วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยุคขุดทองจากกระแส “เห่อปริญญา”


HR Contribution
ในสภาพการณ์ของสังคมที่ความรู้เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด และเป็นสิ่งจำเป็นของการเรียนรู้เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับหน้าที่การงานและชีวิต ในฐานะที่ผู้เขียนทำงานในสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล จึงขอฝากเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำงานไว้ให้ได้เรียนรู้กัน ทั้งผู้เขียนและท่านผู้อ่าน ในลักษณะเรียนรู้ร่วมกัน สรรค์สร้าง HR เพื่อความเป็นมืออาชีพนะครับ....
หากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน  ผมเชื่อว่าวันนี้  ประเทศไทยเรา ไม่ได้ขาดแคลนกับมหาบัณฑิตที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท ทั้งจากสถาบันการศึกษาภาครัฐ หรือจากสถาบันการศึกษาภาคเอกชนเลยแม้แต่น้อย  โดยเฉพาะปริญญาโท ด้านสังคมศาสตร์ ซึ่งมีหลักสูตรหรือสาขาวิชาที่ฮอทฮิตมากที่สุดสาขาหนึ่งเห็นจะไม่พ้น บริหารธุรกิจ หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า  MBA 
 

ที่ผมว่ามาแบบนี้ ก็เป็นเพราะว่า ส่วนใหญ่ของผู้สมัครงานที่สมัครงานผ่านเข้ามาองค์กรที่ผมทำงานด้วยนั้น  ไม่น้อยกว่าสามในสี่คน จะพบดีกรีปริญญาโทมาพ่วงท้าย  ทั้งที่มีประสบการณ์กำกับมาด้วย พอได้เปรียบเทียบเป็น candidate หน่อย และปริญญาโท ที่เพิ่งจบมาโดยยากไร้ขาดแคลนประสบการณ์ที่ตรงตามสายงานที่ต้องการรับสมัคร
 

ผมก็เลยพลอยเห็นพ้องไปกับผู้รู้หลายท่านที่นำเสนอความเห็นถึง “ความเกร่อ” ของปริญญาโทในสมัยปัจจุบัน ที่ดูเหมือนได้มาไม่ยาก เหมือนเช่นสมัยก่อนยากเย็นนัก เพราะอาจารย์เข้มงวดสุดแสน แล้วนึกต่อไปอย่างเป็นห่วงถึงคุณภาพของผู้จบปริญญาโทว่า จะมีจำนวนมากสักกี่มากน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่จบการศึกษาระดับนี้มา
 

ผมขอไม่มองจากด้าน Demand นะครับ เพราะโดยจริตคนธรรมดาสามัญนั้น  หากเห็นว่าการลงทุนไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพื่อให้ได้ปริญญาโทสักใบมาครอบครอง แม้จะไม่ใช่สาขาที่ประเทศชาติต้องการอย่างเร่งด่วน (เช่นสาขาทางวิทยาศาสตร์ หรืออุตสาหกรรมการผลิต เป็นต้น) เขาย่อมมองว่า มันน่าจะการลงทุนที่คุ้มค่า  อย่างน้อยมันก็ไปบันไดชั้นยอดสำหรับการไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งหน้าที่การงานด้านการจัดการที่ทุกคนต่างต้องการและแสวงหา ดีกว่าที่จะต้องเริ่มต้นจากวุฒิปริญญาตรีที่ถือว่า “พื้น ๆ” ไปเสียแล้ว สำหรับสังคมยุคเปลี่ยนผ่านเช่นบ้านเรา
 

ผมขอมองไปในทาง Supply Side หรือเจาะจงหน่อยคือ บรรดาผู้ให้บริการด้านการศึกษาทั้งหลายน่าจะพอเป็นคำตอบได้ในทางหนึ่ง
 

โดยเฉพาะวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเอกชนทั้งหลาย ที่มองมันว่าเป็นช่องทางทำเงินก้อนโต จึงเกาะกระแส “หาเงิน” ด้วยการเปิดหลักสูตร เปิดแหล่งจัดการเรียนใหม่ ๆ ในย่านที่ประเมินศักยภาพแล้วเห็นว่า “พอทำเงินให้ได้”
 

ไม่เว้นแม้แต่มหาวิทยาลัยราชภัฎทั้งหลาย หากนับเอาศูนย์การศึกษานอกสถานที่ทั้งหลาย ที่เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรปริญญาโท เราก็แทบจะนับห้องเรียนปริญญาโทแทยไม่ไหวเลยทีเดียวล่ะครับ
 

นอกจากนี้  มหาวิทยาลัยภาครัฐ รวมทั้งเอกชน ในต่างจังหวัดก็ไม่เบา กรีฑาทัพเข้ามาเมืองหลวง  หวังจะแชร์ส่วนแบ่งตลาดที่เบ่งบานเหลือหลายในแหล่งทำเงินก้อนงาม  เราจะได้เห็น ศูนย์การศึกษาหรือวิทยาคารตามอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯชั้นใน  หรือบนเส้นทางผ่านของรถไฟฟ้ากันมากมายราวดอกเห็ด

 

หลักสูตรมาตรฐานก็ดูไม่แตกต่างกันเลยครับ  มองไปทางไหนก็จะเห็นปริญญาเอก  ปริญญาโททั้งบริหารธุรกิจ หรือเอ็มบีเอ สำหรับนักบริหาร ผู้จัดการสมัยใหม่  รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต  นิติศาสตรมหาบัณฑิต และอื่น ๆ อีกมากโข
 

