วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การนำทีมงาน (Team Leading) ตอนที่ 1

หนึ่งในทักษะของการจัดการคน (People Management) ที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากในด้านพฤติกรรมองค์การ และได้รับความนิยมนำมากำหนดเป็นสมรรถนะเชิงการจัดการ (Managerial Competency) ของบุคลากรระดับหัวหน้างานในหลายองค์กรเห็นจะได้แก่เรื่องของการนำทีม (Team Leading) เนื่องจากการทำงานทุกวันนี้พึ่งพาลักษณะของการทำงานที่หลายฝ่ายหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำงานหนึ่งใดร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ อันเป็นรูปแบบของการทำงานเป็นทีม (Teamwork) มากขึ้นตามลำดับ  เมื่อท่านก้าวเข้ามาสู่บทบาทของหัวหน้าทีมแล้ว ท่านก็ควรต้องรู้จักเสียหน่อยว่าลักษณะของการทำงานเป็นทีมและความเป็นทีมผลงานสูงนั้นเป็นอย่างไร

เพื่อไขประเด็นนี้  เราขอเล่าเรื่องของห่านป่าไซบีเรียซึ่งได้นำไปเป็นกรณีศึกษาเพื่ออภิปรายถึงลักษณะการทำงานเป็นทีมและการนำทีมงานในหลักสูตร “การนำทีมสู่ผลลัพธ์อันเป็นเลิศ (Team Leading for High Results)” ในคราวที่ไปเป็นวิทยากรให้กับหลายองค์กรให้ท่านได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน

เล่าเรื่องของห่านป่าไซบีเรีย

เรื่องของห่านป่าไซบีเรียมีอยู่ว่า “ในช่วงฤดูหนาวห่านป่าไซบีเรียจะพากันอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อไปหากินในทำเลใหม่ที่อบอุ่นกว่า เนื่องจากในอาณาบริเวณแถบไซบีเรียนั้นเต็มไปด้วยน้ำแข็ง อากาศหนาวจนอุณหภูมิติดลบจนหากินลำบากและไม่มีอาหารหลงเหลือเพียงพอสำหรับรองรับความเป็นอยู่   แต่ในการบินอพยพดังกล่าวนี้  ห่านป่าจะบินกันไปเป็นฝูงร่วมหลายร้อยตัวด้วยระยะทางการบินหลายร้อยไมล์ พวกห่านป่าจะพากันบินด้วยความเร็วอย่างสม่ำเสมอและไม่ได้หยุดพักผ่อน ณ บริเวณใดที่บินผ่านเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยความที่อาหารและพละกำลังที่จำกัด พวกมันมีวิธีการทำการกันอย่างไรจึงไปถึงเป้าหมายได้

นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามพฤติกรรมการบินอพยพของห่านป่าพบว่าห่านป่านั้นมีวิธีการบินที่กางปีกเป็นรูปตัว V (V Formation) ห่านที่เป็นจ่าฝูงจะบินนำห่านตัวอื่นๆ  เพื่อต้านกระแสลมและลดแรงกระแทกจากลมที่พัดเข้ามาตลอดระยะการบิน ซึ่งพบว่าการบินแบบนี้จะช่วยให้ประสิทธิภาพทางการบินสูงขึ้นถึง 71%  มากกว่าที่ห่านตัวใดตัวหนึ่งจะบินกันอย่างกระจัดกระจายหรือบินไปตัวเดียวหรือบินเดี่ยวๆ 

ด้วยระยะทางที่ยาวไกลหลายร้อยไมล์ จึงเป็นไปได้เสมอว่าจะมีห่านตัวใดตัวหนึ่งในฝูงรู้สึกเหนื่อยหรือบินด้วยความเร็วที่ และบินต่ำลงจากระดับการบินปกติของฝูง  ในกรณีเช่นนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าห่านจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการให้ผ่านตัวที่อ่อนแรงไปบิน พยุงตัวหรือพักผ่อนอยู่ด้านหลังของแถว ซึ่งใช้กำลังและแรงในการบินน้อยกว่าการบินของห่านในตำแหน่งอื่น ๆ  ในขณะที่ห่านตัวอื่นๆ ที่ยังแข็งแรงจะยังคงบินในตำแหน่งด้านหน้า เพื่อรับกับการฝ่าแรงของกระแสลมตลอดระยะเส้นทางที่ยาวไกล 
ด้วยเหตุที่ห่านป่าจ่าฝูงได้รับแรงกระทบจากลมสูงที่สุด จึงกลายเป็นห่านที่เหนื่อยที่สุดในเส้นทางการบินอันยาวไกล ในกรณีเช่นนี้ ฝูงห่านจะบินสลับกันไปมาระหว่างตำแหน่งในฝูงและตำแหน่งจ่าฝูงซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต้องใช้แรงและพละกำลังมากที่สุดเพื่อให้จ่าฝูงได้สลับไปพักผ่อนบ้าง 

และเมื่อมีห่านป่าในฝูงตัวใดเจ็บป่วย ฝูงห่านป่าจะส่งห่านบางตัวไปคอยบินประกบจนกระทั่งมั่นใจว่าห่านตัวที่เจ็บป่วยนั้นหายเป็นปกติก็จะบินกลับเขามาสู่ฝูงในตำแหน่งท้ายของตัว V ของฝูง แต่หากห่านตัวหนึ่งใดนั้นเจ็บป่วยมากจนถึงขั้นเสียชีวิต ห่านบางตัวที่ได้รับมอบหมายจากฝูงมาเฝ้าจะดูแลจนกว่าห่านตัวนั้นจะตายจากกันไป 

นอกไปจากนี้ในขณะทำการบิน ห่านป่าเหล่านี้จะส่งเสียงร้องเพื่อให้กำลังใจกันไปตลอดทาง
จนกระทั่งพวกมันบินไปถึงจุดหมายปลายทาง” 

และลองคิดดูสิครับว่าลักษณะการเป็นทีมที่ดีที่สะท้อนออกมาจากเรื่องเล่าข้างต้นเป็นอย่างไรบ้าง !!!
เรื่องของห่านป่าที่เล่ามานี้ ได้รับการนำมาอธิบายเป็นทฤษฎีผู้นำโดย Leonard Yong ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การ สถาบัน IITD ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้จากห่านป่านี้สะท้อนถึงลักษณะของการทำงานเป็นทีมในหลายประการได้แก่ การมีเป้าหมายกำหนดไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความรับผิดชอบต่อตำหน่งหน้าที่ของแต่ละคนทั้งหัวหน้าทีมและสมาชิกทีม  การให้ความช่วยเหลือ ประคับประคองและดูแลซึ่งกันและกัน การผลัดกันเป็นผู้นำและเป็นผู้ตามโดยมุ่งหมายผลลัพธ์ภายใต้เป้าหมายเดิม รวมทั้งการให้กำลังใจในระหว่างที่บินอันเสมือนกับการกระตุ้นให้สมาชิกทีมมีแรงจูงใจในการทำงานต่อไปแม้จะประสบกับความยากลำบากจากการทำงานนั้นก็ตาม

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น