HR Contribution
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด
และเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต
ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล
จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน
ทั้งผู้เขียนและท่านผู้อ่าน ในลักษณะเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้าง HR เพื่อความเป็นมืออาชีพนะครับ....
หากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน
ผมเชื่อว่าวันนี้ ประเทศไทยเรา
ไม่ได้ขาดแคลนกับมหาบัณฑิตที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท ทั้งจากสถาบันการศึกษาภาครัฐ
หรือจากสถาบันการศึกษาภาคเอกชนเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะปริญญาโท ด้านสังคมศาสตร์
ซึ่งมีหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่ฮอทฮิตมากที่สุดสาขาหนึ่งเห็นจะไม่พ้น บริหารธุรกิจ
หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า MBA
ที่ผมว่ามาแบบนี้
ก็เป็นเพราะว่า
ส่วนใหญ่ของผู้สมัครงานที่สมัครงานผ่านเข้ามาองค์กรที่ผมทำงานด้วยนั้น ไม่น้อยกว่าสามในสี่คน
จะพบดีกรีปริญญาโทมาพ่วงท้าย
ทั้งที่มีประสบการณ์กำกับมาด้วย พอได้เปรียบเทียบเป็น candidate
หน่อย และปริญญาโท
ที่เพิ่งจบมาโดยยากไร้ขาดแคลนประสบการณ์ที่ตรงตามสายงานที่ต้องการรับสมัคร
ผมก็เลยพลอยเห็นพ้องไปกับผู้รู้หลายท่านที่นำเสนอความเห็นถึง
“ความเกร่อ” ของปริญญาโทในสมัยปัจจุบัน ที่ดูเหมือนได้มาไม่ยาก
เหมือนเช่นสมัยก่อนยากเย็นนัก เพราะอาจารย์เข้มงวดสุดแสน
แล้วนึกต่อไปอย่างเป็นห่วงถึงคุณภาพของผู้จบปริญญาโทว่า จะมีจำนวนมากสักกี่มากน้อย
เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่จบการศึกษาระดับนี้มา
ผมขอไม่มองจากด้าน
Demand นะครับ เพราะโดยจริตคนธรรมดาสามัญนั้น
หากเห็นว่าการลงทุนไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพื่อให้ได้ปริญญาโทสักใบมาครอบครอง
แม้จะไม่ใช่สาขาที่ประเทศชาติต้องการอย่างเร่งด่วน (เช่นสาขาทางวิทยาศาสตร์
หรืออุตสาหกรรมการผลิต เป็นต้น) เขาย่อมมองว่า มันน่าจะการลงทุนที่คุ้มค่า
อย่างน้อยมันก็ไปบันไดชั้นยอดสำหรับการไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานด้านการจัดการที่ทุกคนต่างต้องการและแสวงหา
ดีกว่าที่จะต้องเริ่มต้นจากวุฒิปริญญาตรีที่ถือว่า “พื้น ๆ” ไปเสียแล้ว
สำหรับสังคมยุคเปลี่ยนผ่านเช่นบ้านเรา
ผมขอมองไปในทาง
Supply Side หรือเจาะจงหน่อยคือ
บรรดาผู้ให้บริการด้านการศึกษาทั้งหลายน่าจะพอเป็นคำตอบได้ในทางหนึ่ง
โดยเฉพาะวิทยาลัย
และมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งหลาย ที่มองมันว่าเป็นช่องทางทำเงินก้อนโต จึงเกาะกระแส “หาเงิน”
ด้วยการเปิดหลักสูตร เปิดแหล่งจัดการเรียนใหม่ ๆ ในย่านที่ประเมินศักยภาพแล้วเห็นว่า
“พอทำเงินให้ได้”
ไม่เว้นแม้แต่มหาวิทยาลัยราชภัฎทั้งหลาย
หากนับเอาศูนย์การศึกษานอกสถานที่ทั้งหลาย
ที่เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรปริญญาโท
เราก็แทบจะนับห้องเรียนปริญญาโทแทยไม่ไหวเลยทีเดียวล่ะครับ
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยภาครัฐ รวมทั้งเอกชน ในต่างจังหวัดก็ไม่เบา กรีฑาทัพเข้ามาเมืองหลวง หวังจะแชร์ส่วนแบ่งตลาดที่เบ่งบานเหลือหลายในแหล่งทำเงินก้อนงาม เราจะได้เห็น ศูนย์การศึกษาหรือวิทยาคารตามอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯชั้นใน หรือบนเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้ากันมากมายราวดอกเห็ด
หลักสูตรมาตรฐานก็ดูไม่แตกต่างกันเลยครับ มองไปทางไหนก็จะเห็นปริญญาเอก ปริญญาโททั้งบริหารธุรกิจ หรือเอ็มบีเอ สำหรับนักบริหาร ผู้จัดการสมัยใหม่ รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต นิติศาสตรมหาบัณฑิต และอื่น ๆ อีกมากโข
