบในที่นี้
ผมขอเจาะจงไปหมายถึงปัญหาเรื่อง “บนเตียง” ครับ
โปรดอย่าเข้าใจว่าผมมีเจตนาไม่เหมาะ
เพียงแค่อยากเล่าความเป็นจริงที่หลายคนมักหลงลืมเท่านั้น สาว ๆ หลายคน
แอบนินทาสมรรถภาพทางกายของคุณสามีกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทเสียจนเคยปาก คุณผู้ชายบางคน เล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า
แอบหาเศษหาเลยเพราะคนที่บ้านขาดความสามารถในการตอบสนองอย่างที่ต้องการ
บอกตามตรงเรื่องเหล่านี้ไม่มีใครสนใจอยากฟังหรอกครับ
หากจะต้องฟังก็ด้วยรักษามารยาทมิให้ท่านต้องเสียน้ำใจที่เล่าให้ฟังเท่านั้น ลองหันกลับมามองอีกมุมสิครับ ปัญหาเรื่องครอบครัว
ตีความได้ว่าคือจุดอ่อนที่ส่งผลกระทบต่องานของท่านใช่หรือไม่ ? และหากวันใดทีท่านกับเพื่อนเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนรักเป็นเพื่อนแค้น
ท่านก็อาจจะได้รับคำขู่และการแบบเล่าให้บุคคลที่สามฟังลับหลังอย่างที่ท่านเองก็ไม่อยากฟัง
สรุปแล้ว เล่าไปไม่มีส่วนใดที่เป็นผลดีเลย
4.
นินทาคู่ชีวิต ครอบครัวหรือพ่อแม่ – หากท่านมีครอบครัวแล้ว
ปัญหากับคนที่บ้านเป็น “เรื่องส่วนตัว” ที่ต้องเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวนะครับ
โบราณว่าไว้ การใช้ชีวิตแบบครอบครัวนั้น “ความในท่านไม่ให้นำออก...ความนอกไม่ให้นำเข้า” นัยยะคือ
อย่าได้นำเรื่องราวของเราไปเล่าให้ใครเค้าฟัง ปัญหาเป็นสิ่งที่เราต้องแก้ไข
ไม่ใช่ใครคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวอยู่นั่นเองครับ และการมัวแต่สนใจคนอื่น
ย่อมเสียเวลาไปกับการให้ความสนใจกับคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวไปอย่างน่าเสียดาย
5.
ความปรารถนาในอาชีพ – คนทำงานทุกคน
ต่างก็ใฝ่ฝันที่จะมีอาชีพในวิถีทางที่ตนเองชอบหรือรักที่จะทำทั้งนั้นล่ะครับ
ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายท่านก็อยากเป็นนักเขียน เขียนหนังสือแนวสบาย ๆ
เพื่อให้แรงบันดาลใจคนทำงาน
หลายท่านก็อยากทำงานเป็นที่ปรึกษาเพื่อใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยเหลือองค์กรอื่น หลายท่านก็อยากประกอบธุรกิจเล็ก ๆ
ส่วนตัวเพราะเบื่อหน่ายกับการทำงานกินเงินเดือน
และอาจจะชักหน้าไม่ถึงหลังในแต่ละเดือน
ไม่ว่าความใฝ่ฝันของท่านจะเป็นอย่างไร
แรงกล้าเพียงไหน ก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ใครรู้ หรือนำไปถกแถลงกันในที่ทำงาน
เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการเปิดช่องให้คนอื่นมองว่าท่านไม่ได้ภักดีกับองค์กร
หรือขาดความรู้สึกผูกพันในงานอีกต่อไปก็ได้
แม้ท่านจะไม่ได้เป็นเช่นนี้ก็ตามที
หากท่านมุ่งมั่นที่จะเติบโตในสายอาชีพภายในองค์กร
ก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องบอกใครต่อใคร เพราะ “การกระทำดังกว่าเสียง” เสมอ
แต่กระนั้น การมีความคาดหวังในงานก็เป็นเรื่องที่ดี
เพียงแต่บอกให้หัวหน้ารู้ว่าท่านต้องการเติบโตในอาชีพ
จากนั้นก็พิสูจน์ว่าท่านทำได้ ก็เพียงพอแล้ว อย่าไปเที่ยวพูดกับใคร ๆ
ให้เค้าอิจฉาและอาจจะเวทนาหากเราไปถึงจุดนั้นไม่ได้เลยจะเหมาะกว่าครับ
6.
ปัญหาสุขภาพ – อย่าได้นำปัญหาสุขภาพส่วนตัวไปเล่าให้คนที่ทำงานฟัง
เพราะคงไม่มีใครอยากรู้ หรือหากเล่าไปแล้ว
ท่านก็อาจจะได้รับเพียงความเห็นใจแบบอาจจะไม่จริงใจกลับมาก็ได้ และแท้จริงนั้น ไม่มีใครอยากรู้จริง ๆ
หรอกว่าการเจ็บป่วยของเราเป็นอย่างไรและร้ายแรงแค่ไหน ตรงกันข้าม อาการเจ็บป่วยหรือปัญหาด้านสุขภาพของท่าน
อาจจะทำให้เพื่อนร่วมงานมองได้ว่า
เค้าจะต้องมารับภาระงานของท่านเวลาที่ท่านต้องไปพบแพทย์ หรือลาป่วย
แต่ผมก็ไม่ได้แนะนำให้ท่านปิดอาการเจ็บป่วยไว้เป็นความลับ
ไม่ทางใดทางหนึ่งก็จะมีคนรู้จนได้
ทางที่ดี และสมมติว่าท่านมีปัญหาด้านสุขภาพ
ก็ควรบอกกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานอย่างตรงไปตรงมา ว่เพื่อร่วมกันหาวิธีการจัดงานไม่ให้ตกเป็นภาระกับเพื่อนร่วมงาน
6 เรื่องที่ควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาเม้าท์กันให้มันส์อารมณ์ที่ผมว่าไปนี้
ผมเชื่อในใจว่า ลึก ๆ แล้วเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายทราบกันดี
และในหลายองค์กรก็กลายเป็นข้อห้ามแบบไม่มีโทษทางวินัยที่จะบังคับ
แต่ปลูกฝังกันไว้เพื่อมิให้เรื่องที่แสนจะ sensitive เหล่านี้
กลายมาเป็นชนวนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนทำงานเกิดปัญหา ซึ่งจะนำมาซึ่งความวุ่นวายปวดหัวอีกหลายเรื่อง
ทั้งกับทีมงาน หน่วยงานและองค์กรเองในภาพรวม
ข้อที่นำเสนอไปนี้ จึงเป็นเพียงแง่คิดที่อยากฝากให้ท่านผู้อ่านได้ลองทบทวนและควรอย่างยิ่งที่จะต้องนำไปปฏิบัติกันอย่างจริงจัง
เพราะมันอาจจะช่วยให้คนทำงานอยู่กันด้วยความสมานฉันท์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น