เกิดปรากฎการณ์ “แย่งเค้ก” การบริการการศึกษากันกลางเมืองกรุง โดยใช้กลยุทธ์ตัดราคา  ต่อเนื่องมาเป็นคำมั่นทำนองว่า “จ่ายครบจบแน่”  ซึ่งชวนให้เป็นห่วงกับคุณภาพของการศึกษาเป็นอย่างมาก
 

ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ หลักสูตรที่เปิดจะโฆษณาอย่างน่าเป็นห่วงว่า ไม่เน้นงานวิจัย หรือเน้นการทำสารนิพนธ์ ที่ไม่ได้ยากเย็นนัก
 

และไม่น่าแปลกใจที่งานวิจัยระดับปริญญาโทจะเกลื่อนไปด้วยการศึกษาเรื่อง ความพึงพอใจ ความคิดเห็น ทัศนคติตามกรณีศึกษาที่ประหนึ่ว่าคัดลอกกันมาเอาเสียเลย

และที่น่าสนใจอย่างนึงครับ และผมก็อยากถามเหลือเกินว่า เอาอาจารย์ที่ qualify ตามมาตรฐานการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาจากที่ไหนมาสอน  หรือว่า อาจารย์ “คิวทอง" วิ่งรอกสอนกันอย่างเมามัน  เมคมั่นนี่ก็ยกใหญ่ กระทั่งอาจจะไม่ได้ใส่ใจกับมาตรฐานการศึกษา  คุณภาพการเรียนรู้และผลสัมฤทธิ์ของเหล่ามหาบัณฑิตทั้งหลายเหล่านี้แม้แต่น้อย
 

หากคุณภาพของสิ่งที่อาจารย์สอน หรืออาจจะเรียกว่า “เครื่องมือทำมาหากิน” ไม่มาก เราก็อาจจะได้เห็น "powerpoint"  ชุดเดียว ใช้สอนได้ทั้งปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอก หรือสอนเรื่องเดียวกับทุกวิชา สอนเสร็จก็รับค่าตอบแทน  นักศึกษาจะเป็นอย่างไร  คงแล้วแต่โชควาสนา 
 

ผมเคยนั่งเรียนบางรายวิชากับอาจารย์ระดับรองศาสตราจารย์ ดร. จากมหาวิทยาลัยของรัฐ นั่งเรียนไปเรียนมา อาจารย์ก็มาเอ่ยว่า ต้องขอโทษที่เอา powerpoint ของปริญญาโทมาสอน  ก็จะขยายความเพิ่มเติมให้  อาจารย์คงไม่ได้ใส่ใจมากนัก หรือคิดไปว่า เรามาเรียนก็คงแค่ให้ผ่านไปวันวัน  หากอาจารย์วิ่งรอกจนเตรียมตัวกันแบบนี้  ก็อย่าได้คาดหวังคุณภาพจากดุษฎีบัณฑิตบางคนของเราเลยครับ
 

ผมเองก็เคยได้ยินว่า งานวิจัยของนักศึกษาปริญญาเอกจำนวนไม่น้อย มีคุณภาพต่ำกว่างานวิจัยที่ดีดีของนักศึกษาปริญญาโทด้วยซ้ำไป
 

และที่มากกว่านั้น ยังเป็นหัวข้องานวิจัยปริญญาเอก ที่หัวเรื่องเดียวกัน แต่เปลี่ยนกรณีศึกษาไปเสียเลย  แบบนี้  สังคมวิชาการรับกันได้หรือไม่  น่าสนใจค้นหาคำตอบนะครับ

และอย่าได้แปลกใจครับ หากจะได้ยินคำสัมภาษณ์ หรือการนำเสนอวิสัยทัศน์หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองของนักการเมืองชื่อดังที่คุยว่าจบปริญญาเอกมาแล้ว  แต่ดูเหมือนหมิ่นภูมิปัญญาของเด็กมัธยมศึกษา ควรจะโทษใครล่ะครับ 
 

จะมีให้เห็นคุณภาพอย่างมาก ก็ต้องยกให้สถาบันการศึกษาชั้นนำ ซึ่งผมไม่ขอพูดถึงว่าเป็นที่ใดครับของบ้านเรานี่ละ ที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้ เพราะต้องยอมรับว่าอาจารย์เก่งจริง ๆ มีคุณภาพ มีผลงานวิจัยเชิงประจักษ์ที่ผ่านมาจากโลกการทำงานสู่ภาคปฏิบัติแบบที่เรียกว่าเป็น Best Practices ได้เป็นอย่างดี  แต่น่าเสียดายครับ  สถาบันเหล่านี้  ก็รับนักศึกษาในจำนวนที่จำกัด เพื่อรักษาคุณภาพ
 

เมื่อ Demand มาก เหล่าวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยที่ไร้คุณภาพ และมุ่งแต่ทำงานก็เลยเป็นแหล่งตอบสนอง  วนเวียนกันแบบนี้  จนแทบจะไม่ต้องไปถามว่า หน่วยงานราชการ หรือองค์กรที่ทำหน้าที่ดูแลคุณภาพการศึกษาระดับนี้ของบ้านเราอยู่ที่ไหน   
ดูแลกันสักหน่อยเถอะครับ  ปริญญาง่าย ๆ มันก็ไร้คุณค่าได้เหมือนกัน...  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น