เกิดปรากฎการณ์ “แย่งเค้ก” การบริการการศึกษากันกลางเมืองกรุง โดยใช้กลยุทธ์ตัดราคา
ต่อเนื่องมาเป็นคำมั่นทำนองว่า “จ่ายครบจบแน่”
ซึ่งชวนให้เป็นห่วงกับคุณภาพของการศึกษาเป็นอย่างมาก
ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ หลักสูตรที่เปิดจะโฆษณาอย่างน่าเป็นห่วงว่า
ไม่เน้นงานวิจัย หรือเน้นการทำสารนิพนธ์ ที่ไม่ได้ยากเย็นนัก
และไม่น่าแปลกใจที่งานวิจัยระดับปริญญาโทจะเกลื่อนไปด้วยการศึกษาเรื่อง
ความพึงพอใจ ความคิดเห็น ทัศนคติตามกรณีศึกษาที่ประหนึ่ว่าคัดลอกกันมาเอาเสียเลย
และที่น่าสนใจอย่างนึงครับ และผมก็อยากถามเหลือเกินว่า เอาอาจารย์ที่
qualify ตามมาตรฐานการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจากที่ไหนมาสอน หรือว่า อาจารย์ “คิวทอง" วิ่งรอกสอนกันอย่างเมามัน เมคมั่นนี่ก็ยกใหญ่
กระทั่งอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับมาตรฐานการศึกษา
คุณภาพการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ของเหล่ามหาบัณฑิตทั้งหลายเหล่านี้แม้แต่น้อย
หากคุณภาพของสิ่งที่อาจารย์สอน หรืออาจจะเรียกว่า “เครื่องมือทำมาหากิน”
ไม่มาก เราก็อาจจะได้เห็น "powerpoint" ชุดเดียว ใช้สอนได้ทั้งปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอก
หรือสอนเรื่องเดียวกับทุกวิชา สอนเสร็จก็รับค่าตอบแทน นักศึกษาจะเป็นอย่างไร คงแล้วแต่โชควาสนา
ผมเคยนั่งเรียนบางรายวิชากับอาจารย์ระดับรองศาสตราจารย์ ดร.
จากมหาวิทยาลัยของรัฐ นั่งเรียนไปเรียนมา อาจารย์ก็มาเอ่ยว่า ต้องขอโทษที่เอา powerpoint ของปริญญาโทมาสอน
ก็จะขยายความเพิ่มเติมให้
อาจารย์คงไม่ได้ใส่ใจมากนัก หรือคิดไปว่า
เรามาเรียนก็คงแค่ให้ผ่านไปวันวัน หากอาจารย์วิ่งรอกจนเตรียมตัวกันแบบนี้
ก็อย่าได้คาดหวังคุณภาพจากดุษฎีบัณฑิตบางคนของเราเลยครับ
ผมเองก็เคยได้ยินว่า งานวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกจำนวนไม่น้อย มีคุณภาพต่ำกว่างานวิจัยที่ดีดีของนักศึกษาปริญญาโทด้วยซ้ำไป
และที่มากกว่านั้น ยังเป็นหัวข้องานวิจัยปริญญาเอก
ที่หัวเรื่องเดียวกัน แต่เปลี่ยนกรณีศึกษาไปเสียเลย แบบนี้
สังคมวิชาการรับกันได้หรือไม่
น่าสนใจค้นหาคำตอบนะครับ
และอย่าได้แปลกใจครับ หากจะได้ยินคำสัมภาษณ์ หรือการนำเสนอวิสัยทัศน์หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองของนักการเมืองชื่อดังที่คุยว่าจบปริญญาเอกมาแล้ว แต่ดูเหมือนหมิ่นภูมิปัญญาของเด็กมัธยมศึกษา ควรจะโทษใครล่ะครับ
และอย่าได้แปลกใจครับ หากจะได้ยินคำสัมภาษณ์ หรือการนำเสนอวิสัยทัศน์หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองของนักการเมืองชื่อดังที่คุยว่าจบปริญญาเอกมาแล้ว แต่ดูเหมือนหมิ่นภูมิปัญญาของเด็กมัธยมศึกษา ควรจะโทษใครล่ะครับ
จะมีให้เห็นคุณภาพอย่างมาก ก็ต้องยกให้สถาบันการศึกษาชั้นนำ
ซึ่งผมไม่ขอพูดถึงว่าเป็นที่ใดครับของบ้านเรานี่ละ ที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้
เพราะต้องยอมรับว่าอาจารย์เก่งจริง ๆ มีคุณภาพ มีผลงานวิจัยเชิงประจักษ์ที่ผ่านมาจากโลกการทำงานสู่ภาคปฏิบัติแบบที่เรียกว่าเป็น
Best Practices ได้เป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายครับ สถาบันเหล่านี้ ก็รับนักศึกษาในจำนวนที่จำกัด เพื่อรักษาคุณภาพ
เมื่อ Demand มาก เหล่าวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยที่ไร้คุณภาพ
และมุ่งแต่ทำงานก็เลยเป็นแหล่งตอบสนอง
วนเวียนกันแบบนี้
จนแทบจะไม่ต้องไปถามว่า หน่วยงานราชการ
หรือองค์กรที่ทำหน้าที่ดูแลคุณภาพการศึกษาระดับนี้ของบ้านเราอยู่ที่ไหน
ดูแลกันสักหน่อยเถอะครับ ปริญญาง่าย ๆ
มันก็ไร้คุณค่าได้เหมือนกัน...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น